เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 470 เบาะแส
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 470 เบาะแส
เล่มที่ 16 ตอนที่ 470 เบาะแส
ซั่งกวนเซ่าเฉินและฉินอวี้เหิงรีบเข้ามาใกล้ก็เห็นเพียงหลิงมู่เอ๋อร์กางนิ้วมือของอี้กุ้ยเฟย เผยให้เห็นเล็บมือสีขาวยาวของนาง และหากมองภายในเล็บอย่างละเอียดก็จะพบของที่ระยิบระยับอยู่
“นี่คือเลื่อมที่ประดับอยู่บนชุด หากข้าจำไม่ผิด เลื่อมพวกนี้เป็นของบรรณาการที่แคว้นอื่นมอบให้แคว้นเทียนเฉาของเราเมื่อสองปีก่อน ยามนั้นที่องค์ชายต่างแคว้นมามอบของบรรณาการได้สวมชุดติดเครื่องประดับนี้ไว้ หลังจากนั้นเหล่าองค์หญิงและเหล่าสนมในวังรู้สึกว่าดูดีจึงพากันเลียนแบบ การเย็บเลื่อมเหล่านี้บนชุดจึงสืบทอดต่อกันมาจนถึงในยามนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายให้บุรุษทั้งสองที่กำลังสับสนฟัง
“แคว้นอื่นให้มาเป็นเครื่องบรรณาการแต่กลับเอามาประดับชุดหรือ?” เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้เหิงไม่ทราบเรื่องนี้
หลังสิ้นคำพูดสีหน้าของเขาก็กระดากอายเล็กน้อย ความหมายของคำพูดนี้แสดงให้เห็นว่ายามที่เขาเคยอยู่ในฐานะไท่จื่อไม่สนใจและละเลยต่อหน้าที่เป็นอย่างมาก
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์กระแอมสองคราเพื่อทำลายความกระอักกระอ่วน นางก็กล่าวถึงประเด็นสำคัญ “ที่สำคัญคือเลื่อมเหล่านี้หาใช่ว่าผู้ใดก็ล้วนนำมาประดับตามอำเภอใจได้ หากมิได้มีสถานะหรือไม่ได้รับการพระราชทานและอนุญาตจากฝ่าบาท ต่อให้จะชอบก็ไม่มีสิทธิ์ใช้”
“ความหมายของพี่สะใภ้รองคือผู้ที่สังหารเสด็จแม่คือผู้ที่มีฐานะสูงส่งในวังหลังหรือ?” ก้นบึ้งในดวงตาของฉินอวี้เหิงค่อยๆ มีความเย็นยะเยือกมากขึ้น
“หมิ่นกุ้ยเฟย ผู้ที่ข้านึกถึงเป็นคนแรกก็คือนาง!”
“แต่แรงจูงใจของนางเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์กลับส่ายศีรษะ “สตรีในวังหลังต่างฝ่ายต่างหลอกลวงกันและมีศึกชิงความโปรดปรานกันเป็นเรื่องปกติ หมิ่นกุ้ยเฟยและอี้กุ้ยเฟยทั้งสองคนสู้รบตบมือกันมาหลายปี เป็นความจริงที่มีการใช้เล่ห์กลในที่ลับไปมากมาย แต่หากนางอยากฆ่าคนก็คงลงมือไปนานแล้ว เหตุใดต้องรอมาถึงยามนี้? หมิ่นกุ้ยเฟยเป็นศัตรูของเรามาโดยตลอด หากอี้กุ้ยเฟยตายคนแรกที่พวกเราจะสงสัยก็คือนาง ไหนเลยนางจะไม่คิดเช่นนี้?”
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดพลางกล่าวเสริม “ยิ่งไปกว่านั้น นางถูกฝ่าบาทจองจำไว้ในวังหลัง ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้หากนางลงมือจริง เช่นนั้นจะไม่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองหรือ?”
“เช่นนั้นเป็นผู้ใดกัน!” เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้เหิงอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำ เมื่อนึกถึงเสด็จแม่ที่ตายอย่างน่าเวทนา ทั่วทั้งร่างของเขาก็แผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกออกมาทำให้คนสั่นสะท้าน!
“ไม่ว่าจะใช่นางหรือไม่ ตรวจสอบดูก็จะรู้” ซั่งกวนเซ่าเฉินวางฝ่ามืออบอุ่นลงบนไหล่ของฉินอวี้เหิงแสดงท่าทีให้เขาอย่าหุนหันเกินไป
“สตรีที่ถูกจองจำอยู่ในวังหลังทั้งยังถูกคนจับตาดูตลอดเวลา เมื่อคืนนางได้ออกมาจากตำหนักหรือไม่ ที่วังหลังซึ่งมีสายตาและปากมากมายถึงเพียงนั้น ยังจะกลัวว่าจะตรวจสอบไม่ได้อีกหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนขึ้นวางแผนจะสั่งให้คนไปตรวจสอบ
ฉินอวี้เหิงเห็นเช่นนั้นก็คลุมผ้าสีขาวไว้บนร่างของผู้เป็นมารดาด้วยความโศกเศร้า เอามือของนางที่ตกลงมาข้างกายกลับไปวางไว้บนเปล ยามที่กำลังคิดจะลุกขึ้นพร้อมกับซั่งกวนเซ่าเฉิน มือซ้ายของมารดาก็หล่นลงมาโดยพลันอีกครา
น้ำตาไหลรินลงมาจากเบ้าตาของเขาโดยพลัน เขาข่มกลั้นและยกแขนของมารดาขึ้นมาอย่างอ่อนโยนด้วยความระมัดระวัง ยามนั้นเองหางตาของเขาก็เห็นกระดุมถักที่กลิ้งไปใต้เปล
เห็นได้ชัดว่าเพิ่งหลุดออกมา
“เสด็จพี่ พี่สะใภ้!”
ฉินอวี้เหิงรีบเรียกทั้งสองคนไว้
“พวกท่านเห็นหรือไม่?”
เขาหยิบกระดุมถักส่งไปตรงหน้าทั้งสองคนและพิจารณาอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็แทบจะเอ่ยตัดสินออกมาโดยพลัน “เป็นของบนชุดของสตรี!”
ไม่นานเขาก็แทบอยากจะพุ่งออกไปโดยไม่ลังเล “ข้าจะสั่งให้คนไปตรวจสอบทั้งวังหลัง ชุดของผู้ใดที่ขาดกระดุมไปเม็ดหนึ่ง นางย่อมเป็นฆาตกรที่สังหารเสด็จแม่!”
เห็นเขาหุนหันเช่นนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบไปกดเขาไว้ทั้งด้านซ้ายขวา “อย่าหุนหัน!”
“ข้าจะไม่หุนหันได้อย่างไร กระดุมเม็ดนี้อยู่ในแขนเสื้อของเสด็จแม่ ยามที่นางต่อสู้กับศัตรูต้องไม่ทันระวังจนหลุดเข้าไปเป็นแน่ พวกเราค้นพบโดยบังเอิญเช่นนี้ ฆาตกรย่อมต้องไม่ทันได้สังเกตเป็นแน่ พวกเราจะต้องคว้าโอกาสเอาไว้!”
“เพราะเหตุนี้พวกเราจึงต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีเสียก่อน!”
ถูกหลิงมู่เอ๋อร์กดไว้ ฉินอวี้เหิงพยายามดิ้นรนแต่เขาก็พบว่าพี่สะใภ้มีเรี่ยวแรงมหาศาลทีเดียว เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
“กระดุมเป็นของผู้ใด ท่านจะเริ่มไปตรวจสอบที่ตำหนักของผู้ใด? หากยามที่ท่านเอากระดุมนี่ไปค้นหาอย่างสะเพร่าแล้วฆาตกรรู้ข่าวเข้าเสียก่อนจะทำอย่างไรเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์จ้องดวงตาเขาอย่างจริงจัง “เซียวเหยาหวาง ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านในยามนี้ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้พวกเราก็ยิ่งต้องการให้ท่านสงบเยือกเย็นเอาไว้”
“เสด็จแม่ตาย นางตายแล้ว! นางหาได้หลับไป นางจากโลกนี้ไปโดยไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว เจ้ายังจะให้ข้าสงบเยือกเย็นได้อีกหรือ?”บราวนี่ออนไลน์
อารมณ์ที่ฉินอวี้เหิงข่มกลั้นไว้มาโดยตลอดสุดท้ายก็ปะทุออกมา
หลังจากตะคอกเขาก็เสียใจภายหลังเป็นอย่างมาก เขากุมศีรษะพลางนั่งยองลงไปบนพื้นและขอโทษหลิงมู่เอ๋อร์ไม่หยุด “ขอโทษ ข้า…”
“อี้กุ้ยเฟยเป็นคนที่ข้าช่วยชีวิตไว้ด้วยตัวเอง เป็นคนไข้ของข้า ท่านเชื่อเถิดว่าข้าเป็นผู้ที่ไม่อยากให้นางตายมากที่สุดในโลก ท่านวางใจเถิดไม่ว่าฆาตกรจะเป็นใคร ข้าจะลากมันออกมาให้มันได้ชดใช้การกระทำที่โหดเหี้ยมในครั้งนี้!”
หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันขณะที่ในดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
มองฉินอวี้เหิงที่ตำหนิตนเองอย่างหมดอาลัยตายอยากอีกครา นางก็สูดหายใจเข้าลึก หลังจากสงบจิตใจลงก็สบตากับซั่งกวนเซ่าเฉิน “พวกเราแยกกันลงมือเถอะ แม้วังหลังจะมีเหล่าสนมมากมายแต่ผู้ที่อยู่ในระดับสูงก็หาได้มีมากนัก แน่นอนว่าต้องระวังการถูกใส่ความด้วย! ยามนี้ราชสำนักวุ่นวาย เพื่อป้องกันผู้ที่มีความตั้งใจจะมาใส่ร้ายกัน พวกเราจะต้องรักษาจุดยืนให้มั่นคง”
เซียวเหยาหวางรู้สึกว่าหลิงมู่เอ๋อร์พูดถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง เขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าก่อนจะกำกระดุมในฝ่ามือแน่น หลังจากมองร่างไร้วิญญาณของมารดาเป็นครั้งสุดท้าย สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสงบและออกไปจากคุกหลวงราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ตรวจสอบพบอันใดหรือไม่?”
ยามที่หนานกงอี้จือและเจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางเร่งรุดมาก็เห็นทั้งสามคนที่มีสีหน้าราวกับขี้เถ้าที่ดับมอดออกมาพอดี
เจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางรีบเข้าไปกอดแขนของเซียวเหยาหวาง “เหยีย เสียใจด้วยเพคะ เสด็จแม่ นาง…”
ฉินอวี้เหิงหยุดไม่ให้นางพูดต่อก่อนจะโอบแขนนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เสด็จแม่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ข้าจะต้องล้างแค้นให้เสด็จแม่อย่างแน่นอน เจ้าวางใจเถอะ ก่อนจะค้นพบความจริงข้าจะไม่ล้มลงเด็ดขาด”
เจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางยังอยากพูดอันใดแต่สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเข้มแข็ง นางรู้ว่ายามนี้แม้นางจะพูดกี่พันหมื่นคำพูดก็ล้วนไม่สู้สนับสนุนอยู่ข้างกายอย่างเฉียบแหลม
ก่อนหน้านี้ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งไท่จื่อ หลังจากนั้นยังต้องมาพบเจอกับการสูญเสียมารดา ทั้งชีวิตของเหยียล้วนไม่เคยประสบพบเจอเรื่องที่โศกเศร้าเท่ากับช่วงเวลานี้ หากนางยังทำตัวเอาแต่ใจและไร้เหตุผลอีกย่อมเป็นการโรยเกลือบนบาดแผลของเหยียแล้ว
“เหยีย หรูเอ๋อร์สามารถช่วยอันใดท่านได้บ้างเพคะ?”
“ใช่ หากมีเรื่องใดที่เปิ่นซื่อจื่อช่วยได้ท่านเพียงแค่เอ่ยมา แม้กระหม่อม…” หนานกงอี้จือยังอยากพูดอันใดแต่แขนถูกคนด้านข้างกระแทก เขาจึงเปลี่ยนคำพูดโดยพลัน “ท่านอย่ามองว่าเปิ่นซื่อจื่อทำตัวเอ้อระเหยลอยชายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าเรื่องการสืบสวนกระหม่อมนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ”
ฉินอวี้เหิงหันกลับไปโค้งคำนับให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน หนานกงอี้จือ และหลิงมู่เอ๋อร์ ก่อนกล่าวด้วยเสียงต่ำอันแหบแห้ง “ขอบคุณมาก”
“ไม่สิ ท่าน ท่านทำเช่นนี้กระหม่อมก็อึดอัดแย่” แต่ไหนแต่ไรหนานกงอี้จือก็ไม่เคยเห็นฉินอวี้เหิงมีท่าทีโศกเศร้าและเคร่งขรึมเช่นนี้
ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้เย่อหยิ่งหาใดเปรียบ จมูกก็เชิดจนแทบแตะท้องฟ้า เหตุใดยามนี้จึงรู้สึกว่าเขาน่าสงสารถึงเพียงนี้เล่า
“เช่นนั้นได้ยินว่าฝ่าบาทมอบอำนาจให้การสืบสวนให้ท่าน พวกท่านตรวจสอบข้างในอยู่นานแล้วพบสิ่งใดหรือไม่?”
ฉินอวี้เหิงมองซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ ทั้งสามคนทอดถอนใจด้วยความผิดหวัง “ไม่พบเบาะแสอันใดเลย”
“ว่าอย่างไรนะ?” หนานกงอี้จือตะลึงงันก่อนจะหมุนตัวไปมองหลิงมู่เอ๋อร์โดยพลัน “แม้แต่พวกเจ้าก็ล้วนไม่มีเบาะแสหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ก้มศีรษะด้วยสีหน้าหดหู่อย่างถึงที่สุด แต่ในมุมที่ผู้อื่นมองไม่เห็น นางก็ใช้หางตามองพิจารณาไปรอบด้านสังเกตท่าทีขององครักษ์และสาวใช้ทุกคนพยายามจับพิรุธ
“มิใช่บอกว่าการเสียชีวิตของอี้กุ้ยเฟยมีเงื่อนงำหรือ ถูกคนสังหารมิใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่มีเบาะแสเลยเล่า?”
หนานกงอี้จือถอนหายใจยังคิดจะพูดอันใด แต่เห็นแววตาอันโศกเศร้าของฉินอวี้เหิง เขาก็ตบไหล่อีกฝ่าย “ท่านวางใจเถอะขอเพียงมีพวกเราอยู่จะต้องสืบหาพบเป็นแน่! บนโลกนี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมทะลุผ่านไม่ได้ คนผู้นั้นกล้าสังหารคนที่วังหลังก็รอถูกคนลากตัวไปประหารที่ประตูวังได้เลย”
ฉินอวี้เหิงไม่ได้พูดอันใดเพียงแค่พยักหน้าอย่างเงียบๆ ก่อนจะถูกเจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางพยุงเดินออกไปก่อน
พวกหลิงมู่เอ๋อร์สบสายตากันก่อนจะนั่งรถม้ากลับไปที่ตำหนักองค์ชายรอง
“ข้าว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงช่างมีเรื่องมากมายเสียจริง แต่ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้วเหตุใดในวังหลวงจึงเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้! ก่อนหน้านี้ก็เป็นญาติผู้พี่ถูกจับ ทั้งยังการตายอย่างแปลกประหลาดขององค์ชายเจ็ด มายามนี้อี้กุ้ยเฟยยังมาตายอย่างกะทันหันอีก ตกลงเป็นผู้ใดที่มาสร้างความลำบากให้พวกเรากันแน่?”
ในรถม้าหนานกงอี้จือใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าขวางโลกไร้มารยาทตามปกติของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม
“ฉินรั่วเฉิน หลันซือเฮ่อ รวมถึงหมิ่นกุ้ยเฟย แม้กระทั่งผู้ที่คิดจะรอรับผลประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอดก็ล้วนมีความเป็นไปได้”
หลิงมู่เอ๋อร์หลับตา แม้จะพิงร่างของซั่งกวนเซ่าเฉินราวกับหลับไป แต่กลับกำลังครุ่นคิดอย่างสงบ
ฉินรั่วเฉินเป็นศัตรูใหม่ เขามิได้ต้องการทำร้ายพวกเขาแค่วันสองวัน
หลันซือเฮ่อเพื่อล้างแค้นให้ลูกสาวก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดสังหารนาง ไม่เช่นนั้นเหตุใดองครักษ์เหล่านั้นจึงมาปรากฏตัวได้อย่างทันท่วงทีตั้งแต่แรก?
หมิ่นกุ้ยเฟย ด้วยสถานะของนางในวังหลังเป็นผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่ก็เป็นฆาตกรที่ทำให้คนสงสัยได้ง่ายที่สุดเช่นกัน
เช่นนั้นยังมีผู้ใดที่อยากอาศัยเรื่องนี้ยืมมีดฆ่าคน นอกจากจะกำจัดอี้กุ้ยเฟยและนางด้วย?
“มาทำให้มู่เอ๋อร์ของข้าต้องถูกจับไปขังไว้ในคุก ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร ข้าก็ไม่ปล่อยไปแน่!” ก้นบึ้งในสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินมีความเดือดดาลอย่างเข้มข้น ราวกับหากฆาตกรอยู่ตรงหน้า เขาจะหักคออีกฝ่ายเป็นอันดับแรก
ในยามนั้นเองรถม้าก็ได้มาถึงตำหนักองค์ชายรอง
ทั้งสามคนลงจากรถม้าก็ถูกภาพตรงหน้าทำให้ตะลึงงัน เห็นเพียงท่านยายถังซื่อ หยางซื่อ หลิงต้าจื้อ และหยางต้าหนิว อีกทั้งยังมีซางจือและเจี้ยงเซียงที่พากันมายืนรออยู่ที่ตำหนักองค์ชายรองด้วย
เห็นพวกเขาปรากฏตัว ทุกคนก็เข้ามาหา
“มู่เอ๋อร์เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงใดใช่หรือไม่ ร่างกายสบายดีหรือไม่? ที่ท้องรู้สึกไม่สบายตรงใดหรือไม่?”
“หลานสาวผู้น่าสงสารของข้า เหตุใดจึงมักจะเจอปัญหามากมายเช่นนี้เสมอเลย เป็นเพราะมีคนอิจฉาเจ้าจึงใส่ร้ายเจ้าใช่หรือไม่! เซ่าเฉิน เจ้าในฐานะสามีของนางทั้งยังเป็นองค์ชายรองจะต้องคืนความเป็นธรรมให้นางด้วย”
“คุณหนู คุณหนูไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ? ยามที่พวกเราได้รับข่าวก็เร่งรุดมาทันที คนตั้งครรภ์เหตุใดจึงไปเข้าคุกหลวงได้เจ้าคะ? พวกเขาทรมานท่านหรือไม่เจ้าคะ รีบให้ข้าดูเร็วเจ้าค่ะ”
พวกเขาต่างเดี๋ยวมองเดี๋ยวพูดส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์เปิดปาก คนก็ถูกพวกเขาพาเข้าไปในตำหนักแล้ว
เดี๋ยวตรวจสอบ เดี๋ยวจับชีพจร ทุกคนกระตือรือร้นจนนางไม่รู้ควรทำอย่างไรดี
“ข้าไม่เป็นอันใด”
รีบถอยหลังไปหลายก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน เห็นสีหน้ากังวลเป็นพิเศษของแต่ละคนก็รู้สึกซาบซึ้งใจ “พวกท่าน พวกท่านได้รับข่าวได้อย่างไรหรือ?”
อี้กุ้ยเฟยเสียชีวิตอีกทั้งนางยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกร พูดกันตามหลักแล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะแพร่งพรายออกไปจากวังหลวงได้เร็วถึงเพียงนี้
ทุกคนไม่พูดอันใดแต่สายตามองไปยังสถานที่บางแห่ง หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปมองหนานกงอี้จือที่ลูบหลังศีรษะอย่างกระดากอาย “แหะๆ ข้า มิใช่เพราะข้าเป็นห่วงพี่สะใภ้หรือ พี่สะใภ้ถูกคนใส่ความว่าเป็นฆาตกรฆ่าคน ข้าคิดดูแล้วคนยิ่งเยอะก็ยิ่งแข็งแกร่ง หากทุกคนไปขอร้องเจ้าก็น่าจะถูกปล่อยตัวออกมามิใช่หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ฟังเขาอธิบายจนจบก็ตีศีรษะของเขาคราหนึ่ง “คนยิ่งเยอะยิ่งแข็งแกร่งอันใด? ทุกคนล้วนแต่เป็นคนเฒ่าคนแก่และสตรีอ่อนแอ ทำไมเล่า หนานกงซื่อจื่อหาคนจะไปชิงตัวนักโทษไม่ได้แล้วหรือ?”