เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 474 โจรกระจอก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 474 โจรกระจอก
เล่มที่ 16 ตอนที่ 474 โจรกระจอก
ตงฟางเชวี่ยจำไม่ได้ว่าตนเองหนีออกมาจากห้องได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าหากช้าไปก้าวเดียวพี่ซั่งกวนคงตัดขาทั้งของข้างของเขาไปแล้ว ไม่สิ อาจจะตัดลิ้นเขาเสียด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่ทำให้คนดีใจคือหลังจากแช่ถังยาขับพิษอยู่สองวันหลิงมู่เอ๋อร์ก็ฟื้นขึ้นมา
ดวงตาลืมขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือด้วยความสับสน ไม่รอให้นางได้มองสังเกตรอบด้านก็มีใบหน้าหนึ่งตรงหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจจนกรีดร้อง แต่น่าเสียดายที่ไม่รอให้ส่งเสียงออกมา ปากก็ถูกปิดสนิทเสียแล้ว
“ชู่ อย่าส่งเสียง หากคนข้างนอกเข้ามาคงไม่ดีแน่!”
ตงฟางเชวี่ยส่งเสียงชู่ทั้งยังมองไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง ยามที่ยืนยันว่าข้างนอกไม่มีการเคลื่อนไหวใด เขาจึงหันกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ “หากเจ้ารับปากว่าจะไม่พูดจาไร้สาระข้าจะปล่อยเจ้า เป็นอย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้จักคนผู้นี้แต่เห็นเขามีท่าทีลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ก็ยังคิดว่าเขาเป็นโจรที่บุกเข้ามาที่นี่
นางพยักหน้ายอมรับเงื่อนไขของเขา
ยามที่ตงฟางเชวี่ยปล่อยปากนาง นางก็กำลังจะตะโกนขอความช่วยเหลือแต่เห็นได้ชัดว่าตงฟางเชวี่ยเตรียมตัวรับมือไว้ก่อนแล้ว
เห็นเพียงเขาใช้ความเร็วที่มองไม่ทันแตะปลายนิ้วลงบนไหล่ของนางเบาๆ สองครา ทั้งร่างของนางก็ขยับไม่ได้โดยพลัน นอกจากดวงตาไม่ว่าส่วนใดก็ล้วนไม่อยู่ในการควบคุมของนาง
“บอกให้เจ้าอย่าตะโกนก็ช่างไม่ฟังกันเลยจริงๆ”
ตงฟางเชวี่ยกลอกตาใส่นางอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างถังไม้ “เจ้าดูความสง่าผ่าเผยราวกับต้นอวี้ต้องลมของข้าเถิด ดูเหมือนคนเลวหรือ? ความจริงหากข้าอยากฆ่าเจ้า เจ้าจะยังได้ลืมตาตื่นขึ้นมาหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์อยากพูดแต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ อีกทั้งริมฝีปากก็ไม่ขยับเช่นกัน
“เอาเถิดๆ เห็นแก่ที่เจ้าดูดีถึงเพียงนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกคราหนึ่ง” ตงฟางเชวี่ยถอนหายใจราวกับลำบากใจยิ่ง เอียงกายไปมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่รีบไม่ร้อน “นี่ ขอเพียงเจ้าไม่ส่งเสียง ข้าจะไม่ลงมือกับเจ้า แน่นอนว่าหากเจ้ายังไม่ให้ความร่วมมืออีก ข้าก็ไม่รับรองว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดเรื่องที่ทำให้เจ้าไม่พอใจอันใดขึ้น หากเจ้าเห็นด้วยก็กะพริบตาเสีย?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใดแต่เริ่มกะพริบตาอย่างสุดชีวิต
ความจริงเมื่อครู่นางลองดูแล้วว่าต่อให้ถูกสกัดจุดอยู่ แต่ขอเพียงนางคิดในใจก็ยังสามารถเข้าไปซ่อนตัวในมิติได้
ทว่าคนผู้นี้เป็นใคร เหตุใดจึงหยิ่งผยองเช่นนี้ ที่นี่คือที่ใดแล้วเหตุใดนางจึงมาอยู่ในถังยาที่เต็มไปด้วยยาพิษได้?
การเผยความลับของตนเองโดยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง นี่มิใช่นิสัยของนาง
“ขอบใจมาก!” การสกัดจุดถูกคลาย หลิงมู่เอ๋อร์ก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างง่ายดาย เห็นเขาที่ขมวดคิ้วเพราะนางเปิดปาก นางก็รีบปิดปากทั้งยังกะพริบตาให้เขาอย่างไร้เดียงสาราวกับจะบอกว่า ‘ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่เปิดปากแล้ว’
“โอ้ ช่างว่าง่ายเสียจริง”
ตงฟางเชวี่ยลูบหัวนางอย่างพึงพอใจ แต่คาดไม่ถึงว่าสีหน้าของนางจะเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มโดยพลัน
มือซ้ายของเขาค้ำถังไม้ไว้พลิกตัวไปด้านหนึ่ง เคลื่อนไหวจากด้านซ้ายไปด้านขวาของถังไม้ ไม่ทราบว่าเขามองอันใด เห็นเพียงเขากระโดดมาหมายจะเข้าไปในถังไม้
“เจ้าจะทำอันใด!”
หลิงมู่เอ๋อร์อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกดเสียงต่ำยื่นแขนยาวออกไปต่อต้าน
ตงฟางเชวี่ยไม่อาจเข้าไปได้สำเร็จ หลังจากถูกขัดขวางก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาจับข้อมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ด้วยมือข้างเดียวในขณะที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล “บอกว่าให้เจ้าอย่าส่งเสียงสตรีผู้หนึ่งเหตุใดจึงควบคุมปากตัวเองไม่ได้เช่นนี้ เจ้าลองบอกหน่อยเถิดว่าเจ้าไปนั่งอยู่ในตำแหน่งเจิ้งเฟยขององค์ชายรองได้อย่างไร?”
“เจ้ารู้ฐานะของข้าได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์กดเสียงต่ำลง ทั่วทั้งร่างระแวดระวังขึ้นมา
“รู้แล้วอย่างไร? เจิ้งเฟยขององค์ชายรองมีอันใดน่าสนใจหรือ? บนตัวไม่มีของล้ำค่าสักชิ้นเสียด้วยซ้ำ”
ตงฟางเชวี่ยเบ้ปากออกมาจากถังไม้อย่างไม่แยแสและเริ่มเดินเอ้อระเหยไปรอบด้าน
หลิงมู่เอ๋อร์ในยามนี้จึงเพิ่งได้สังเกตรอบด้าน ในห้องที่ไม่ใหญ่เต็มไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร
แม้แต่ชั้นวางโดยรอบก็เต็มไปด้วยลิ้นชักเล็กๆ หากนางคาดเดาไม่ผิด ทั้งหมดนั่นล้วนต้องเป็นสมุนไพรหายากเป็นแน่
โจรผู้หนึ่งจะมาร้านยาเพื่ออันใด?
“เจ้าเป็นใคร?”
“สงสัยในตัวข้าหรือ? ไม่สู้เจ้าเป็นห่วงตัวเองจะดีกว่ากระมัง ป่วยหนักจนใกล้จะสิ้นลมหายใจอยู่แล้วยังจะมีอารมณ์มายุ่งเรื่องผู้อื่น ข้าเป็นผู้ใดมันสำคัญกับเจ้ามากหรือ?” ตงฟางเชวี่ยหันไปเลิกคิ้วทั้งยังมองนางอย่างรังเกียจอีกครา
หลิงมู่เอ๋อร์กลับยิ้ม “ตายแล้วอย่างไร มีชีวิตอยู่แล้วอย่างไร คนเราจะตายก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่หากต้องตายโดยที่ไม่รู้ว่าผู้ที่ทำร้ายตัวเองเป็นใคร เช่นนั้นคงนับว่าตายอย่างไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง”
ตงฟางเชวี่ยหันกลับไปมอง หยุดการหาของในลิ้นชักและมองพิจารณานางขึ้นลงคราหนึ่ง “เจ้าไม่กลัวตายหรือ?”
“แน่นอนว่ากลัว แต่ข้ารู้ว่าข้าจะไม่ตาย”
เมื่อครู่ยามที่นางตื่นขึ้นมาก็ลองตรวจชีพจรตนเองแล้วพบว่าเป็นปกติทั้งหมด
แม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดถังยาพิษนับหมื่นชนิดจึงทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงหมดสติไปอย่างกะทันหันแต่ขอเพียงนางฟื้นขึ้นมาก็ไม่กลัวสิ่งใดแล้ว
“ข้าว่าสตรีเช่นเจ้าช่างหยิ่งผยองทีเดียว” ตงฟางเชวี่ยราวกับหาสิ่งใดพบ เขากระโดดจากบันไดสูงลงมา
ชั่งน้ำหนักกล่องผ้าไหมด้วยมือก่อนจะนั่งยิ้มข้างถังไม้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้ร่างเจ้ามีอันใดอยู่? เกรงว่าเจ้ายังไม่เห็นว่าในพิษนับหมื่นชนิดมีพวกงูพิษและแมงป่องพิษด้วยกระมัง? ข้าไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับเจ้าว่าร่างกายของคนทั่วไปไม่อาจทนรับสิ่งเหล่านี้ได้ ดีไม่ดีคงถูกกัดกินจนถึงขั้นถูกพิษอีกครา เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าฟื้นขึ้นมาไม่เป็นอันใดหากภายในสามชั่วยามไม่ได้รับยาแก้พิษ เจ้าก็จะหมดสติไปอีกครายามนี้เจ้าก็ยังไม่กลัวหรือ?”
“พระจันทร์ครึ่งซีก จื่อฮวาตี้ติง ไป๋โถวเวิง หงเถิง…สมุนไพรทั้งยี่สิบแปดชนิดนำมาแบ่งต้มเป็นกลุ่มละสี่ชนิด หลังจากสุกแล้วก็ทิ้งให้เย็นหนึ่งชั่วยาม จากนั้นบดให้กลายเป็นผงและไปผสมกับน้ำ แม้ทั้งหมดจะเป็นเพียงยาบำรุงธรรมดาแต่ก็สามารถแก้พิษนี้ได้พอดี ข้าพูดถูกหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ยกมุมปากขึ้นอย่างเชื่อมันในตนเอง
“นี่เป็นสูตรยาลับของหุบเขาเย่าหวาง เจ้ารู้ได้อย่างไร?” คำพูดของตงฟางเชวี่ยรวดเร็วเป็นอย่างมากแทบจะคำรามออกมาหลังสิ้นคำพูดนาง
“เจ้าเป็นคนของหุบเขาเย่าหวางหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์พูดออกมาอย่างตกใจ
ปัง
ตงฟางเชวี่ยยังไม่ทันตอบประตูที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก
ใบหน้าของซูเช่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเดินเข้ามาอย่างร้อนรน “เจ้าฟื้นแล้วหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปข้างหลังเขาแต่ไม่เห็นเงาของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ขมวดคิ้ว “เป็นท่านส่งข้ามาหรือ?”
“จุ๊ๆๆ เฝ้าคนทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้ข่มตาหลับ ผลเป็นอย่างไรเล่าคนไม่ซาบซึ้งในบุญคุณเลยแม้แต่น้อย”
ตงฟางเชวี่ยพาดฝ่ามือใหญ่บนไหล่ของซูเช่ออย่างเยาะเย้ย“คุณชายซู ดูท่าตัวท่านจะมีความสามารถในการทำให้ผู้หญิงนับหมื่นพันหลงใหล แต่น่าเสียดายที่มีเพียงคนตรงหน้าผู้เดียวที่ไม่หลงใหลท่าน เป็นอย่างไรบ้าง ความจริงใจสูญเปล่าเช่นนี้รู้สึกสะเทือนใจมากหรือไม่?”
“ดึงลิ้นเจ้าไปทอดในน้ำมันเชื่อว่าคงสะเทือนใจยิ่งกว่าเป็นแน่!”
ซูเช่อสะบัดแขนที่เขาพาดอยู่ออกไป มองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อีกคราก็เผยความผิดหวังออกไปเล็กน้อย “เป็นข้ามาส่งเจ้าทำให้เจ้าไม่มีความสุขถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น!” หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าเขาเข้าใจผิด กลอกตาใส่ตงฟางเชวี่ยคราหนึ่งก็คิดจะลุกขึ้น แต่ตระหนักได้ว่าร่างกายในยามนี้ไม่สะดวกนักจึงทำได้เพียงทอดถอนใจ “ข้าหมดสติไปกลางดึกทั้งยังอยู่ในตำหนัก นอกจากท่านจะปรากฏตัวออกมาโดยบังเอิญ ไม่เช่นนั้นท่านจะรู้ว่าข้าป่วยได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเซ่าเฉินจะมีสาเหตุใดเป็นพิเศษย่อมไม่ทิ้งข้าไว้คนเดียวเป็นแน่”
เห็นนางเชื่อใจบุรุษอื่นนอกจากเขา ในใจซูเช่อก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ในทุกทาง
“ได้รับข่าวจากเซียวเหยาหวางดูเหมือนว่าจะเจอเบาะแสอันใดแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงเร่งรุดออกไปก่อน แต่เชื่อว่าเขาใกล้จะกลับมาแล้ว” น้ำเสียงของซูเช่อราบเรียบแต่ก็ทำให้คนฟังออกว่ามีความไม่พอใจอยู่หลายส่วน
“หาฆาตกรเจอแล้วหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมากดึงผ้าที่พันอยู่รอดตัวออกกำลังคิดจะลุกขึ้น ทันใดนั้นร่างของนางก็โซเซและล้มคะมำลงไปในถังไม้อีกครา
“มู่เอ๋อร์!”
“เฮ้ย!”
ซูเช่อและตงฟางเชวี่ยล้วนตกใจ
“เจ้ามิใช่บอกว่าประสิทธิภาพของถังยาดีที่สุดหรือ เกิดอันใดขึ้นกับนาง!” ซูเช่อดึงคอเสื้อของตงฟางเชวี่ยอย่างก้าวร้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลราวกับจะถลกหนังและกินเขาทั้งเป็น
หลิงมู่เอ๋อร์ที่นั่งอย่างมั่นคงเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรง ในยามนี้จึงเพิ่งเข้าใจสถานการณ์ “ท่านจะบอกว่าโจรกระจอกผู้นี้เป็นหมอที่รักษาข้าหรือ?”
“บอกว่าใครเป็นโจรกระจอกกัน?” ตงฟางเชวี่ยไม่พอใจนัก
เขาคว้าพัดจากเอวของซูเช่อมาคลี่ออกก่อนจะเชิดคางอย่างหยิ่งทะนง ทั้งยังเผยรอยยิ้มที่ตัวเองคิดว่าหล่อเหลาและสง่างามเป็นอย่างยิ่ง “เปิ่นกงจื่อคือตงฟางเชวี่ยผู้เป็นศิษย์สายตรงของหุบเขาเย่าหวาง”
กล่าวจบเขาก็ค้อมเอวไปเบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ เว้นระยะห่วงเพียงหนึ่งไม้บรรทัด จ้องนางเขม็งอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “เจ้ากล้าเรียกข้าว่าโจรกระจอกหรือ?”
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ตอบกลับ ซูเช่อก็คว้าคอเสื้อของเขาจากข้างหลังทั้งยังผลักเขาออกไปไม่ไกล ถึงขั้นโยนไปบนเก้าอี้ทางมุมห้องอย่างไร้ปรานี “มู่เอ๋อร์ฟื้นแล้วเหตุใดจึงไม่รีบไปแจ้งข้าก่อน?”
ตงฟางเชวี่ยถูกโยนไปจนเจ็บก้นจึงร้องโอดครวญไม่หยุด “โอ๊ย โธ่ถัง ข้าว่าท่านผู้นี้ช่างหยาบคายกับข้านัก! ถึงอย่างไรข้าก็เป็นหมอที่ดูแลผู้ที่ท่านหมายปอง เหตุใดท่านจึงกล้าลงมือกับข้าเช่นนี้?”
“หากยังพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกไปทั้งชีวิต!” ทั่วทั้งร่างของซูเช่อเต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือก พุ่งเข้าไปหาตงฟางเชวี่ยโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อยราวกับคิดจะดึงลิ้นของเขาออกมาจริงๆ
ตงฟางเชวี่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นรีบยอมจำนน “คุณชายซูช้าก่อน ข้าผิดไปแล้ว”
ซูเช่อหรี่ตาหันกลับไปมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา น้ำเสียงดุร้ายเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน “เป็นอันใดหรือไม่?”
“อย่ากังวลไปเลย เพียงแค่รู้สึกเท้าชาเท่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มก่อนที่สายตาจะมองไปทางตงฟางเชวี่ย นางรู้สึกไม่เชื่อใจตั้งแต่ต้นจนถึงยามนี้ คนผู้นี้ดูแล้วหน้าตาไม่เลวแต่กลับมีนิสัยแปลกประหลาด คนที่ท่าทางมีเลศนัยทั้งยังดูไม่เป็นโล้เป็นพายผู้นี้กลับเป็นผู้สืบทอดของหุบเขาเย่าหวางและยังเป็นหมอของนางอีกด้วย “ที่นี่คือหุบเขาเย่าหวางจริงหรือ?”
“ซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า เมื่อคืนจึงรีบพาเจ้ามาส่ง เจ้าพูดไม่ผิด หลังจากที่ข้าได้ยินข่าวเรื่องของอี้กุ้ยเฟยก็คิดจะไปสอบถามสถานการณ์ที่ตำหนักองค์ชายรอง แต่บังเอิญเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินพาเจ้าออกไป ข้าไม่สบายใจจึงตามมาด้วย”
ซูเช่ออธิบาย “แน่นอนว่าหากเจ้าไม่อยากให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็จะไป”
“ซูเช่อ” หลิงมู่เอ๋อร์รีบเรียกเขาที่หมุนกายกำลังจะออกไป “ขอบคุณท่านมากที่ทุกครายามที่ข้าพบเจออันตรายก็อยู่ข้างกายเสมอ ข้ารู้ว่าท่านปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นญาติพี่น้องมานานแล้ว ไหนเลยข้าจะไม่ปฏิบัติต่อท่านเช่นเดียวกัน ดังนั้นขอบคุณท่านมาก”
ญาติพี่น้อง?
คำนี้เป็นคำที่ประชดประชันกันเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถึงอย่างไรเขาก็จำต้องยอมรับคำเรียกนี้แม้จะไม่อยากยอมรับก็ตาม
“ฟื้นก็ดีแล้ว” ซูเช่อพยักหน้า ก้นบึ้งในแววตาฉายถึงความอ่อนโยน ยามที่มองไปทางตงฟางเชวี่ยอีกครา ความอ่อนโยนของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเย็นชา “เมื่อครู่ตกลงมันเกิดอันใดขึ้น?”
“นางมิใช่บอกว่าแค่เท้าชาหรือ” ตงฟางเชวี่ยกลอกตาอย่างจองหอง
ซูเช่อเห็นเช่นนั้น ในชั่วพริบตากระบี่บางในมือก็หมายจะแทงเขาด้วยความรวดเร็ว
ตงฟางเชวี่ยตกใจกลัวอย่างถึงที่สุดรีบวิ่งไปหลบหลังหลิงมู่เอ๋อร์คำพูดกล่าวออกมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ “ยาในร่างเกิดการต่อต้านกันทำให้ในร่างของนางได้รับพิษอีกครา แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ได้ร้ายแรงมากแต่บังเอิญว่านางกำลังตั้งครรภ์อยู่ หากต้องการรักษาก็อาจทำให้ทารกในครรภ์เป็นอันตรายได้ แม่นางหลิงก็เป็นหมอเชื่อว่าย่อมเข้าใจสภาพร่างกายตัวเองดีกว่าข้า ข้าพูดถูกหรือไม่?”