เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 478 เวทมนตร์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 478 เวทมนตร์
เล่มที่ 16 ตอนที่ 478 เวทมนตร์
ปัง
เสียงหลังคาแตกละเอียด ร่างของคนหลายคนร่วงหล่นลงมาอย่างหนักหน่วง
หลิงมู่เอ๋อร์ที่ไม่ได้สติเหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง รู้สึกเพียงว่าหงุดหงิดเป็นอย่างมาก นางจึงขมวดคิ้ว
ตงฟางเชวี่ยที่กำลังสังเกตสถานการณ์อยู่ตลอด ยามที่หาจุดฝังเข็มกลับสงบเป็นอย่างมาก เขาฝังเข็มลงไปโดยไม่หันไปมองหลิงมู่เอ๋อร์ทั้งยังพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี อย่าโกรธเลย ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นเจ้าจะไม่เป็นอันใด มา หายใจเข้าออกพร้อมข้าเถิด…”
เสียงนี้ราวกับมีเวทมนตร์ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ที่กระสับกระส่ายสงบลงได้จริงๆ คิ้วของนางค่อยๆ คลายออก สีหน้าที่เดิมทีขาวซีดก็มีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย
“เหลืออีกแค่หนึ่งเค่อ คนพวกนี้เวลาเพียงชั่วครู่ก็รอไม่ไหว ช่างใจแคบเสียจริง!”
ตงฟางเชวี่ยกล่าวและวางเข็มเงินในมืออย่างไม่สบอารมณ์ มองฝั่งตรงข้ามที่ห่างออกไปหลายจั้ง ซูเช่อกำลังขวางคนชุดดำที่หมายจะพุ่งเข้ามา มือทั้งสองข้างของเขาป้องไว้ข้างปากและตะโกน “คุณชายซูพยายามเข้า เหลืออีกแค่สามคนจัดการได้สบายมาก”
ซูเช่อที่มีบาดแผลบนตัวมากมายขมวดคิ้วแน่นมิได้หันกลับไปมอง “พวกเขาสองคนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดี ดีมากทีเดียว แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือช่วงเวลาตอนท้าย หากถูกขัดขวางพวกเขาสองคนย่อมต้องตายตกอย่างมิต้องสงสัย ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว!”
ตงฟางเชวี่ยกล่าวจบก็วางมือทั้งสองข้างลง รีบหยิบเข็มเงินมาฝังที่อกหลิงมู่เอ๋อร์ก่อนหนึ่งเข็ม ทั้งยังเคลื่อนตัวไปที่อกของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างรวดเร็ว และฝังเข็มลงไปหนึ่งเข็มในตำแหน่งเดียวกัน
สุดท้ายเขาก็ตบหน้าอกและพ่นลมหายใจราวกับได้เกิดใหม่ “ฮู่ว ยังดีที่เปิ่นกงจื่อตอบสนองได้ไวพอ”
ตรงหน้ามีการต่อสู้ดุเดือด ไหนเลยทางฝั่งนี้จะไม่เคร่งเครียดเช่นเดียวกัน?
มีบทเรียนจากเมื่อครู่ ตงฟางเชวี่ยก็ไม่กล้าเบนสายตาออกไปอีกแม้แต่นิ้วเดียว ตั้งแต่เริ่มจนจบก็สังเกตสีหน้าและชีพจรของทั้งสองคนอย่างละเอียด
ทันใดนั้นชีพจรของคนทางด้านซ้ายก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา ยามที่ตงฟางเชวี่ยหันกลับไปก็เห็นเพียงร่างกายที่เดิมทีสงบนิ่งลอยขึ้นมาเล็กน้อย
ตงฟางเชวี่ยตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน!
“นี่ ล้วนบอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าโกรธอย่ามีโทสะ มือสังหารมาแล้วอย่างไร หากสถานการณ์ของเจ้ายังเป็นเช่นนี้ ถึงมือสังหารไม่มาฆ่าเจ้า เจ้าก็คงร่างระเบิดตายไปเสียก่อน!”
ตงฟางเชวี่ยพูดกับหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตึงเครียด หวังว่าคำพูดของตนจะสามารถเข้าถึงนางที่ไม่ได้สติอยู่และทำให้สงบลงได้
คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์ไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นกลับยิ่งเลวร้ายลง ร่างของหลิงมู่เอ๋อร์สั่นไหวอย่างรุนแรงอีกทั้งชีพจรก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น
“หลิงมู่เอ๋อร์ เซียนแพทย์หลิง!”
ตงฟางเชวี่ยร้อนรน ใบหน้าไม่มีความสบายใจอันใดอีกต่อไป เขาปล่อยซั่งกวนเซ่าเฉินไว้โดยสิ้นเชิง มือทั้งสองข้างกดไหล่ของหลิงมู่เอ๋อร์เอาไว้หวังว่าจะกดร่างที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อของนางไว้ได้
แต่การกระทำเช่นนี้ทำให้ไม่อาจตรวจชีพจรของนางได้ จนปัญญาจะรู้สภาพร่างกายของนางในยามนี้ได้ นี่นับว่าหลิงมู่เอ๋อร์มีอันตรายเป็นอย่างมาก
“เกิดอันใดขึ้น?”
ซูเช่อที่กำลังต่อสู้อยู่ข้างหน้าสังเกตเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ
“ไม่ ไม่มีอันใด ท่านรับผิดชอบจัดการมือสังหารไปเถิด ข้าจะรับผิดชอบสตรีที่ท่านเป็นห่วงเอง!”
ตงฟางเชวี่ยกล่าว ฉับพลันนั้นก็ยกเท้าขวาขึ้นมาเหยียบมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้แน่น ดึงมือออกมาและสังเกตข้อมือของหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา
ยามนั้นเองหลิงมู่เอ๋อร์ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลราวกับพบบางสิ่ง นางคำรามออกมาโดยพลันก่อนทั้งร่างจะลุกขึ้นมานั่งทันที
ตามหลักแล้วนางที่กินยาพิเศษเข้าไปต้องไม่ฟื้นขึ้นมา เสียงการต่อสู้ทางฝั่งนี้อาจรบกวนนางทำให้จิตใจของนางปั่นป่วนแต่ก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาได้เด็ดขาด
ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์กลับตื่นขึ้นมาเช่นนี้ ถึงขั้นเสมือนว่า…มีกำลังวังชาเป็นอย่างมากอีกด้วย
“แม่เจ้า เกิดอันใดขึ้นกัน?”
ตงฟางเชวี่ยสั่นสะท้านยืนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน รีบไปหยิบตำราโบราณคิดจะพลิกอ่านเพื่อตรวจสอบ แต่ก็ตระหนักได้ว่าในยามนี้ไม่มีเวลามาเตรียมตัวแล้ว เขารีบกดหลิงมู่เอ๋อร์ลงบนพื้น
“เซียนแพทย์หลิงการถ่ายเลือดยังไม่เสร็จสิ้น เจ้าแน่ใจหรือว่าจะลากร่างผู้ชายของเจ้าไปช่วยบุรุษตรงหน้า!”
“ยามนี้ร่างกายข้าอยู่ในสภาพที่ดียิ่งแล้ว หยุดขั้นตอนนี้ได้แล้ว”
ใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ถูกต้อง นางมิได้โกหก ยามนี้นางรู้สึกว่าร่างกายสบายดียิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตำราโบราณกล่าวไว้ว่าหลังผ่านการถ่ายเลือด ทั้งสองคนจะล้วนอ่อนแรงยิ่งซึ่งต้องพักฟื้นอย่างน้อยครึ่งเดือน
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด ร่างกายของนางจึงราวกับได้กินสมุนไพรบำรุงสิบขนานจนมีเรี่ยวแรงมหาศาล มองซั่งกวนเซ่าเฉินอีกคราเห็นว่าไม่มีปัญหาอันใด นางจึงตัดสินใจว่านางจะเข้าไปช่วยซูเช่อ
ยามนั้นเองซูเช่อที่อยู่ตรงหน้าก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา “เป็นควันพิษ ตงฟางเชวี่ย ส่งต่อให้เจ้าแล้ว!”
ตงฟางเชวี่ยและหลิงมู่เอ๋อร์ที่ได้ยินก็หันกลับไปโดยพลัน เห็นเพียงมีท่อไม้ไผ่นับไม่ถ้วนอยู่บนหน้าต่างทางด้านซ้ายขวา และยังมีควันซึ่งมีกลิ่นเฉพาะตัวออกมาด้วย
“คุณพระคุณเจ้า นี่หมายจะฆ่าคนให้ตายตกทั้งยังจะทำลายหุบเขาเย่าหวางของข้าให้สิ้นอีกหรือ!”
ตงฟางเชวี่ยตอบสนองเป็นคนแรก เห็นเพียงเขาพุ่งไปที่กำแพงข้างหลังโดยพลัน ไม่ทราบว่ากดอันใดแต่ข้างหน้าเตียงหินกลับมีกำแพงเหล็กยกขึ้นมาในทันที
ถูกต้อง เป็นกำแพงที่สร้างขึ้นมาด้วยแผ่นเหล็ก หลังจากกดปุ่มเปิดทำงานกำแพงก็ยกสูงขึ้นปิดกั้นภายนอก และตัดขาดกลายเป็นโลกสองฝั่ง
“ยังดีที่ข้ามองการณ์ไกล ไม่คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์!” ตงฟางเชวี่ยตบหน้าอกอย่างพอใจ ก่อนจะหันกลับไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ “เจ้าวางใจเถิด กำแพงเหล็กนี่ข้าศึกษามาครึ่งปีเต็มจึงสร้างออกมาได้ ไม่เพียงแต่อาวุธแทงไม่เข้า ยังสามารถป้องกันไม่ให้ควันใดไหลเข้ามาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นกลไกนี้มีแค่ในห้อง คนข้างนอกต่อให้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าก็ไม่อาจบุกเข้ามาได้”
กล่าวจบตงฟางเชวี่ยก็มีรอยยิ้มคุยโวบนใบหน้าราวกับจะกล่าวอีกว่า ‘ข้าเก่งมากใช่หรือไม่’
แต่ยังไม่ทันได้รับคำชมอย่างที่จินตนาการไว้ หลิงมู่เอ๋อร์กลับมีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา
“นี่เจ้าทำบ้าอันใด เจ้าตัดขาดพวกเราจากโลกภายนอก เช่นนั้นแล้วซูเช่อจะทำอย่างไร?”
“พี่ใหญ่ ท่านไม่เห็นหรือว่าข้างนอกมีควันพิษอยู่? หากมิใช่เพราะข้ายกกำแพงเหล็กขึ้นมาได้ทันเวลา พวกเราคงล้วนได้รับควันพิษจนตายตกไปแล้ว แต่ท่านกลับไม่สนใจชีวิต” ในเวลาเช่นนี้ยังเป็นห่วงผู้อื่น ช่างโง่เขลาเสียจริง
“เช่นนั้นแล้วซูเช่อจะทำอย่างไร ข้างนอกมีมือสังหารตั้งมากมาย เขาคนเดียวจะจัดการได้อย่างไร? พวกเราจะสนใจแค่ความปลอดภัยของตนเองและทิ้งเขาไปได้อย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่กล้าคิดว่าซูเช่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง และยิ่งไม่กล้าคิดว่าจุดจบของเขาจะเป็นเช่นไร
นางไม่สนใจสภาพร่างกายของตนเอง หลังจากจัดแจงให้ซั่งกวนเซ่าเฉินพักอย่างสบายก็พลิกตัวคิดจะไปช่วยคน แต่ตงฟางเชวี่ยไหนเลยจะอนุญาตให้หนูทดลองของตนเองเอาชีวิตไปทิ้ง
“หลิงมู่เอ๋อร์! แม้เจ้าไม่สนใจตัวเจ้าเอง แต่ผู้ชายของเจ้าเล่า? ซั่งกวนเซ่าเฉินเอาเลือดทั้งหมดของตนมาให้เจ้า ยามนี้หากเจ้าดึงท่ออ่อนออก ร่างของเขาก็จะระเบิดตาย เจ้าคิดให้ดี เป็นชีวิตผู้ชายของเจ้าสำคัญหรือชีวิตของบุรุษข้างนอกที่สำคัญ!”
เสียงตะโกนนี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์สับสนขึ้นมา
นางมองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างเคร่งเครียด ยามนี้เขาหมดสติอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นโดยสิ้นเชิง
นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดระหว่างกระบวนการนี้นางจึงฟื้นขึ้นมาก่อนกำหนด คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเลือดในร่างมีผลของไป่หลิงเซียนที่ตกตะกอนอยู่ ในขณะเดียวกันนางก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าขอเพียงนางไม่สร้างความวุ่นวาย ซั่งกวนเซ่าเฉินย่อมไม่เป็นอันใด
แต่ซูเช่อเล่า?
จะทิ้งเข้าไว้โดยไม่สนใจหรือ?
เขาต้องตายเป็นแน่!
“คนหนึ่งก็สามีข้า คนหนึ่งก็เป็นสหายที่สำคัญเท่าชีวิตข้า ทั้งสองคนคือชีวิตของข้า ข้าจะช่วยทั้งคู่!”
กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ชิงเข็มเงินในมือของตงฟางเชวี่ยมา และฝังเข็มลงบนตำแหน่งสำคัญบนร่างของซั่งกวนเซ่าเฉินหลายเข็ม เมื่อแน่ใจว่าเลือดไม่ไหลออกมาอีก นางจึงดึงท่อหนังอ่อนบนตัวออกและนึกคิดว่าจะเข้าไปในมิติ
ยามที่ตงฟางเชวี่ยมีการตอบสนอง ในห้องไหนเลยจะยังมีเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์?
“ข้าตาฝาดหรือ? คนเล่า!”
ยามที่เคลื่อนที่ออกไปจากกำแพงเหล็ก หลิงมู่เอ๋อร์ก็ออกมาจากมิติ จากนั้นจึงเห็นซูเช่อล้มอยู่บนพื้น และดาบในมือของคนชุดดำยังอยู่ห่างจากคอของเขาแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น
เข็มเงินในมือซัดออกไปที่ข้อมือทำให้ดาบในมือของมือสังหารร่วงหล่นลง หลิงมู่เอ๋อร์รีบพุ่งเข้าไปแบกร่างของซูเช่อขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะหลบเลี่ยงการโจมตีคราแรกของคนชุดดำไปได้ ทว่ากลับไม่อาจหลบเลี่ยงในคราที่สองได้ ได้ยินเพียงนางร้องครวญครางขึ้นมาเสียงหนึ่ง ข้อมือก็ถูกดาบในมือคนชุดดำฟันเข้า
การกระทำนี้ราวกับไปกระตุ้นโทสะในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมา ได้ยินเพียงนางสบถว่าสมควรตายคราหนึ่ง ก่อนที่ฉับพลันนั้นจะยื่นแขนทั้งสองข้างไประเบิดความสามารถทั้งหมดภายในร่างออกมา
ปัง
คนชุดดำสองคนที่เหลืออยู่ทนรับพลังอันแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมาจากร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ไหว ทั้งตัวคนกระเด็นออกไปชนเข้ากับผนังข้างหลังโดยตรง
เข็มเงินหลายเล่มถูกซัดออกไปจากร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว บนอกของคนชุดดำก็ถูกเข็มเงินหลายสิบเล่มแทงจนราวกับเป็นตัวเม่นและตายคาที่
“ซูเช่อ!”
ยามที่หันกลับไปที่ซูเช่อซึ่งอยู่ด้านข้าง หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบตรวจชีพจรของเขาพบว่าเขาเพียงแค่หมดสติไปชั่วขณะ และไม่ได้รับบาดเจ็บจากควันพิษ นางจึงเพิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเอายาออกมาจากในมิติเพื่อให้เขากิน
มองคนชุดดำบนพื้นอีกครา นางนับดูแล้วมีจำนวนสิบกว่าคน เขาอาศัยร่างกายเช่นนี้ต่อสู้กับคนเหล่านี้นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ข้าติดหนี้ท่านแล้ว ชาติหน้าจะต้องใช้คืนอย่างแน่นอน!”
เมื่อยืนยันว่าควันพิษในห้องถูกนางกำจัดไปหมดแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็แบกซูเช่อไปเคาะกำแพงเหล็กที่ปิดสนิทอยู่
กำแพงเหล็กเคลื่อนลงก่อนจะได้เผชิญกับใบหน้าที่ดูร้ายกาจของตงฟางเชวี่ย
เขามองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันกลับไปมองในห้องที่ว่างเปล่าอีกครา สีหน้าของเขาก็ดุร้ายทั้งยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด “เจ้า สตรีผู้นี้หนีออกไปได้อย่างไร?”
“ยังงงอันใดอีก มาช่วยเร็ว”
หลังจากโยนร่างของซูเช่อไปให้ตงฟางเชวี่ย ในที่สุดหลิงมู่เอ๋อร์ก็หมดเรี่ยวแรงและล้มลงไปกับพื้น
“เจ้าวางใจเถิด ควันพิษถูกกำจัดหมดแล้วและไม่เป็นอันตรายกับชีวิตเจ้า ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”
นางกล่าวก่อนที่ดวงตาจะปิดลง เกือบจะหมดสติไปอีกครา
นางรีบแทงเข็มเงินเข้าไปที่จุดบนร่าง ยามนี้เองที่ร่างกายตื่นตัวขึ้นมา
ตงฟางเชวี่ยที่จ้องมองนางตั้งแต่ต้นจนจบก็ราวกับเห็นปีศาจ บนร่างยังแบกร่างของบุรุษที่หมดสติไว้อยู่ แต่เขาก็ยังพิจารณานางด้วยความสงสัย “นางมาร ที่แท้เจ้าก็คือนางมาร บอกมาเมื่อครู่เจ้าใช้เวทมนตร์อันใดจึงแยกตัวออกไปได้?”
เห็นตงฟางเชวี่ยมองนางด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง ทั้งยังปฏิบัติราวกับนางเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง
หลิงมู่เอ๋อร์ใช้แขนทั้งสองข้างพยุงร่างขึ้นมาและยืดตัวตรงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา “ทำไม รู้สึกกลัวข้ามากหรือ? อยากฆ่าข้าหรือ?”
ผ่านไปนานตงฟางเชวี่ยก็ยังไม่ส่งเสียงใดออกมา
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดว่าเขาหมายจะหาข้ออ้างฆ่าคน ก็เห็นเพียงเขาทิ้งซูเช่อไว้ด้านหนึ่งโดยพลัน และคุกเข่าทั้งสองข้างลงไปบนพื้นตรงหน้านางด้วยความจริงใจ พลางเอามือทั้งสองข้างจับแขนเสื้อนางไว้แน่น “ท่านอาจารย์ นับแต่นี้ไปท่านเป็นอาจารย์ของข้า ช่วยเด็กตาดำๆ ด้วยเถิด เวทมนตร์อันใดร้ายกาจถึงเพียงนี้ ได้โปรดถ่ายทอดให้ศิษย์ด้วย!”