เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 482 หลักฐาน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 482 หลักฐาน
เล่มที่ 17 ตอนที่ 482 หลักฐาน
“เจ้ากลับมาได้อย่างไร หรือตงฟางเชวี่ยก็ไม่มีวิธีเหมือนกันหรือ?”
ยามที่ซูเช่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่หน้าประตูวังหลวงก็ตึงเครียดเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก้นบึ้งในใจก็เป็นห่วงอย่างยิ่งเช่นกัน หากแม้แต่หุบเขาเย่าหวางก็ไม่มีหนทางก็หมายความว่าพวกเขาต้องเสียแม่นางผู้นี้ไปหรือ?
“มิใช่บอกว่าให้เจ้ารักษาตัวอยู่ที่หุบเขาเย่าหวาง และเรื่องในวังหลวงยังมีข้าอยู่หรือ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินแกว่งแขนยาวข้างหนึ่งไปโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะจัดผ้าคลุมไหล่ขนจิ้งจอกอันอบอุ่นให้นางเพื่อเพิ่มไออุ่นให้เสียหน่อย
“หลังเรื่องวุ่นวายข้ายังเกือบถูกทำร้ายเพราะพิษที่หุบเขาเย่าหวาง ท่านยังจะให้ข้าพักรักษาตัวอยู่ที่นั่นอีกหรือ? หากถูกพิษอีกคราจะทำอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งมองเขาอย่างน่าสงสาร “ยิ่งไปกว่านั้นท่านตัดใจทิ้งข้าไว้ที่นั่นคนเดียวได้หรือ?”
“แต่ทักษะแพทย์ของตงฟางเชวี่ยสูงส่ง หากพวกเจ้าร่วมมือกันอาจจะ…”
“ร่างกายตนเองข้ายังไม่เข้าใจ คนอื่นก็ย่อมยิ่งไม่เข้าใจ ผู้อื่นไม่เข้าใจเหตุผลนี้ทว่าสามีก็ไม่เข้าใจเช่นกันหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กะพริบตาให้เขาราวกับสื่อความนัยบางอย่าง
เห็นเขาถูกนางทำให้พูดไม่ออก หลิงมู่เอ๋อร์ก็หันไปมองทางซูเช่อ “ลำบากเสียนหวางต้องลงมือทุกเรื่องเสียแล้ว แต่เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรเกรงว่าจะนำพาหายนะมาสู่ตนเองได้ เสียนหวางอย่าได้มาข้องเกี่ยวอีกเลย”
ซูเช่อขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจยิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์เตะเขาทิ้ง “เปิ่นหวางเป็นคนรักตัวกลัวตายหรืออย่างไร?”
ยิ่งไปกว่านั้นเขาปวดใจเรื่องใดอยู่ นางไม่รู้จริงหรือ?
ช่างเถิด ในเมื่อคนคิดจะผลักไสเขา เขาก็ถึงเวลาต้องปล่อยมือ
“ข้าล้วนได้ยินมาแล้วว่าพวกท่านจัดคนไปค้นหาในวังหลัง วังหลังเป็นสถานที่สำคัญเปิ่นหวางไม่สะดวกเข้าร่วมจริงๆ เช่นนั้นเปิ่นหวางขอลา”
ซูเช่อสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโกรธ
เดิมหลิงมู่เอ๋อร์ยังอยากอธิบายอันใดแต่คิดไปคิดมาก็อดกลั้นไว้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเว้นระยะห่างไม่สู้รีบลงมือจะดีกว่า
“ญาติผู้พี่ มู่เอ๋อร์”
จากระยะไกล หนานกงอี้จือและเซียวเหยาหวางเดินคู่กันมา
“ได้ยินว่าพี่สะใภ้ไม่สบาย ดีขึ้นแล้วหรือ?” เซียวเหยาหวางพิจารณาหลิงมู่เอ๋อร์อย่างละเอียด เห็นนางมีท่าทีนิ่งเงียบก็พยักหน้ากับตนเอง “แต่เพราะเรื่องของเสด็จแม่คงทำให้เป็นกังวลกระมัง? รบกวนให้พี่สะใภ้ต้องเป็นกังวลแล้ว”
“เซียวเหยาหวางพูดอันใด อี้กุ้ยเฟยก็เป็นคนสำคัญของข้าเช่นกัน นางถูกสังหารอย่างกะทันหันทำให้ข้าปวดใจมากจริงๆ พวกท่านวางใจเถิด ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว ไม่เป็นอันใด”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบาง “เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงข้าล้วนได้ยินมาหมดแล้ว นอกจากกุ้ยเหรินผู้นั้นยังพบผู้ต้องสงสัยคนอื่นหรือไม่?”
เซียวเหยาหวางส่ายศีรษะอย่างหดหู่
เห็นเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหดหู่แห้งเหี่ยวราวกับมะเขือม่วงต้องน้ำค้าง หนานกงอี้จือก็หมดความร่าเริงเช่นกัน “ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผลลัพธ์อีกทั้งเรื่องนี้ยังถูกเปิดเผยด้วย ดูท่าฆาตกรจะหลบซ่อนอยู่อย่างลึกล้ำจริงๆ”
“ในเมื่อแอบหาแล้วไม่พบเบาะแสใด เช่นนั้นพวกเราก็สืบสวนอย่างเปิดเผยเถิด” หลิงมู่เอ๋อร์มองซั่งกวนเซ่าเฉิน “ที่ข้ารีบร้อนกลับมาจากหุบเขาเย่าหวางเป็นเพราะนึกถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมาได้ สถานที่ที่พวกเรามองข้ามไป!”
“ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้พูดถึงที่ใดหรือ?” เซียวเหยาหวางตื่นเต้นขึ้นมา
“ฝ่ายซักล้าง”
สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์สื่อความว่าให้ทุกคนเดินไปพูดไป “เสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนของเหล่าพระสนมทุกตำหนักล้วนถูกส่งไปที่ฝ่ายซักล้างเพื่อทำความสะอาด แต่ข้าได้ยินว่าเสื้อผ้าที่ถูกส่งไปฝ่ายซักล้างเพื่อทำการซัก อบแห้ง และรีดต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ จึงจะส่งกลับมาถึงมือของเจ้าของ วันนั้นหลังจากฆาตกรสังหารอี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงจะต้องเอาเสื้อผ้าถอดส่งไปยังฝ่ายซักล้างเป็นแน่ นับดูแล้ววันนี้ก็เป็นวันที่สามพอดี”
เซียวเหยาหวางราวกับถูกเปิดเส้นลมปราณทั้งสองเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาโดยพลัน “กระดุมที่ถูกพบในแขนเสื้อของเสด็จแม่โดยบังเอิญ บางทีฆาตกรอาจไม่ทันสังเกตว่ากระดุมเม็ดนี้หายไป ยามนี้หากพวกเรารีบไปตรวจสอบว่าเสื้อผ้าตัวใดที่กระดุมหายไป คนผู้นั้นก็อาจเป็นฆาตกร!”
“ถูกต้อง!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
“เช่นนั้นพวกเรายังรออันใดอยู่!” หนานกงอี้จือทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาสบสายตากับเซียวเหยาหวางก่อนทั้งสองคนจะรีบพุ่งไปเบื้องหน้าตรงไปฝ่ายซักล้าง
ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์รีบตามหลังไปโดยไม่ทันได้สังเกตเงาร่างที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง
“เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงแย่แล้วเพคะ!”
สาวใช้ส่วนตัวรีบพุ่งเข้ามา ยามที่เดินมาถึงประตูก็สะดุดล้มลง
“มีเรื่องอันใดจึงทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมเช่นนี้ อดีตไท่จื่อผู้ไร้ค่านั่นไปคว้าผู้ใดมาเล่นงานหรือ?” หมิ่นกุ้ยเฟยไม่เห็นความตื่นตระหนกของสาวใช้อยู่ในสายตา
ไม่กี่วันมานี้นางรออยู่ในตำหนักและได้ฟังรายงานเรื่องภายนอกอยู่เป็นบางครั้ง เรื่องที่ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวไปไล่ตรวจทีละตำหนัก และเรื่องที่เจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางร่ำไห้อยู่ในทุกตำหนัก นางได้ยินเรื่องบันเทิงเหล่านี้ก็รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
“ทางฝั่งเซียวเหยาหวางมีการเคลื่อนไหวเพคะ เป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง นางกลับมาจากหุบเขาเย่าหวางแล้วเพคะ!” สาวใช้กล่าวอย่างตื่นตระหนก
“ว่าอย่างไรนะ?”
สีหน้ามีความสุขของหมิ่นกุ้ยเฟยสลายหายไปโดยพลัน ก่อนฝ่ามือจะตบลงบนโต๊ะอย่างแรง “เหอะ หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้ช่างเคราะห์ดีนัก! ข้าส่งมือสังหารไปสามสิบกว่าคนก็ยังไม่อาจสังหารนางได้สำเร็จหรือ?”
ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งมีโทสะ สตรีผู้นี้มีความสามารถอันใดมากมายนักจึงสามารถรอดพ้นการลอบสังหารมาได้ทุกครั้ง?
“เมื่อวานซั่งกวนเซ่าเฉินมิใช่ว่าถูกข่าวลวงของพวกเราหลอกให้กลับมาที่วังหลวงหรือ? ไม่มีผู้ช่วยแล้วนางรอดมาได้อย่างไร?” หมิ่นกุ้ยเฟยคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
“เป็นเสียนหวางเพคะ” สาวใช้ตอบตามความจริง “วันนั้นยามที่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองป่วยหนักจนถูกพาไปหุบเขาเย่าหวาง เสียนหวางก็ตามไปอยู่ข้างกายด้วยตลอดเพคะ เมื่อวานหลังองค์ชายรองถูกข่าวลวงของพวกเราหลอกให้กลับวัง คาดไม่ถึงว่าเสียนหวางกลับยังอยู่ปกป้องเจิ้งเฟยขององค์ชายรองไม่ออกห่างแม้เพียงก้าวเดียวเพคะ ได้ยินว่าเสียนหวางยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเหตุนี้ด้วย แต่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองกลับ…ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยเพคะ”
“ช่างไร้ค่าเสียจริง!”
หมิ่นกุ้ยเฟยโกรธเกรี้ยว “ยังมาบอกว่าเป็นมือสังหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังอันใดในยุทธภพ กลับฆ่าแม้แต่สตรีป่วยหนักผู้หนึ่งยังไม่ได้ ข้าจ่ายเงินไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้นจะมีประโยชน์อันใด!”
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หมิ่นกุ้ยเฟยแทบทนไม่ไหวจนอยากออกจากวังหลวงไปเอาเงินคืนมา
นึกถึงเสียนหวาง นางก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวทั้งยังจ้องเขม็ง
“ซูเช่อผู้นี้ช่างลุ่มหลงมัวเมาเสียจริง ไม่เห็นเสียนหวางเฟยที่งดงามราวกับบุปผาอยู่ในสายตา แต่กลับไปหวงแหนสตรีของผู้อื่น หลิงมู่เอ๋อร์ไปหว่านเสน่ห์อย่างไรจึงทำให้ซูเช่อทุ่มเทให้นางสุดหัวใจเช่นนี้ แม้ว่านางจะตั้งครรภ์แล้วก็ยังไม่อาจทำให้ซูเช่อปล่อยวางได้หรือ?”
ดวงตาของหมิ่นกุ้ยเฟยกลิ้งกลอกไปมาขณะที่ในใจคิดแผนการ “เหอะ ซูเช่อหนอซูเช่อ ในเมื่อเจ้าชอบหลิงมู่เอ๋อร์ เช่นนั้นให้เปิ่นกงช่วยเจ้าเถิด”
นางกวักมือเรียกสาวใช้ “เจ้าเข้ามานี่”
สาวใช้ตกใจจนสะดุ้ง รู้ว่าผู้เป็นนายมีเรื่องอันตรายจะสั่งนางอีกครา นางก็ตัวสั่นเทา “เหนียง เหนียงเหนียง ท่าน ขอท่านโปรดจัดการเสียนหวางทีหลังเถิดเพคะ หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องที่ยังมิได้รายงานเพคะ”
“สามหาว!” หมิ่นกุ้นเฟยเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “บ่าวเช่นเจ้าช่างใจกล้านัก ยามนี้เจ้าจะมาสั่งสอนเปิ่นกงว่าควรทำอันใดหรือ?”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ!” สาวใช้รีบคุกเข่าลงบนพื้น “เป็น เป็นเพราะเมื่อครู่หม่อมฉันแอบได้ยินบทสนทนาของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองและพวกเซียวเหยาหวางเข้าเพคะ แม้จะอยู่ไกลมากจึงได้ยินไม่ชัดเจนนักแต่หม่อมฉันได้ยินว่ากระดุมอันใด ฝ่ายซักล้างอันใดบางอย่างเพคะ เหนียงเหนียงมิใช่ว่าวันนั้นยามที่ท่านลงมือกับอี้กุ้ยเฟยไม่ทันระวังจึงทำกระดุมอันใดหลุดหายไปหรือเพคะ?”
ได้ยินสาวใช้ถามอย่างระมัดระวังยิ่ง ในใจหมิ่นกุ้ยเฟยก็ราวกับมีหินก้อนหนึ่งหล่นทับลงมาโดยพลัน
นางยืนขึ้นมาในทันทีขณะที่มือทั้งสองข้างคลำไปทั่วร่าง นางอยากพูดว่ามิใช่แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าชุดที่นางสวมวันนั้นหาใช่ชุดนี้
“สมควรตายนัก เรื่องสำคัญเช่นนี้เหตุใดจึงไม่รีบบอก!”
หมิ่นกุ้ยเฟยตบหน้าสาวใช้อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ก่อนจะหมุนกายไปค้นหาในตู้เสื้อผ้า ทว่าหาอย่างไรก็หาไม่เจอ
“ชุดเล่า ชุดที่เปิ่นกงสวมวันนั้นเล่า?”
หมิ่นกุ้ยเฟยเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด
สาวใช้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจลูบเสี้ยวหน้าที่ถูกตบจนเจ็บปวด “เหนียงเหนียง ชุดนั้น วันนั้นหลังจากที่ท่านกลับมาก็ให้หม่อมฉันส่งชุดนั้นไปที่ฝ่ายซักล้าง จนถึงวันนี้ยังไม่ส่งกลับมาเลยเพคะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
หมิ่นกุ้ยเฟยรู้สึกเพียงว่าเลือดทั่วทั้งร่างล้วนไหลย้อนกลับขึ้นมา มือทั้งสองข้างของนางกุมศีรษะไว้พยายามให้ตนเองสงบจิตสงบใจลง
ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างของนางก็เบิกกว้าง มือทั้งสองข้างคว้าไหล่ของสาวใช้ไว้แน่น “เมื่อครู่เจ้าได้ยินอันใดมา คิดให้ละเอียดแล้วบอกข้ามาว่ายังได้ยินอันใดมาอีก!”
สาวใช้ตกใจจนร่างสั่นเทิ้มไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าถูกหมิ่นกุ้ยเฟยทำให้มีท่าทีตกใจกลัวเช่นนี้ แต่เพราะกลัวตายนางจึงหวนนึกกลับไปอย่างสุดชีวิต ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างจะเบิกกว้างแต่ไม่นานนางก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “เหนียงเหนียง พวกเขา ดูเหมือนพวกเขาจะไปที่ฝ่ายซักล้างแล้วเพคะ”
“ไร้ค่า ช่างไร้ค่านัก!”
ถีบสาวใช้ออกไปอย่างแรงก่อนที่หมิ่นกุ้ยเฟยจะไม่สนใจสถานะตนเองรีบพุ่งออกไปแทบไม่ทัน
“หม่อมฉันขอถวายความเคารพเซียวเหยาหวาง และหนานกงซื่อจื่อเพคะ”
สาวใช้ของฝ่ายซักล้างเห็นฉินอวี้เหิงและหนานกงอี้จือปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันก็ทำความเคารพอย่างร้อนรน กำลังคิดจะหันไปก็เห็นพวกซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ที่ตามมาจึงรีบคุกเข่าลงไปอีกครา “ขอถวายพระพรองค์ชายรองและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด เปิ่นหวางมีเรื่องจะถามเจ้า ชุดทั้งหมดที่ส่งมาเมื่อสามวันก่อนอยู่ที่ใด?” เซียวเหยาหวางถามพลางมองสำรวจรอบด้าน และเดินเข้าไปด้านใน
“หวางเย่ท่านเข้าไปไม่ได้นะเพคะ!”
สาวใช้รีบขวางเขาไว้ “ในนี้ ในนี้ล้วนเป็นชุดของเหล่าเหนียงเหนียงของแต่ละตำหนัก เป็นชุดที่แนบชิดกับร่างกายมากมายจะมาทำให้สายตาของหวางเย่สกปรกได้อย่างไรเพคะ”
“เปิ่นหวางมาหาของสำคัญจะไม่ยอมให้เจ้ามาขวางแน่ หลีกไป” ฉินอวี้เหิงโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุดจนไม่สนใจกฎเกณฑ์อันใดของวังหลัง หากเป็นปกติเขาคงเตะบ่าวเหล่านี้ออกไป และบอกพวกเขาว่าชุดที่แนบกายของสตรีไม่มีชิ้นใดที่เขาไม่เคยเห็น แต่ยามนี้เขากำลังรีบร้อน
“แต่หวางเย่…”
สาวใช้รีบพุ่งเข้าไปอีกคราก่อนจะกางแขนทั้งสองข้างขวางไว้เบื้องหน้าเขา “หวางเย่โปรดอย่าทำให้หม่อมฉันลำบากใจเลยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งมาที่ฝ่ายซักล้างไม่นานหากถูกหัวหน้านางกำนัลรู้เข้าว่าเสื้อผ้าแนบกายของเหล่าเหนียงเหนียงล้วนถูกหวางเย่เห็นเข้าแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉัน หม่อมฉันคงหัวหลุดจากบ่าเป็นแน่เพคะ”
“สาวใช้เช่นเจ้านี่ช่าง…” เซียวเหยาหวางคาดไม่ถึงว่าสาวใช้ผู้หนึ่งจะใจกล้าเช่นนี้ ถึงขั้นกล้ามาขวางเขาถึงสองครา เขาโกรธมากจนดึงนางออกอย่างมุทะลุ หลิงมู่เอ๋อร์จึงรีบเดินเข้าไป
“หวางเย่โปรดระงับโทสะก่อน”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวและใช้สายตาบอกให้เขาถอยไปข้างหลัง มองสาวใช้ที่ตกใจกลัวจนหดคออีกครา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความชื่นชม “เป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ของฝ่ายซักล้างผู้หนึ่งกลับพยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เช่นนี้ หัวหน้านางกำนัลไม่เพียงแต่ไม่สมควรลงโทษเจ้า ยังควรมอบรางวัลให้เจ้าด้วยจึงจะถูก แต่พวกเรากำลังตามหาหลักฐานสำคัญต้องขอให้เจ้าช่วยให้ความร่วมมือด้วย”
“หลักฐานหรือเพคะ?”
สาวใช้ถูกทำให้ตกใจจนคุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างร้อนรน ก่อนนึกถึงคำว่าสามวันก่อนที่เซียวเหยาหวางพูดเมื่อครู่ “แต่เสื้อผ้าทั้งหมดของเมื่อสามวันก่อนเพิ่งส่งกลับไปเมื่อครู่ก่อนที่พวกท่านจะมาเพคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบบอก!”
เซียวเหยาหวางโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด เขาอยากจะใช้หมัดทุบศีรษะสาวใช้ผู้นี้ให้ระเบิดเสียจริง นี่มิใช่ว่าเป็นการทำให้พวกเขาเสียเวลาหรือ?
“ส่งไปตั้งแต่เมื่อใด ส่งไปที่ใด!”
“เมื่อครู่ส่งกลับไปที่ตำหนักของเหนียงเหนียงแล้วเพคะ” เสียงของสาวใช้เบาลงเรื่อยๆ กล่าวจบนางก็หลับตาแน่นทำท่าทีเตรียมพร้อมจะถูกตัดคอ
“สมควรตายนัก พวกเรามาช้าไปก้าวหนึ่ง!”
ไม่ได้รับความเจ็บปวดตามที่คาด สาวใช้เงยหน้าไปเห็นเพียงเซียวเหยาหวางที่มีสีหน้าเจ็บปวด รวมถึงคนอื่นที่พากันมีท่าทีผิดหวังและสิ้นหวัง
สาวใช้ประสานมือทั้งสองข้างและมองพวกเขาอย่างระมัดระวัง “พวกหม่อมฉันเพิ่งส่งไปเพคะ บางที บางทีหากพวกท่านไล่ตามไปยามนี้อาจจะยังทันกระมัง?”