เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 477 หลบซ่อนตัว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 477 หลบซ่อนตัว
เล่มที่ 16 ตอนที่ 477 หลบซ่อนตัว
“เหนียงเหนียง ตรวจสอบชัดเจนแล้วเพคะ เมื่อวานฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวแอบพาจางกุ้ยเหรินไปเพราะนางสวมชุดผ้าไหมปักเลื่อมเพคะ แต่ว่ากันว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่นานจึงปล่อยตัวคนเพคะ” สาวใช้ส่วนตัวรายงานขณะที่มองไปทางหมิ่นกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์อย่างระมัดระวัง
“เลื่อม?” หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวทวนคำนี้ ก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้โดยพลัน นางจึงรีบไปนั่งหน้าคันฉ่องทองแดง
ยามที่เห็นว่าชุดบนตัวนางก็มีเลื่อมเช่นกันก็ตกใจจนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ทุกส่วนของร่างตึงเครียดขึ้นมากำลังคิดแผนการรับมือก่อนจะนึกอันใดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “เหอะ เลื่อมนี่ได้มาเป็นเครื่องบรรณาการจากต่างแคว้นเมื่อสองปีก่อน ฝ่าบาททรงพระราชทานให้เหล่าพระสนมสูงศักดิ์ทุกตำหนัก นอกจากสีที่ต่างกันสามสี รูปร่างก็ล้วนเหมือนกัน ดูท่าพวกเซียวเหยาหวางจะตรวจสอบบางสิ่งอยู่ เช่นนั้นพวกเขาก็เคลื่อนไหวแล้วกระมัง?”
สาวใช้ชะงักไปก่อนจะรีบกล่าวประจบประแจง “เหนียงเหนียงทรงพระปรีชา แม้แต่เซียวเหยาหวางก็ไม่อาจสืบพบอันใด แต่หลายวันมานี้ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหว เซียวเหยาหวาง รวมถึงเจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางล้วนเข้าออกวังหลังไม่หยุด และพากันอ้างเหตุผลในการไปเยี่ยมเยียนตำหนักของเหล่าพระสนม คิดว่าคงมีเบาะแสบางอย่างจึงกำลังตรวจสอบอยู่เพคะ”
หมิ่นกุ้ยเฟยแค่นเสียงเย็น “ระหว่างปะทะกับนางสารเลวนั่นข้าอาจจะถูกนางทำเลื่อมบนตัวหลุดไปอย่างไม่ทันระวัง แต่แล้วอย่างไรเล่า? ฝ่าบาทพระราชทานเลื่อมเหล่านี้ให้คนตั้งมากมายถึงเพียงนั้น จะอาศัยสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวมาชี้ตัวฆาตกรที่สังหารอี้กุ้ยเฟยได้อย่างไร? คนพวกนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง!”
มองใบหน้าที่วาวโรจน์ของตนเองในคันฉ่อง หมิ่นกุ้ยเฟยก็สูดหายใจเข้าลึกและอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม “มนุษย์หนอ ยามที่กำจัดเสี้ยนหนามแทงใจออกไปได้อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก เมื่ออารมณ์ดีก็ทำให้สีหน้าดีขึ้นไปด้วย”
นางลูบไล้ใบหน้าของตนเองอย่างพิจารณา แม้ว่าช่วงนี้นางจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่ตราบใดที่นางยังมีความเยาว์วัยอยู่เสมอ ฮ่องเต้ย่อมรักและทะนุถนอมนางเป็นธรรมดา
“ไม่ถูก เหตุใดระยะนี้จึงไม่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์เลยเล่า?”
หมิ่นกุ้ยเฟยพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ “นางใส่ใจนางสารเลวอี้กุ้ยเฟยถึงเพียงนั้น ยามที่อี้กุ้ยเฟยมีชีวิตอยู่ก็ปกป้องนางอยู่ตลอด ยามนี้คนก็ตายไปแล้ว เหตุใดนางจึงหลบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบกะทันหันเช่นนี้?”
จิตใจแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน อี้กุ้ยเฟยมองใบหน้าของสาวใช้ที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่อง “เกิดอันใดขึ้น? ไปตรวจสอบมาให้ชัดเจน”
หลังจากอี้กุ้ยเฟยเสียชีวิตเมื่อไม่กี่วันก่อน ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวที่แต่ไหนแต่ไรไม่ค่อยเข้าวังหลวงก็เข้ามาที่วังหลวงอย่างกะทันหัน แม้จะอ้างอย่างสวยหรูว่ามาดูแลฮ่องเต้ แต่ก็แอบไปเยี่ยมเยียนที่ตำหนักของเหล่าพระสนมไม่หยุดหย่อน
ยังมีเจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางที่มักจะหาเหตุผลไปเยี่ยมเยียนตำหนักของพระสนม การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของทั้งสองคนนี้ทำให้นางเริ่มสงสัยว่า ยามที่สังหารอี้กุ้ยเฟยอาจทิ้งร่องรอยอันใดไว้โดยมิได้ตั้งใจ
แต่นางเอาเสื้อผ้าที่สวมไปวันนั้นออกมาดูแล้วก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ อีกทั้งสองคนนั้นยังมิได้มาตรวจสอบที่ตำหนักของนาง นางก็ไม่มีอันใดต้องกังวล
ถึงอย่างไรนางก็คิดไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าต่อให้ถูกตรวจสอบขึ้นมา นางถูกฮ่องเต้รับสั่งห้ามมิให้เข้าออกจากตำหนักตามอำเภอใจ คนเหล่านั้นมิใช่ว่าย่อมจนปัญหาหรือ
แต่หลิงมู่เอ๋อร์ต่างออกไป
เด็กสาวผู้นั้นดื้อดึงเป็นอย่างมาก การกระทำอย่างหุนหันนั้นแม้แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ฉุดไว้ไม่อยู่ แต่เหตุใดหลายวันมานี้จึงไม่เห็นคนของนางเลยเล่า?
“เหนียงเหนียงแย่แล้วเพคะ” สาวใช้ยังไม่กลับมาก็มีเสียงดังเข้ามาก่อน
“สามหาว!”
หมิ่นกุ้ยเฟยไม่พอใจ “เหนียงเหนียงของเจ้ายังนั่งอยู่ที่นี่จะมีอันใดแย่?”
สาวใช้ตกใจรีบคุกเข่าลงบนพื้น “เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจล่วงเกินเหนียงเหนียง เป็น เป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรองที่แย่แล้วเพคะ”
“ทำไม โรคประหลาดนั่นกำเริบหรือ ตายแล้วหรือ?” หมิ่นกุ้ยเฟยได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์แย่แล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาอีกคราอย่างอธิบายไม่ถูก
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกคนเรียกว่าปีศาจ แม้จะไม่รู้ว่าผู้ใดแอบลงมือจับกุมทุกคนที่สร้างข่าวลือ หากไม่ข่มขู่ก็สั่งสอนทำให้ข่าวลือเหล่านั้นเพียงไม่กี่วันก็หายไป แต่เรื่องโรคนั้นของนางกลับเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้
หากมิใช่เพราะอี้กุ้ยเฟยแย่งตำแหน่งหวางโฮ่วของนางไปทำให้นางไม่มีอารมณ์จะไปโต้เถียงกับหลิงมู่เอ๋อร์ นางก็อยากไปนั่งที่ตำหนักองค์ชายรองและค่อนขอดนางด้วยโรคประหลาดของนางเสียจริง
“ได้ยินว่าเมื่อคืนก่อนเจิ้งเฟยขององค์ชายรองป่วยอย่างกะทันหัน แม้จะดึกแล้วแต่องค์ชายรองก็พานางไปที่หุบเขาเย่าหวางเพคะ” สาวใช้รายงานตามจริง “คนเป็นหรือตายก็ยังมิทราบ แต่เห็นว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรองป่วยหนักมากเพคะ”
“หุบเขาเย่าหวางหรือ?”
ดวงตาของหมิ่นกุ้ยเฟยกลิ้งกลอก “หลิงมู่เอ๋อร์ถูกเรียกว่าแม่นางเซียนแพทย์ มีทักษะแพทย์ที่แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังตรัสชื่นชมไม่ขาดปาก มีข่าวลือว่ายามนั้นที่ซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่ในเงื้อมมือของมัจจุราชในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายก็ยังช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ครานี้แม้แต่ตนเองกลับช่วยไม่ได้หรือ? ดูท่านางจะป่วยร้ายแรงจริงๆ!”บราวนี่ออนไลน์
นึกได้เช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะโค้งริมฝีปากขึ้นมา
“เปิ่นกงยังคิดว่าจะใช้วิธีใดกดข่มนางไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอี้กุ้ยเฟย ยามนี้ดูท่าแม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ยังช่วยข้า!”
ผลคือศัตรูคู่แค้นของนางก็ตายตกไปแล้ว เคราะห์ดีของนางล้วนกลับมาแล้ว
“เจ้าเอาหูมาใกล้ๆ หน่อย” นางงอนิ้วเรียกสาวใช้
“เหนียงเหนียงมีรับสั่งอันใดหรือเพคะ?”
หมิ่นกุ้ยเฟยกะพริบตา ในก้นบึ้งดวงตามีแผนการวาบผ่าน “ยามนี้เปิ่นกงออกจากวังหลังไม่ได้จึงมีเรื่องมากมายที่ไม่อาจทำได้ แต่เจ้ามิใช่ว่ามีญาติผู้พี่ทำงานอยู่ในวังหลวงหรือ? เขาคงสามารถออกจากวังหลวงได้ตามแต่ใจกระมัง?”
สาวใช้ตกใจ คาดไม่ถึงว่าเหนียงเหนียงจะมีความคิดไปถึงครอบครัวของนาง
ญาติผู้พี่อันใด เพื่อไม่ให้ถูกคนรู้สถานะจึงจงใจหาข้ออ้างมาแก้ตัวเท่านั้น แต่หากเหนียงเหนียงให้เขาไปทำเรื่องอันตรายอันใดจะมิเป็นการทำร้ายเขาหรือ?
“เหนียงเหนียง ญาติผู้พี่เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาในวังหลวงเพคะ เขา…”
“หนึ่งร้อยตำลึง”
หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวพลางเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งทะนง “หาคนมาสองสามคนไปเป็นธุระให้เสีย หนึ่งร้อยตำลึง พวกเจ้าย่อมไม่ขาดทุน”
สาวใช้ตกใจรีบคุกเข่าลงไปบนพื้น “เหนียงเหนียงโปรดอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันจะยอมสละชีวิตเพื่อเหนียงเหนียงและทำตามรับสั่งของเหนียงเหนียงเพียงผู้เดียวเพคะ”
ณ หุบเขาเย่าหวาง
ในห้องเตาหลอมลับที่ใช้กลั่นยา ติดกับกำแพงข้างหนึ่งมีเตียงหินสองหลังตั้งอยู่ เตียงหินนั้นเย็นยะเยือกทำให้บรรยากาศค่อยๆ เย็นขึ้น ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์แยกกันนอนบนเตียงหินทั้งฝั่งซ้ายและขวา ตรงกลางเชื่อมต่อกันด้วยท่อที่ทำจากหนังนุ่มซึ่งมีเพียงที่หุบเขาเย่าหวาง และเสียบอยู่บนแขนของทั้งสองคน
ในยามนี้หลิงมู่เอ๋อร์หมดสติไปแล้ว หากนางฟื้นขึ้นมาจะต้องตกใจที่พบว่าวิธีการนี้เหมือนกับการผ่าตัดในยุคปัจจุบันทุกกระเบียดนิ้ว และนางย่อมต้องยิ่งสงสัยว่าปรมาจารย์ของหุบเขาเย่าหวางคือใครเป็นแน่
“รบกวนเสียนหวางรับหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่อย่าให้ผู้ใดเข้ามา หากชะงักกลางคันทั้งสองคนนี้เกรงว่าชีวิตย่อมตกอยู่ในอันตราย รบกวนด้วย!”
ตงฟางเชวี่ยอธิบายขณะที่ม้วนแขนเสื้อกว้างขึ้นมา เขานั่งลงตรงกลางเตียงหิน ทั้งมือซ้ายและขวาฝังเข็มเงินลงไปบนชีพจรของทั้งสองคน จากนั้นราวกับเครื่องจักรถูกเปิด ในท่อหนังนุ่มสามารถเห็นของเหลวสีแดงค่อยๆ ไหลอยู่ได้
เพื่อเพิ่มความเร็วตงฟางเชวี่ยเหมือนจะทำบางสิ่งเพื่อเร่งให้เลือดไหลเร็วขึ้น
ซูเช่อเห็นเช่นนั้นก็ออกไปข้างนอกพร้อมกระบี่ในมือโดยพลัน เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ปกป้องไม่ให้แม้แต่แมลงวันสักตัวบินเข้าไปได้
“ทักษะการถ่ายเลือดลึกล้ำและซับซ้อนเป็นอย่างมาก อีกทั้งขั้นตอนยังยาวนานไม่อาจถูกขัดขวางกลางคันได้ หากถูกก่อกวนอย่างเบาก็ธาตุไฟเข้าแทรก หากร้ายแรงก็อาจเสียชีวิตในทันที ดังนั้นจึงต้องให้ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งรับหน้าที่คุ้มกัน พวกท่านก็รู้ว่าหุบเขาเย่าหวางของข้าตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนหลังจากท่านอาจารย์ขี่กระเรียนขึ้นสวรรค์ไปอย่างกะทันหันก็มีหมอยาจำนวนมากออกไป เหลือเพียงหมอยาไม่กี่คนที่ยังเยาว์วัย อย่าว่าแต่วรยุทธ์เลยแม้แต่ไก่ป่าก็ยังขวางไว้ไม่ได้ดังนั้น…”
“ข้าจะคุ้มกันเอง”
ซูเช่อนึกถึงเรื่องทั้งหมดเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เขาแทบจะอาสาด้วยตนเองอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เสียนหวางผู้หนึ่งถูกให้รับหน้าที่สุนัขเฝ้าประตู ไม่ว่าจะเป็นเพราะการทุ่มเทในรักก็ดี หรือเป็นเพราะมิตรภาพก็ช่าง เขาก็ไม่รู้สึกว่าการกระทำนี้น่าขายหน้าแต่อย่างใด
“เสียนหวางช่างมีคุณธรรม เช่นนั้นก็ดี เสียนหวางคอยคุ้มกันไว้ กระบวนการนี้น่าจะยาวนานประมาณสองชั่วยาม เสียนหวางอย่าได้งีบหลับไประหว่างนี้เล่า”
ตงฟางเชวี่ยหันไปกวนอารมณ์ของซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ “พวกท่านสองคนคิดให้รอบคอบเล่า ทักษะการถ่ายเลือดเป็นการสับเปลี่ยนเลือดในร่างกายของคนสองคน และด้วยเหตุที่พี่ซั่งกวนได้เคยกินผลของไป่หลิงเซียนเข้าไป ต่อให้เลือดจะถูกสับเปลี่ยนก็มิได้สร้างความเสียหายอันใด แต่กระบวนการนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากทำขั้นตอนใดไม่ถูกต้องจะทำให้ทั้งสองคนเสียชีวิตได้ อ้อ แต่ข้าขอชี้แจงไว้ก่อนว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดย่อมมิใช่เพราะข้าไร้ความสามารถแน่นอน”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์อยากจะพูดอันใด ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เพียงแค่มองดวงตาของนางด้วยท่าทีจริงจังและเคร่งขรึม “ชีวิตของมู่เอ๋อร์ก็คือชีวิตของข้า อย่าว่าแต่เลือดเลยต่อให้นางอยากเอาหัวนี้ไปเตะเป็นลูกหนัง ข้าก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย เจ้าลงมือเถิด ข้ามาหาเจ้าก็เพราะเชื่อใจเจ้า”
“ช่างตรงไปตรงมานัก”
ตงฟางเชวี่ยยืนอยู่หน้าเตียงหินและทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญ “ขอเชิญหนูทดลองทั้งสองมาทำการแสดง”
ซูเช่อดึงสติกลับมา หางตามองประตูห้องที่ปิดสนิท ผ่านไปหนึ่งชั่วยามในห้องก็ไม่มีเสียงอันใดดังออกมา
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเขาหวังอยากเป็นผู้ที่นอนอยู่ข้างในเพื่อถ่ายเลือดให้หลิงมู่เอ๋อร์มากที่สุด แต่ลิขิตสวรรค์ก็คือลิขิตสวรรค์
ชีวิตนี้เขาถูกลิขิตว่าไม่มีวาสนาร่วมกับหลิงมู่เอ๋อร์
แต่นั่นย่อมไม่เป็นอันใด เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าซูเช่อจะปกป้องไว้ด้วยชีวิต
“ผู้ใด!”
ซูเช่อตะโกนอย่างเดือดดาล สิ้นคำพูดกระบี่ในมือก็ออกมาจากฝักโดยพลัน
แต่ภายในลานเงียบสงบไหนเลยจะมีวี่แววของคน?
“คุณชายซู ผู้ใดอะไรหรือ ที่นี่นอกจากท่านกับข้าก็ไม่มีผู้อื่นแล้วขอรับ” หมอยามองไปรอบด้านอยู่นานแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ รู้สึกเพียงว่าเขาเคร่งเครียดเกินไปเท่านั้น
เพิ่งสิ้นคำพูดของเขาก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาโดยพลัน หมอยายังมิทันตอบสนอง กระบี่ในมือซูเช่อก็แทงออกไป ปลายกระบี่ตวัดขึ้นอย่างแผ่วเบาลูกธนูก็ตกลงไปบนพื้น ยามที่ลมหนาวพัดผ่าน คนในชุดดำหลายคนก็สะกิดปลายเท้าพาร่างทะยานมาอยู่กลางลานด้วยท่าทีดุร้ายโดยพลัน
“มีเปิ่นหวางอยู่ ข้าอยากรู้นักว่าผู้ใดจะสามารถบุกเข้าไปในห้องข้างหลังเปิ่นหวางได้!”
ยามที่ซูเช่อกล่าวอย่างรวดเร็ว ฉับพลันนั้นก็พุ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่ตามองไม่ทัน
ร่างของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นมังกรคะนอง กระบี่ในมือราวกับไม้เท้าที่ใช้ปลิดชีพคน ยามกระบี่ฟาดฟันคนก็ล้มลงบนพื้น ทั้งในห้องและนอกห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดน่าคลื่นเหียน
“ช่วยด้วย ท่านอาจารย์ช่วยด้วยขอรับ!”
หมอยาตกใจกลัวนั่งยองตะโกนเสียงดังในขณะที่กุมศีรษะอยู่บนพื้น คิดอยากจะพุ่งเข้าไปในห้องลับข้างหลัง
ซูเช่อเกรงว่าหมอยาผู้นั้นจะรบกวนการถ่ายเลือดของหลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉิน ยามที่จัดการกับมือสังหารก็ทะยานร่างกลับมาหิ้วคอเสื้อของหมอยายกขึ้นไปบนหลังคา
ยามที่ลืมตาก็เห็นเพียงบนหลังคาก็มีมือสังหารซ่อนตัวอยู่
“คุณ คุณชายซู ข้าน้อยไม่รู้วรยุทธ์ ท่านอย่าทิ้งข้าไว้คนเดียวนะขอรับ” หมอยาผู้นั้นกอดขาเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
“คงแกล้งตายเป็นกระมัง?”
ซูเช่อกล่าวทิ้งท้ายและโยนอีกฝ่ายไปบนหลังคา ไม่รอให้หมอยาได้กรีดร้อง เขาก็แทงมือสังหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว
รวมกับห้าคนบนพื้น ทั้งหมดมีสิบห้าคนซึ่งล้วนเป็นยอดฝีมือ แต่ความคิดในใจของซูเช่อเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้มีเพียงตัวเขาเองก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปได้เด็ดขาด