เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 471 ขยับตัวไม่ได้
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 471 ขยับตัวไม่ได้
เล่มที่ 16 ตอนที่ 471 ขยับตัวไม่ได้
หนานกงอี้จือถูกพาไปที่ห้องตำรา ในขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์อยู่ปลอบโยนครอบครัว
ยามที่เขาเห็นสีหน้ามืดครึ้มอย่างถึงที่สุดของซั่งกวนเซ่าเฉิน หนานกงอี้จือก็ตกใจกลัวจนหัวใจ ตับ ม้าม กระเพาะล้วนสั่นสะท้าน “ญาติผู้พี่ ท่านอย่าโกรธไปเลย นี่ข้าก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่สะใภ้เช่นกัน ท่านคิดดู หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางที่นั่นจริง ครอบครัวนางจะได้…”
“หุบปาก!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะคอกอย่างเดือดดาล “มีข้าอยู่ มู่เอ๋อร์ย่อมไม่เป็นอันใด! เมื่อครู่เจ้าคิดจะพูดว่าครอบครัวนางอันใด?”
หนานกงอี้จือกลืนน้ำลาย ตกใจจนคำว่า ‘เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย’ ถูกกลืนลงท้องไป “ใช่ๆๆ ญาติผู้พี่แข็งแกร่งยิ่ง ต่อให้พี่สะใภ้จะฆ่าคนจริงก็ย่อมทำให้นางรอดออกมาได้ อ๊ะ ไม่ๆๆ พี่สะใภ้จะไปฆ่าคนได้อย่างไรเล่า”
“รู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้มาจากที่ใด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินคร้านจะฟังเขาอธิบาย หมุนกายส่งกระดุมไปให้เขา
“นี่คือสิ่งใดหรือ?”
หนานกงอี้จือหยิบไปเล่นก่อนจะกำหมัดอย่างกะทันหัน “พวกท่านมิได้บอกว่าไม่พบเบาะแสอันใดหรือ?”
“สามารถฆ่าคนในวังหลังโดยไม่ถูกคนพบได้ ถึงขั้นใส่ความเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง คนผู้นี้อยู่ที่ใดจัดการมอบตำแหน่งให้ผู้ใดบ้าง หากเปลี่ยนเป็นเจ้าจะพูดว่าหาเบาะแสเจอในวังหลวงที่มีผู้คนมากมายหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลอกตาใส่เขาก่อนจะมองพิจารณาเขาขึ้นลง มุมปากก็ประดับรอยยิ้มหยอกล้อเอาไว้ “อ่าใช่ หากเป็นเจ้าคงทำเรื่องเช่นนั้นจริงๆ”
“นี่ ข้าจะบอกให้นะญาติผู้พี่…เหตุใดท่านจึงพูดกับข้าเช่นนี้เล่า?”
หนานกงอี้จือโกรธจนสะบัดเสื้อคลุมยามทั้งสองข้างและเชิดคางขึ้นอย่างทะนงตัว “ข้าหนานกงอี้จือก็เป็นหนึ่งในสามคุณชายใหญ่แห่งเมืองหลวง รูปลักษณ์ผ่าเผยราวกับต้นอวี้ต้องลม ไม่เพียงแต่เป็นคนฉลาดหลักแหลมแต่ยังเป็นผู้ที่ใส่ใจคนอื่น ท่านมาพูดเช่นนี้จะบอกว่าข้าโง่หรือ?”
“คำพูดนี้เป็นเจ้าพูดเอง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินแค่นเสียงและฉวยเอากระดุมมาจากมือเขา ก่อนจะเดินไปหน้าโต๊ะหนังสือ
“นี่ ข้ายังไม่ทันได้ดูอย่างละเอียดเลย” หนานกงอี้จือไม่รู้ว่าเขาจะทำอันใดจึงรีบตามไป
เห็นเพียงเขาหยิบกระดาษ แท่นฝนหมึก พู่กัน และหมึกออกมา ก่อนจะเริ่มวาดภาพกระดุม
ประมาณระยะเวลาในการชงชาบนกระดาษก็ถูกเขาวาดภาพกระดุมทั้งสองด้าน มันสมจริงตามแบบทุกกระเบียดนิ้ว “จิตรกรในวังหลวงถูกองค์ชายผู้หนึ่งทำให้เสียเวลาเปล่าแล้ว ญาติผู้พี่ ทักษะในการวาดภาพของท่านช่างยอดเยี่ยมนัก!”
หนานกงอี้จือยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เขา ทั้งยังหยิบกระดาษที่มีรูปกระดุมขึ้นมาไว้ในมือ “แต่วาดมันเพื่ออันใดหรือ? เมื่อครู่ท่านมิใช่เพิ่งบอกว่าพวกเราไม่อาจประโคมข่าวว่าหาหลักฐานเจอแล้วได้หรือ? ทำไมเล่า ยามนี้ท่านคิดจะเอาของสิ่งนี้ออกไป ญาติผู้พี่ตกลงเป็นท่านโง่หรือข้าโง่กันแน่!”
“เจ้าพูดอันใด!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินแค่นเสียงอีกครา นั่งลงบนเก้าอี้และมองกระดุมอย่างพิจารณา “เนื้อสัมผัสและวัสดุของกระดุมถักล้วนเป็นของคุณภาพสูงน่าจะเป็นของที่ผู้มีฐานะสูงศักดิ์ใช้ เช่นนั้นก็สามารถตัดผู้ที่ตำแหน่งต่ำกว่าพระสนมออกได้ วังหลังของเสด็จพ่อมีหญิงงามถึงสามพัน แต่ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระสนมจริงมีไม่ถึงร้อยคน พวกเราต้องวางแผนไล่ตรวจสอบทีละคน”
เขาเงยหน้ามองหนานกงอี้จือ “เรื่องนี้เกรงว่าต้องรบกวนท่านป้าแล้ว”
หนานกงอี้จือเข้าใจความหมายของเขาโดยพลัน “วังหลังเป็นสถานที่สำคัญบุรุษไม่อาจเข้าไปได้ ถึงข้ามีใจอยากช่วยก็ไม่อยู่ในฐานะที่ช่วยได้ แต่ท่านแม่สามารถเข้าออกวังหลังได้ตามต้องการ ท่านวางใจเถิด เรื่องของท่านแต่ไหนแต่ไรท่านแม่ก็ไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว”
ทว่าเขาก็ยังรู้สึกสงสัย “แต่พระสนมจำนวนมากเช่นนั้นล้วนต้องตรวจสอบทีละคนเลยหรือ? จะไม่เสียเวลาเกินไปหรือ?”
ความหมายของเขาเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฆาตกรก็เน้นตรวจสอบคนผู้นั้นก็พอ เหตุใดต้องเปลืองแรงไปกับผู้ที่ไม่จำเป็นด้วย
“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าฉินรั่วเฉินยืนขึ้นมาได้อย่างไรในช่วงเวลาอันสั้น?” ซั่งกวนเซ่าเฉินเตือน
“หากมิใช่เพราะหลักฐานของเขาในคราแรก เจ้าจะเชื่อหรือว่าคนที่เก็บตัวเงียบอย่างเขาจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีอำนาจมากล้นถึงขั้นหาหลักฐานของฉินเสียนถิงมาได้? เช่นนั้น เหตุใดการสังหารอี้กุ้ยเฟยจะเป็นไปไม่ได้เล่า?”
สตรีในวังหลังจะมีสักกี่คนที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้?
แต่เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานของฮ่องเต้ก็ย่อมใช้อุบายไปไม่น้อย
มีบางคนที่คิดอยากฉวยโอกาสแสดงไหวพริบอันโดดเด่นออกมา วางแผนอยู่ในตำหนักไม่มีผู้ใดพบเห็น ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้!บราวนี่ออนไลน์
ที่วังหลังแม้จะมีการใช้เล่ห์เหลี่ยมต่อกันมากมายทั้งยังมีสายตาจับจ้องอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่สนมที่ไม่ได้รับความโปรดปรานผู้หนึ่งย่อมไม่มีผู้ใดสนใจ หากนางอยากจะลอบวางแผนอันใดก็นับว่าง่ายเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านวางใจเถิด ข้าจะเอาสิ่งนี้กลับไปให้ท่านแม่” หนานกงอี้จือถือภาพกำลังจะเดินไป
“ช้าก่อน” ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเขาที่หยุดลงก็ฉวยเอาภาพวาดมา “ท่านป้าไม่ชอบเข้าวังหลวง เจ้าให้นางไปปรากฏตัวที่วังหลังอย่างโจ่งแจ้งเพื่อสืบคดี จะต่างอันใดกับการเอาภาพนี้ไปเปิดเผยเล่า? พวกเราต้องหาโอกาสเหมาะๆ เรื่องนี้ไม่อาจทำอย่างสะเพร่าได้”
“คำพูดนี้ของท่านก็มิผิด แต่ท่านไม่กลัวว่าฆาตกรจะพบว่ากระดุมตัวเองหายไปหรือ?” หนานกงอี้จือกลอกตา เชิดคางอย่างเย่อหยิ่งราวกับจะบอกว่า ‘ที่แท้ท่านก็มีช่วงเวลาที่โง่เขลาถึงเพียงนี้’
“ดังนั้นพวกเราจึงต้องลงมือให้เร็ว มีเวลาไม่มากแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินคร้านจะใส่ใจความลำพองใจเล็กๆ ของเขา “อีกเดี๋ยวเจ้าให้ท่านป้าเข้าวังไปดูแลเสด็จพ่อ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้นางพูดโน้มน้าวให้เสด็จพ่อให้นางอยู่ในวัง เช่นนี้นางก็จะมีเหตุผลที่จะอยู่ในวังหลวงทั้งยังสะดวกต่อการสืบสวนด้วย”
“มีแค่ท่านแม่ไปสืบสวนคนเดียวหรือ?” หนานกงอี้จือรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
แม้ท่านแม่จะกล้าหาญทั้งยังมีฝีมืออยู่พอตัว แต่ที่วังหลังเป็นคลื่นระลอกใหญ่ซึ่งมีปลาและมังกรปะปนกันยุ่งเหยิง แล้วหากเกิดอันตรายขึ้นเล่า?
“เสด็จพ่อมอบอำนาจในการสืบสวนให้เจ้าสามแล้ว ข้าและมู่เอ๋อร์จะช่วยเหลือเจ้าสามทำการสืบสวนอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของฆาตกร และท่านป้ากับเจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางจะแอบทำการสืบสวน แม้คนของพวกเราจะมีไม่มากแต่หากมีไม่ถึงร้อยคน เชื่อว่าย่อมไม่ใช่ปัญหา”
หนานกงอี้จือลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ขอรับ”
แต่ยามที่เขาหมุนกายหมายจะเดินจากไปก็ถูกซั่งกวนเซ่าเฉินหยุดไว้อีกครา
“ญาติผู้พี่ เมื่อครู่ท่านมิใช่บอกว่าสถานการณ์อันตรายต้องรีบหน่อยหรือ? นี่ท่านยังจะทำอันใดอีก?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่พูดอันใดและบุ้ยคางไป “กระดุมถักเป็นหลักฐานเดียวไม่อาจเอาออกไปให้ผู้อื่นดูได้ ภาพนี้ก็มีเพียงภาพเดียวหากเจ้าเอาไปก็ไม่มีแล้ว”
“เช่นนั้นแล้ว?” หนานกงอี้จือกะพริบตา
“เช่นนั้นเจ้ามาวาดภาพเสีย ข้าต้องการห้าภาพ หากวาดไม่เสร็จห้ามออกไป!”
กดไหล่เขาบังคับให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินทิ้งท้ายคำพูดไว้ก่อนจะทะยานตัวออกไปจากห้องตำรา หลังออกไปก็ลงกลอนห้องตำรา
ได้ยินเสียง ‘กริ๊ก’ เสียงหนึ่ง หนานกงอี้จือจึงเพิ่งรู้สึกตัวและตอบสนองออกมา “นี่ ซั่งกวนเซ่าเฉิน จะดีเลวอย่างไรข้าก็เป็นญาติผู้น้องของท่านหาใช่นักโทษ ท่านให้ข้าอ่านกวี ร่ำสุรา กินเนื้อย่อมทำได้ แต่ข้าวาดรูปเป็นเสียที่ไหนกัน?”
ยิ่งไปกว่านั้นคนสามารถวาดภาพหนึ่งออกมาได้เทียบเท่ากับเวลาชงชาถ้วยหนึ่ง ส่วนเขาอยู่ที่นี่ทั้งคืนอาจวาดได้เพียงรูปเดียว คืนนี้เขานัดสตรีจากหอจุ้ยเซียงว่าจะไปดูดาวบนหลังคาด้วยกัน
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน ท่านต้องอิจฉาที่ข้ามีสตรีไปดูดาวเป็นเพื่อนเป็นแน่ คอยดูเถิดครั้งหน้ายามที่ท่านจู๋จี๋กับภรรยา ข้าจะไม่ยอมให้ท่านทำสำเร็จแน่!”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่เขาก็ยังหยิบพู่กันอย่างว่าง่าย และวาดคัดลอกภาพของเขาอย่างระมัดระวัง
ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมาจากห้องตำราก็พบว่าคนของจวนสกุลหลิงกลับไปหมดแล้ว และแม่นางน้อยก็เอนตัวพิงโต๊ะอย่างเหนื่อยล้าอยู่
“เหตุใดจึงไม่ให้ท่านพ่อท่านแม่อยู่กินข้าวด้วยกันเล่า?” ยืนอยู่ข้างหลังนวดไหล่นางอย่างแผ่วเบา เห็นคิ้วของนางคลายลง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็จุมพิตลงไปอย่างแผ่วเบาที่ข้างริมฝีปากของนาง “เมื่อคืนเป็นข้าไม่ปกป้องเจ้าให้ดี เจ้าวางใจเถิด จะไม่มีครั้งหน้าแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าไปเห็นใบหน้างามของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางส่ายศีรษะและโค้งริมฝีปาก “เป็นข้ายึดมั่นในความคิดตัวเองและไม่พาคนไปไม่เกี่ยวกับท่านหรอก เพียงแต่ข้าคาดไม่ถึงว่าฉินอวี้เหิงจะเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ข้าจะต้องช่วยเขาสืบหาความจริงแน่นอน”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอันใด อ้อมไปด้านหน้าอุ้มนางมานั่งบนตัก ก่อนจะให้นางขดตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขาอย่างนุ่มนวลราวกับแมวและมอบพลังให้นาง “ข้าส่งอี้จือให้เขาไปขอความช่วยเหลือจากท่านป้าแล้ว ท่านป้ามีฝีมือเชื่อว่าต่อให้พบอันตรายก็ไม่มีอันใดต้องกังวล ด้วยสถานะของเจ้าก็ไม่สะดวก ช่วงนี้อยู่ข้างกายข้าไปก่อนเถิด”
รู้ว่าหากไม่ให้นางเข้าร่วม นางย่อมไม่รับปาก ดังนั้นจึงให้หนทางแก่นาง มีเพียงต้องอยู่ภายใต้สายตาของเขาเท่านั้นเขาจึงจะสามารถวางใจได้
“เรื่องนี้จะรบกวนท่านแม่บุญธรรมเกินไปหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินล้วนนึกถึงความปลอดภัยของนาง
นางลูบมือทั้งสองข้างบนท้องอย่างแผ่วเบา “นับวันดูก็เกือบสองเดือนแล้ว ขอเพียงผ่านช่วงสามเดือนแรกไปก็ไม่เป็นอันใดแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเขาเช่นนี้”
“ที่ข้าเป็นห่วงคือเจ้า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องนางเขม็ง ทัดปอยผมไว้ข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา “วันนี้ยามที่แก้ต่างต่อหน้าเสด็จพ่ออย่าคิดว่าข้าไม่เห็น รู้สึกเวียนหัวอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“คาดไม่ถึงว่าท่านจะเห็นด้วย” หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นอย่างซุกซน
ดูท่าหลังจากจัดการเรื่องนี้ได้แล้วคงต้องรีบไปเอาดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้มาโดยเร็วที่สุด
ไม่เช่นนั้นนางก็รับรองไม่ได้จริงๆ ว่าครั้งหน้าจะเคราะห์ดีถึงเพียงนี้ ความเจ็บปวดในชั่วขณะทำให้นางรู้สึกตัวขึ้นมาได้ หากวันนี้นางหมดสติไปที่นั่นจริงก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบกับปัญหาเช่นไรบ้าง
“หลังจากจบเรื่องนี้ข้าจะไปหุบเขาเย่าหวางกับเจ้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งสุดท้ายก็กล่าวคำพูดนี้ออกมา
เป็นไปดังคาด เขาเห็นสีหน้าของแม่นางน้อยเปลี่ยนไปโดยพลัน เขารีบอธิบาย “มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อในทักษะทางการแพทย์ของเจ้า แต่ข้าจะไม่ยอมให้คนที่ข้าเป็นห่วงหายไปจากข้างกายข้าแน่! มู่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ามีความลับ มีหลายเรื่องของตัวเจ้าที่ไม่สมเหตุสมผล แต่เจ้าเป็นสตรีของข้า ขอเพียงมีโอกาสรอดข้าจะต้องรักษาเจ้าให้ได้”
“เช่นนั้นท่าน…” ไปแคว้นซีอวี้เป็นเพื่อนข้าเถิด
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดสุดท้ายก็ข่มกลั้นไว้ในใจ
นางเงยหน้า โค้งริมฝีปาก คิ้วโค้ง และยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่ง “ได้ หลังจบเรื่องนี้ท่านพาข้าไปที่หุบเขาเย่าหวางเถิด ข้าก็อยากเห็นว่าหุบเขาเย่าหวางที่ถูกคนยกยอจะเก่งกาจมากเพียงใด ไม่แน่ข้าอาจจะสามารถเป็นเจ้าหุบเขาของพวกเขาได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกชาหนึบทั่วทั้งร่างทั้งยังซวนเซ เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซั่งกวนเซ่าเฉินเดิมยังมองนางด้วยรอยยิ้ม แต่เพียงเสี้ยววินาทีสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาอย่างมาก “เป็นอันใดมู่เอ๋อร์?”
“ข้า ข้าขยับแขนขาไม่ได้”
ยังคงรักษาท่าทางขดตัวเหมือนแมว หลิงมู่เอ๋อร์พยายามขยับแขนและขาแต่ราวกับแขนขาทั้งสี่ไม่ยอมฟังคำสั่ง
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้สึกได้ว่าชีพจรของนางค่อยๆ อ่อนลง…
“เซ่าเฉิน…”
พูดยังไม่จบประโยค ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินทำอันใดไม่ถูกไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร สตรีในอ้อมกอดก็หลับตาลงและหมดสติไปอีกครา
“มู่เอ๋อร์ มู่เอ๋อร์!”
รีบอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนกำลังคิดจะพุ่งออกไปหาหมอ ที่นอกประตูก็มีองครักษ์เร่งรุดมารายงาน “องค์ชายรอง เสียนหวางมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”