เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 481 ปรมาจารย์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 481 ปรมาจารย์
เล่มที่ 17 ตอนที่ 481 ปรมาจารย์
“เสมอกัน เป็นไปได้อย่างไร?”
ตงฟางเชวี่ยตะลึงงัน เขาพิจารณายาที่หลิงมู่เอ๋อร์ทำขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่ออีกครา แต่ไม่ว่าเขาจะวิเคราะห์อย่างละเอียดอย่างไรมันก็ยังเหมือนกับของเขาทุกกระเบียดนิ้วจนถึงขั้นไม่ขาดสมุนไพรไปแม้แต่อย่างเดียว!
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง ข้ากับท่านอาจารย์ศึกษามั่วจื่อมาตลอดสิบปี ระยะนี้ข้าจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าหลายปีมานี้พวกเราตกหล่นอันใดไป แต่เจ้าสามารถเข้าใจในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามชั่วยามได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ!”
ตงฟางเชวี่ยสูญเสียการควบคุมอารมณ์ไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งตกตะลึง แปลกใจ โกรธเกรี้ยว และอับอาย อารมณ์ทุกอย่างล้วนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ท่าทางเช่นนี้ทำเอาหลิงมู่เอ๋อร์ตกใจมากทีเดียว
“ข้า…”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าแพ้แล้ว”
ขัดจังหวะคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ตงฟางเชวี่ยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างผู้พ่ายแพ้ ดวงตาทั้งสองข้างมองยาทั้งสองเม็ดที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอย่างเฉื่อยชาไร้เรี่ยวแรง
เม็ดหนึ่งเป็นของที่เขาทำขึ้น ส่วนอีกเม็ดหนึ่งเป็นของที่หลิงมู่เอ๋อร์ทำขึ้น
เดิมเขามั่นใจคิดว่าครั้งนี้ตนเองจะต้องทำสำเร็จเป็นแน่ ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จจริงๆ แต่คู่ต่อสู้ที่แข่งขันกับเขาก็ทำสำเร็จเช่นกัน
“เช่นนั้นยามนี้เจ้าคงรู้แล้วกระมังว่าเหตุใดข้าจึงละทิ้งหุบเขาเย่าหวาง และไม่ตรวจรักษาให้ผู้อื่นอีกต่อไป?”
ตงฟางเชวี่ยยิ้มหยันราวกับจะหัวเราะเยาะความไร้ความสามารถของตนเอง “ดูเอาเถิด ข้ามันไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้เลย”
เขาสะบัดแขนเสื้อยืนขึ้นพลางถอนหายใจและไหวไหล่ราวกับอาลัยอาวรณ์ยิ่ง ทว่ากลับยอมรับอย่างเต็มใจ “นับแต่นี้เป็นต้นไปหุบเขาเย่าหวางเป็นของเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจอยู่บ้างกับความตรงไปตรงมาของเขา “ข้าล้อเจ้าเล่น ข้าไม่ต้องการหุบเขาเย่าหวางอันใด ข้ามีโรงหมอของตนเองอยู่แล้ว”
“เจ้าพูดอันใด?” ตงฟางเชวี่ยเห็นได้ชัดว่าฟังไม่ชัด
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าเขาดีใจกับคำพูดของตนเองกำลังคิดจะพูดใหม่อีกครา คาดไม่ถึงว่าตงฟางเชวี่ยกลับโกรธขึ้นมา
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าดูถูกผู้ใดอยู่กัน!” ตงฟางเชวี่ยตะโกน “ข้าเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ แพ้ก็คือแพ้ ข้าเป็นคนที่ไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้หรืออย่างไร? ข้าถามตนเองว่าหากเอาหุบเขาเย่าหวางไปให้ผู้อื่นจะทำให้เหล่าปรมาจารย์ต้องเสียหน้าหรือไม่ แต่ในเมื่อข้าไร้ความสามารถทั้งยังไร้ประโยชน์ การทิ้งหุบเขาเย่าหวางไว้ในมือข้าก็ยิ่งเป็นเพียงการฝังกลบมัน แต่ยามนี้เจ้าบอกว่าไม่ต้องการมันหมายความว่าอย่างไร กำลังดูถูกหุบเขาเย่าหวางของพวกเราหรือ?”
เห็นเขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้ท่าทางราวกับอยากจะพุ่งไปตีคน หลิงมู่เอ๋อร์จึงรีบไปหลบหลังซั่งกวนเซ่าเฉิน
อืม ยามนี้เองที่นางเพิ่งตระหนักได้ว่าการมีสามีช่างดีเสียจริง
“ตงฟางเชวี่ย” ซั่งกวนเซ่าเฉินกัดฟันเอ่ยชื่อเขาออกมาทีละคำ “ระวังท่าทีการพูดของเจ้าหน่อย มู่เอ๋อร์เป็นสนมรักของข้า เจ้ามีท่าทีไร้มารยาทและวางท่าเช่นนี้จะดูถูกตำหนักองค์ชายรองของข้าหรือ?”
“พวกท่าน…” ตงฟางเชวี่ยโกรธเกรี้ยวทั้งยังอยากพูดอันใด แต่กลับเห็นซูเช่อก้าวออกมาเช่นกัน
รู้ว่าทั้งสองคนนี้ล้วนพยายามปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์สุดชีวิต เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว “สรุปคือนับแต่นี้ไปหุบเขาเย่าหวางเป็นของเจ้า”
เห็นเขากำลังจะออกไปด้วยความโกรธ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบไล่ตามไป “ไม่สู้พวกเรามาเปลี่ยนของเดิมพันจะดีกว่ากระมัง เจ้ามิใช่ว่าสนใจอาการป่วยของข้าจึงอยากศึกษาดูหรือ? ยามนี้ในเมื่อเจ้าแพ้แล้วไม่สู้มาศึกษาร่วมกับข้าเป็นอย่างไร อาการป่วยของข้าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง การศึกษาจะต้องสูญเสียกำลังและจิตใจเป็นอย่างมาก เกรงว่าผู้นำหุบเขาตงฟางคงต้องยุ่งไปอีกสักพักหนึ่ง”
“จริงหรือ?”
เดิมคิดว่าตงฟางเชวี่ยจะมีท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมากถึงขั้นปฏิเสธอย่างโกรธเกรี้ยว คาดไม่ถึงว่ายามที่เขาหันกลับมาจะมีสีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจและไม่อยากจะเชื่อ
เกรงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะเปลี่ยนใจ เขาจึงรีบพุ่งเข้าไปข้างกายนาง “พูดแล้วห้ามกลับคำ ไปเถิด พวกเราไปตรวจสอบกันยามนี้เลย”
แทบไม่รอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินและซูเช่อตอบสนอง เขาก็ลากหลิงมู่เอ๋อร์หายไปจากสายตาของพวกเขาแล้ว
“วิชาตัวเบายอดเยี่ยมเช่นนี้ ตงฟางเชวี่ยช่างซ่อนตัวได้ดีนัก” ซั่งกวนเซ่าเฉินสงสัยในขณะที่ก้นบึ้งดวงตาฉายประกายอันตราย
ซูเช่อเรียนรู้จากก่อนหน้านี้จึงตระหนักได้ว่าตนเองกังวลมากเกินไป สายตาเบนไปทางมือสังหารในห้อง “ควรทำเช่นไรกับคนพวกนี้ดี?”
“ทั้งหมดล้วนเป็นคนของยุทธภพ ต่อให้รอดชีวิตก็ย่อมไม่เผยเรื่องของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แต่หากข้าเดาไม่ผิดย่อมต้องเป็นคนของฆาตกรที่สังหารอี้กุ้ยเฟยแน่นอน!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตึงเครียดขึ้นมา “ข้าจะกลับไปตรวจสอบในวังหลวง เสียนหวางจะไปด้วยกันหรือไม่?”บราวนี่ออนไลน์
เขาสามารถพูดว่าไม่ไปได้หรือ?
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ในพื้นที่ต้องห้ามส่วนลับของหุบเขาเย่าหวาง
“ที่นี่ถูกเรียกว่าพื้นที่ต้องห้าม แน่นอนว่านอกจากผู้นำหุบเขาก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาได้” ตงฟางเชวี่ยแนะนำอย่างใจกว้าง “แต่ในเมื่อข้ามอบหุบเขาเย่าหวางให้เจ้าแล้ว แน่นอนว่าด้วยสถานะของเจ้าย่อมเข้ามาได้”
เดิมหลิงมู่เอ๋อร์ยังอยากพูดอันใด แต่เห็นรอยยิ้มมีลับลมคมในของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะเปิดโปงออกมา “เกรงว่าในการศึกษาข้าคงต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างของที่นี่ เจ้าจึงใจกว้างพาข้ามาที่นี่กระมัง?”
“ถึงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งก็อย่าได้พูดออกมาเสียหมดจึงจะเป็นสหายที่ดี!” ตงฟางเชวี่ยทำมือเป็นท่าทางปิดปากก่อนจะเชื้อเชิญนางไปข้างใน
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งจิตใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเข้าไปในห้องก็ถูกทุกสิ่งข้างในทำให้ตะลึงงัน
นางกล้ารับรองเลยว่านี่เป็นภาพที่เห็นแล้วทำให้นางตกตะลึงมากที่สุดตั้งแต่มาที่โลกนี้
เพราะอุปกรณ์ที่วางอยู่ด้านในสุดของห้องลับล้วนเป็นของที่มีในอนาคต
ทุกอย่างเป็นของในห้องผ่าตัด!
“ของพวกนี้…”
“เป็นอย่างไร มหัศจรรย์ใช่หรือไม่?”
เห็นท่าทางตะลึงงันของหลิงมู่เอ๋อร์ ตงฟางเชวี่ยก็ราวกับบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของตนเอง “บอกแล้วเจ้าเงียบไว้เล่า เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าพาเข้ามาที่นี่ รู้สึกเป็นเกียรติมากใช่หรือไม่!”
ยิ่งกว่าเป็นเกียรติเสียอีก!
ยามนี้นางยิ่งรู้สึกสงสัยในตัวปรมาจารย์ของหุบเขาเย่าหวางมากขึ้น
นางถามตนเองซึ่งเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแพทย์ในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นางมาถึงโลกนี้ก็ทำได้เพียงใช้ทักษะแพทย์ให้น้ำเกลือและผ่าตัดอย่างง่ายๆ แต่ทั้งหมดตรงหน้ายามนี้นอกจากไฟฟ้าซึ่งยังไม่ถูกค้นพบแล้ว ทุกสิ่งที่ควรมีก็ล้วนมีถึงขั้นที่ความสามารถบางอย่างถูกแทนที่ด้วยภูมิปัญญาของคนยุคปัจจุบันทั้งหมด
“ขอถามอย่างกะทันหันเสียหน่อย ปรมาจารย์ของหุบเขาเย่าหวางคือผู้ใดหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ในยามนี้ไม่อาจสงบใจลงได้
ตงฟางเชวี่ยเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ก็นึกถึงตนเองในคราแรก เขาส่ายศีรษะอย่างภูมิใจ “ท่านปรมาจารย์ก็คือท่านปรมาจารย์จะเป็นผู้ใดไปได้ แต่ว่ากันว่าท่านเป็นสตรี”
สตรี?
หรือจะเหมือนกับนาง?
“ไม่ทราบว่ามีภาพเหมือนของท่านปรมาจารย์หรือไม่?” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์สั่นเทา แม้แต่ตนเองก็ล้วนคาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้
“ขอบอกเจ้าอย่างไม่ปิดบัง คราแรกยามที่ข้าเห็นของเหล่านี้ ข้าก็สงสัยเช่นกันว่าท่านปรมาจารย์เป็นคนมหัศจรรย์เช่นไร แต่ท่านอาจารย์เคยบอกว่าภาพเหมือนของท่านปรมาจารย์เป็นความลับของหุบเขาเย่าหวาง เขาไม่อนุญาตให้ผู้ใดนำภาพเหมือนของนางไปเผยแพร่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด” ตงฟางเชวี่ยไหวไหล่อย่างผิดหวังเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวังมาก
จะเพราะเหตุใดไปได้ คงเกรงว่าคนในอนาคตจะพบตัวตนที่แท้จริงของนางกระมัง?
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก!
แต่ผู้ตายเป็นใหญ่ ในเมื่อเป็นความตั้งใจเดิมของคน นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้เกียรติ
“มิน่าเล่าหุบเขาเย่าหวางจึงสามารถสืบทอดต่อมานับร้อยปีจนถึงทุกวันนี้ทั้งยังได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางเช่นนี้ มู่เอ๋อร์เลื่อมใสนัก”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงใจนับว่าเป็นการยกย่องผู้วางรากฐานของหุบเขาเย่าหวางจากใจจริง
“เช่นนั้นเจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการหุบเขาเย่าหวาง?”
“ไม่ต้องการ” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “สองคนข้างนอกยังไม่รู้สภาพร่างกายของข้า ข้าไม่เชื่อว่าผู้นำหุบเขาตงฟางจะไม่รู้ ร่างกายของข้าเกรงว่า…”
“อย่ามองโลกในแง่ร้ายเช่นนั้น จะต้องมีหนทางรักษาแน่นอน!”
แม้ตงฟางเชวี่ยจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งไม่มั่นใจ
ตั้งแต่ทะลุมิติมาจนถึงยามนี้นางได้แข่งขันทักษะแพทย์กับผู้คนมากมาย จนแม้แต่ยอดฝีมือที่มีนามว่าไซ่หัวถัวก็ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของนาง และตงฟางเชวี่ยที่สามารถตีเสมอนางได้ย่อมเห็นได้ว่าเขามีทักษะแพทย์ที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ล้วนบอกว่าไม่มีหนทางก็มองได้ว่าโรคประหลาดของนางไม่มีหนทางรักษาจริงๆ
“ดังนั้นเจ้าจึงพาข้ามาที่นี่เพราะต้องการตรวจสอบชีพจร และอวัยวะภายในของข้าเพื่อหาวิธีรักษาหรือ?”
“ถูกต้อง” ตงฟางเชวี่ยพยักหน้า “เชิญแม่นางหลิง!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใดทำตามคำชี้แนะของเขานอนลงบนอุปกรณ์ซึ่งถูกสร้างขึ้น แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่คุ้นเคยยิ่งแต่ภูมิปัญญาของคนโบราณเกินกว่าที่นางจะเข้าใจ นางจึงไม่รู้ว่าต้องควบคุมอุปกรณ์อย่างไร
เห็นเพียงตงฟางเชวี่ยวางเครื่องมือทั้งสองฝั่งของร่างนาง ทั้งยังใช้มือขวาจับชีพจรของนางเพื่อคอยสังเกตอย่างละเอียด ผ่านไปนานเขาก็เอาเข็มเงินมาเจาะเลือดนางไปตรวจสอบ หลังจากนั้นสักพักเขาก็ได้ข้อวินิจฉัยออกมา
“หากข้าเดาไม่ผิด โรคประหลาดของเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับทารกในครรภ์”
ก้นบึ้งในใจของหลิงมู่เอ๋อร์หนักอึ้ง นี่คือคำตอบที่นางไม่อยากได้ยินมากที่สุด
“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่บอกซั่งกวนเซ่าเฉิน”
หลิงมู่เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก “หากไม่มีเด็กคนนี้ชีพจรของข้าจะเป็นปกติใช่หรือไม่?”
“ตามหลักแล้วน่าจะใช้” ท่าทางของตงฟางเชวี่ยก็เคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน “แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากให้กำเนิดเด็กคนนี้ออกมา?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใด แต่ก็นับเป็นการตอบคำถามที่ดีที่สุดแก่เขา
“เช่นนั้นพวกเราก็มาให้กำเนิดเด็กคนนี้เถิด!”
คำตอบของตงฟางเชวี่ยเกินความคาดหมายของนางอยู่เสมอ
“ข้ากลับอยากเห็นว่าโรคประหลาดอันใดที่เป็นสาเหตุมาจากเด็กจนทำให้ผู้เป็นมารดาเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกัน! พูดตามตรงความทรมานของเจ้าในช่วงไม่กี่วันมานี้ หากเป็นทารกในร่างของคนทั่วไปคงก่อกวนผู้เป็นมารดาหรือสิ้นใจเพราะยาพิษไปนานแล้ว แต่ยามนี้ดูท่าเด็กคนนี้จะเข้มแข็งมากทีเดียว บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบที่สวรรค์ต้องการมอบให้เจ้า!”
คำพูดเช่นนี้นางยังสามารถฝืนใจยอมรับได้
นางก็เคยคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นเวลาที่เง็กเซียนฮ่องเต้ต้องการจะทดสอบทักษะแพทย์ของนาง
ตั้งแต่ปัจจุบันมาจนถึงอดีตนางไม่เคยพบคู่ต่อสู้ใดที่เหมาะสมเลย ผลคือแม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ยังทนมองต่อไปไม่ได้
“ดูท่าจะมีเพียงต้องทดลองวิธีที่คนผู้นั้นบอก”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดไปก็กระโดดลงไปจากแท่น “ไม่กี่วันมานี้ที่ผู้นำหุบเขาตงฟางให้การต้อนรับที่หุบเขาเย่าหวางต้องขอบคุณมาก”
ตงฟางเชวี่ยขวางนางไว้ “วิธีของคนผู้นั้นคือวิธีอันใด เจ้าพูดมาให้ชัดเจนก่อนค่อยไป”
“คนผู้นั้นอันใด เมื่อครู่ข้าล้วนมิได้พูดอันใด ผู้นำตงฟางเกรงว่าเจ้าคงฟังผิดแล้วกระมัง”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มพลางเดินอ้อมร่างเขาไป “บนโลกนี้ยังมีผู้ใดเก่งกาจกว่าหุบเขาเย่าหวางอีกหรือ?”
“ไม่จริง เมื่อครู่เจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า…”
“ตงฟางเชวี่ย ทักษะแพทย์ของเจ้าสูงส่งมากจริงๆ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถตีเสมอกับข้าได้ หากเป็นไปได้ข้าหวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กันอีกครา แน่นอนว่ายามนี้ข้าต้องรีบกลับไปจัดการเรื่องสำคัญที่วังหลวง ไม่รบกวนแล้ว หากมีวาสนาคงได้พานพบกันอีก ขอลา!”
ขัดขวางคำพูดของตงฟางเชวี่ย ก่อนที่หลิงมู่เอ๋อร์จะออกไปจากห้องลับซึ่งอยู่ในสถานที่ต้องห้าม
“หลิงมู่เอ๋อร์?”
ตงฟางเชวี่ยไล่ตามออกไปอย่างรวดเร็วแต่น่าเสียดายที่คนเดินไปไกลแล้ว
“เหอะ คิดจะไปตรวจสอบโรคประหลาดนี้เองโดยปิดบังข้าหรือ? ฝันไปเถิด…” ตงฟางเชวี่ยยกริมฝีปากอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อมายั่วยุข้าก็เลิกหวังที่จะสลัดข้าทิ้งไปได้เลย!”