เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 467 ฆ่าเจ้า
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 467 ฆ่าเจ้า
เล่มที่ 16 ตอนที่ 467 ฆ่าเจ้า
เห็นหมิ่นกุ้ยเฟยเดินเข้ามาอย่างไม่หยุดฝีเท้า อี้กุ้ยเฟยก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดก้นบึ้งในใจจึงคิดอยากหนีออกไปโดยพลัน
สายตาของนางน่าเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ภายในซุกซ่อนความโกรธแค้น ความพยาบาท รวมถึงไอสังหารที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่
เห็นได้ชัดว่ามิได้ลงมือกับนางแต่นางกลับรู้สึกว่าลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นโดยพลัน ราวกับถูกคนบีบคอไว้
“เปิ่นกงยุ่งมากไม่ว่างจะมาคุยเล่นกับเจ้าที่นี่”
อี้กุ้ยเฟยชำเลืองมองนางคราหนึ่งก่อนจะใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางกำนัล คิดจะเดินอ้อมนางไป
“หยุด!”
หมิ่นกุ้ยเฟยจงใจยืดหางเสียง เห็นได้ชัดว่าเป็นกุ้ยเฟยเช่นเดียวกัน แต่ยามนี้ราวกับว่าหมิ่นกุ้ยเฟยอยู่เหนือกว่านางขั้นหนึ่ง
ยื่นแขนยาวออกไปขวางทางนาง หมิ่นกุ้ยเฟยเอียงกายก่อนจะเชิดหน้าขึ้นด้วยความเย่อหยิ่ง ทั้งยังมองนางอย่างชั่วร้าย “ข้ารอพี่สาวอยู่ที่นี่นานมากยังไม่ได้คุยกับพี่สาวสักประโยค เหตุใดพี่สาวจะไปแล้วเล่า วันนี้อากาศหนาวเย็นนักพี่สาวจะไม่ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือ?”
อี้กุ้ยเฟยตื่นตระหนก “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคืนนี้ข้าจะมาปรากฏตัวที่นี่?”
หลายวันมานี้นางอยู่ที่ตำหนักเฉียนชิงมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะคำแนะนำของสี่กงกง นางย่อมไม่คิดจะกลับมาที่ตำหนักเป็นแน่
หรือว่า?
“สี่กงกงกลายเป็นคนของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?”
รอให้ฮ่องเต้ตื่น นางจะต้องทูลเรื่องนี้แก่พระหมื่นปีเป็นแน่ ในฐานะกุ้ยเฟยกลับมาติดสินบนข้าหลวงคนสนิทข้างกายฮ่องเต้ เหอะ ช่างใจกล้าเสียจริง
“เจ้าจงไปเสีย มีเรื่องที่ข้าต้องพูดคุยกับพี่สาวตามลำพัง บ่าวต่ำต้อยเช่นเจ้าไม่มีฐานะจะมาอยู่ฟังที่นี่ได้”
หมิ่นกุ้ยเฟยไม่ตอบคำพูดของอี้กุ้ยเฟย และจ้องมองไปที่นางกำนัลคนสนิทที่อยู่ข้างกายนาง
นางกำนัลได้ยินก็ชะงักไป มองไปทางอี้กุ้ยเฟยอย่างไม่แน่ใจ “ฝ่าบาท?”
“ซื้อตัวผู้ดูแลวังหลวงทั้งยังขวางทางหวางโฮ่วในอนาคต ข้าอยากดูนักว่านางคิดจะทำอันใด!” อี้กุ้ยเฟยพ่นเสียงเย็นออกจากจมูก แสดงท่าทีให้นางกำนัลไปรอนางอยู่ในสถานที่ที่ไกลออกไปหน่อย
หากเป็นก่อนหน้านี้นางคงไม่ให้นางกำนัลออกไป ร่างกายไม่สู้ดีไม่อาจมีโทสะเกินไปได้ หมิ่นกุ้ยเฟยมาขวางนางไว้อย่างกะทันหันหากมิใช่เพราะจงใจให้นางโกรธ นางก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีจุดประสงค์อื่นใดอีก
แต่ครานี้นางติดสินบนคนข้างกายฮ่องเต้ นางจะทำอันใด? นางอยากรู้ให้ชัดเจน
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปรอพระองค์อยู่ไกลหน่อยนะเพคะ”
นางกำนัลค้อมกายก่อนจะออกไปจากสายตาของกุ้ยเฟยทั้งสอง เลี้ยวตรงหัวโค้งคิดจะรออยู่หน้าภูเขาจำลอง
แต่ถึงอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ปรนนิบัติเจ้านาย
เพราะหันหลังอยู่ อี้กุ้ยเฟยเดิมไม่ได้มองนางกำนัลที่เพิ่งออกไปซึ่งเข้าไปทางหลังภูเขาจำลอง และกำลังยื่นมือออกมาขอความช่วยเหลือจากตนไม่หยุด น่าเสียดายที่ปากของนางถูกคนปิดไว้จึงไม่อาจส่งเสียงใดได้
‘อื้อ อื้อ’
มีเสียงดังขึ้นมาอี้กุ้ยเฟยจึงคิดจะหันไปตามสัญชาตญาณ หมิ่นกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นมือทั้งสองข้างก็คว้าไหล่นางไว้ “อี้กุ้ยเฟย บอกมาว่าเจ้าให้องครักษ์มาขวางข้าเพื่อไม่ให้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในตำหนักเฉียนชิงใช่หรือไม่? เจ้าช่างใจกล้านัก ในฐานะกุ้ยเฟยเหมือนกันเจ้ามาทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ได้ยินเสียงตะโกน อี้กุ้ยเฟยก็เก็บความคิดกลับมา มองไปทางหมิ่นกุ้ยเฟยที่มีท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันอีกครา เดิมทีนางยังอยากโกรธแต่กลับยิ้มออกมา
“เป็นฝ่าบาทที่ทรงมีรับสั่งให้คุมตัวเจ้าไว้ในวังหลัง หากหัวเจ้าไม่ดีจนลืมไปแล้ว ข้าก็ไม่ถือสาหากจะต้องเตือนเจ้าอีกครา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นหมิ่นกุ้ยเฟยที่มีอำนาจเหลือล้นเหมือนในอดีตอยู่หรือ? ข้ากลับวังหลวงมาครานี้เดิมยังไม่คิดจะถือสาเจ้า คิดเพียงอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่เจ้าก็ทำร้ายข้าอยู่หลายครั้งหลายครา นี่จะเป็นจุดจบของเจ้า!”
เห็นหมิ่นกุ้ยเฟยมีสีหน้าบิดเบี้ยว อี้กุ้ยเฟยพบว่าที่แท้การตอบกลับไปอย่างกระด้างกระเดื่องก็ทำให้ในใจรู้สึกดีถึงเพียงนี้เชียว
“ไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทก็ย่อมสูญเสียความโปรดปรานแล้ว ที่แท้เจ้าก็มีวันเวลาเช่นนี้ด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ลองลิ้มรสการสูญเสียความโปรดปรานเช่นนี้ดูเถอะ”
“สารเลว เจ้า…”
หมิ่นกุ้ยเฟยโกรธเกรี้ยว ฝ่ามือหมายจะฟาดลงไป
อี้กุ้ยเฟยแทบจะยื่นมือออกไปคว้าแขนของนางโดยสัญชาตญาณ “ทำไม ยังคิดจะตีคนอีกหรือ? เปิ่นกงจะเป็นหวางโฮ่วในอนาคต ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะกล้าหรือไม่!”
“หวางโฮ่ว?”
คำนี้ราวกับหนามที่ทิ่มแทงอยู่ในอกอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หมิ่นกุ้ยเฟยขัดขืนสะบัดแขนที่ถูกนางคว้าไว้ออก มองเข้าไปในดวงตาที่มีความโอหังและเย่อหยิ่งของอี้กุ้ยเฟยอีกครา มุมปากของนางก็กระตุก “ยังมาพูดว่าไม่สนใจตำแหน่งหวางโฮ่ว พูดว่าไม่ต้องการอำนาจควบคุมวังหลังแต่เพียงผู้เดียว ถุย อี้กุ้ยเฟย วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าที่แท้เจ้าก็มีแผนการเช่นนี้ เจ้าจงใจใช่หรือไม่ จงใจบอกฝ่าบาทว่าเจ้าไม่ต้องการเป็นหวางโฮ่ว แต่ยามนี้กลับจงใจเหยียบหัวข้า เจ้าต้องการให้ฝ่าบาทรู้สึกว่าเจ้ามีเมตตาและใจกว้าง จงใจแสร้งทำตัวน่าสงสารทำให้ฝ่าบาทยิ่งรู้สึกผิดกับเจ้า! ช่างเหลือเกินนัก เจ้าแย่งชิงตำแหน่งหวางโฮ่วของข้าไป เจ้าจงคืนตำแหน่งหวางโฮ่วมาให้ข้าเสีย”
พูดไปมือทั้งสองข้างของหมิ่นกุ้ยเฟยก็ยื่นออกมาหมายดึงทึ้งเส้นผมของนาง
อี้กุ้ยเฟยหลบเลี่ยงครั้งแรกได้แต่กลับไม่อาจหลบเลี่ยงเป็นครั้งที่สองได้ เครื่องประดับบนศีรษะถูกนางดึงทึ้งทำให้เส้นผมหลุดลุ่ยลงมาเล็กน้อย
“ช่างร้ายกาจนัก ในฐานะกุ้ยเฟยกลับมาทำตัวร้ายกาจเช่นนี้ หากฝ่าบาทตื่นขึ้นมาเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้าจะต้องขังเจ้าไว้ในตำหนักเย็นเป็นแน่ อ๊า เจ้าปล่อยข้านะ!”
อี้กุ้ยเฟยที่กำลังขัดขืนไม่ทันระวังจึงถูกนางดึงจนเจ็บปวด
หมิ่นกุ้ยเฟยเห็นนางแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างเจ็บปวดจะปล่อยมือได้อย่างไร นางออกแรงในมือมากยิ่งขึ้น “เจ้าสิร้ายกาจ ทั้งครอบครัวเจ้าล้วนร้ายกาจ! ในเมื่อออกจากวังหลวงไปแล้วเหตุใดต้องกลับมาอีก? ที่วังหลังเห็นได้ชัดว่าไม่มีคนเช่นเจ้าอยู่นานแล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาทด้วย! เจ้ารับปากว่าไม่ต้องการตำแหน่งหวางโฮ่ว แล้วเหตุใดต้องมาแย่งชิงไปจากข้าด้วย!”
นางยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หัวใจสั่นสะท้านอีกทั้งในลำคอก็ราวกับมีเมฆที่ลุกเป็นไฟอย่างเดือดดาลอยู่ “ตั้งแต่เมื่อก่อนเจ้าก็มักจะตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า แย่งชิงทุกสิ่งไปจากข้า แย่งชิงความโปรดปรานของฝ่าบาทไปจากข้า ทั้งยังแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อที่เป็นของถิงเอ๋อร์ไป! อี้กุ้ยเฟย เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายปีที่เจ้าออกจากวังหลวงไปข้ารู้สึกสบายใจเพียงใด แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เพราะเจ้ากลับมาขัดขวางข้าไปเสียทุกอย่าง เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าเสียถิงเอ๋อร์ไป เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าไม่ได้เป็นหวางโฮ่ว ข้าจะฆ่าเจ้า จะฆ่าเจ้าเสีย!”
รู้สึกเพียงว่าลำคอรู้สึกอึดอัดขึ้นโดยพลัน อี้กุ้ยเฟยเบิกตากว้างในขณะที่จ้องมองอีกฝ่าย ในสายตาที่มองมาของหมิ่นกุ้ยเฟยมีไอสังหารอยู่หลายส่วน
ไม่ นั่นมิใช่คำโกหก เจตนาฆ่าของนางเป็นของจริง!
อี้กุ้ยเฟยรู้สึกว่าหัวใจถูกแขวนไว้ที่ลำคอโดยพลัน นางต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต สุดท้ายก็เตะที่ท้องของอีกฝ่ายจนนางรอดจากเงื้อมมือของหมิ่นกุ้ยเฟยมาได้
ได้ยินหมิ่นกุ้ยเฟยกรีดร้องอย่างน่าเวทนาในขณะที่ล้มลงพื้น นางก็ตัวสั่นเทาอยากจะวิ่งหนีไปทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“เรื่องเหล่านี้มันเกี่ยวข้องอันใดกับข้า! อย่าลืมว่าคราแรกที่เจ้าทำร้ายข้า ข้าก็มิได้เปิดเผยมันต่อฝ่าบาท เจ้าควรจะสำนึกในบุญคุณของข้าเสีย! ส่วนตำแหน่งหวางโฮ่ว เดิมนั่นไม่ควรเป็นตำแหน่งของเจ้า หากฝ่าบาทตั้งใจจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นหวางโฮ่วจริงก็คงแต่งตั้งไปนานแล้ว! หมิ่นกุ้ยเฟย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าคนชั่วมักทำให้เกิดเรื่องมากมาย และนี่จะเป็นจุดจบของเจ้า!”
อี้กุ้ยเฟยชี้ไปที่ใบหน้าของนางอย่างโกรธเกรี้ยว เห็นนางไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาก็คิดว่านางคงไม่ทำอันใดตนอีก นางสูดหายใจเข้าลึกจึงเพิ่งสงบใจลงได้
“ความจริงข้ามิได้อยากเป็นหวางโฮ่วอันใด การต้องเป็นผู้นำของตำหนักทั้งหกต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เป็นการทุ่มเทแรงกายแรงใจที่ไม่ได้รับผลตอบแทน เจ้าคิดว่าข้าเต็มใจจะนั่งอยู่ในตำแหน่งหวางโฮ่วหรือ! แต่แทนที่จะมอบตำแหน่งหวางโฮ่วให้คนเช่นเจ้า ไม่สู้ข้ามาทำหน้าที่แทนชั่วคราวจะดีกว่า! ข้าไม่กลัวที่จะพูดความจริงกับเจ้า หลายวันมานี้ที่เปิ่นกงอยู่กับฝ่าบาทตลอดเวลา ฝ่าบาทเคยตรัสกับข้าว่าหากมิใช่เพราะช่วงนั้นอยู่ในสภาพที่สับสนมึนงงย่อมไม่คิดจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นหวางโฮ่ว พฤติกรรมของเจ้าล้วนปรากฏแก่สายตาของฝ่าบาทนานแล้ว เจ้าไม่อาจรับหน้าที่ใหญ่หลวงนี้ได้! แน่นอนว่าข้าก็รับปากฝ่าบาทเช่นกันว่าตำแหน่งหวางโฮ่วนี้ข้ามาทำหน้าที่แค่ชั่วคราว ขอเพียงพบผู้ถูกเลือกที่เหมาะสม ข้าย่อมยอมลงจากตำแหน่งด้วยตัวเอง แต่เจ้าพิจารณาดูเถอะ ฝ่าบาททรงยอมให้ข้ารับตำแหน่งชั่วคราวแต่ไม่เต็มใจจะส่งมอบตำแหน่งนี้ให้เจ้า พูดให้ชัดคือฝ่าบาททรงผิดหวังในตัวเจ้ามานานแล้ว เจ้ากลับไปไตร่ตรองดูเองเถอะ”
หลังทิ้งคำพูดที่เต็มไปด้วยโทสะไว้ อี้กุ้ยเฟยก็คิดจะหันหลังออกไปจากสถานที่อันแสนวุ่นวายนี้
ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้ที่วังหลังจึงเงียบนัก แม้พวกนางจะทะเลาะกันเสียงดังวุ่นวายถึงเพียงนี้ก็ล้วนไม่มีองครักษ์มาปรากฏตัว นึกเรื่องที่อีกฝ่ายติดสินบนสี่กงกงอีกครา นางจำต้องไปกราบทูลเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบโดยเร็ว
แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือเพราะคำพูดที่นางเพิ่งกล่าวไป กลับยิ่งทำให้หมิ่นกุ้ยเฟยยึดมั่นใจในการตัดสินใจมากขึ้น
“อี้กุ้ยเฟย ทั้งหมดนี้เป็นเจ้าที่บังคับให้ข้าทำเอง!”
หมิ่นกุ้ยเฟยที่นอนฟุบอยู่ที่พื้นด้วยความเจ็บปวดเป็นเวลานาน ฝืนข่มความเจ็บปวดแล้วยืนขึ้นมาโดยพลัน นางสาวเท้ายาวไปเบื้องหน้าด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ยามที่อี้กุ้ยเฟยยังมิได้ตอบสนองก็ยื่นมือออกไปหยิบกริชที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อออกมา
“อึก!”
อี้กุ้ยเฟยรู้สึกเจ็บข้างหลัง ไม่รอให้นางหันกลับไปมองว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างชัดเจน ที่หน้าอกก็ถูกปลายกริชแทงทะลุออกมาแล้ว
เลือดสดๆ ไหลรินลงมา
“เจ้า…เจ้า ช่างกล้า…กล้านัก”
“ข้ามีความกล้ามาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่เจ้าต้องไปวังพญายมเสียก่อนจึงจะเข้าใจ!”
หมิ่นกุ้ยเฟยดึงกริชออกมาจากหลังของนางที่ทะลุกลางอก ก่อนจะแทงเข้าไปอีกคราอย่างแรง
เห็นอี้กุ้ยเฟยพิงมาที่ร่างของนางด้วยลมหายใจที่ขาดห้วง หมิ่นกุ้ยเฟยก็ดึงกริชออกมาทิ้งให้นางล้มลงอย่างไร้ปรานี
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป”
ระหว่างทางที่มาวังหลังรอบด้านมืดมิดไม่มีแสงจันทร์สาดส่อง วันนี้ในวังทั้งหนาวเย็นและมืดครึ้มเป็นอย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งถือกล่องยาอยู่อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน “น่าแปลก เดินมานานถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่เห็นองครักษ์เลยเล่า?”
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบนางก็หันกลับไป แต่สิ่งที่ทำให้นางแปลกใจคือ นางกำนัลที่เดินตามนางมาโดยตลอดกลับหายไปแล้ว
“คนผู้นี้เมื่อครู่ยังอยู่ข้างหลังเหตุใดจู่ๆ จึงหายไปเล่า?”
หายไปตั้งแต่เมื่อใด?
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกสงสัยแต่เพราะเหตุนี้ในใจจึงรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน
นางนึกเสียใจภายหลังว่ารู้เช่นนี้น่าจะให้ซางจือตามมาด้วย
แปลกเสียจริง คนตั้งครรภ์แล้วเหตุใดจึงมีความกล้าน้อยลงด้วยเล่า?
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะมักจะรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มืดมนเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นางกำนัลหายตัวไปนางก็คิดจะหันหลังกลับ แต่บังเอิญเห็นจากระยะไกลว่าเหมือนมีบางสิ่งล้มอยู่ตรงหน้า
เป็นคน!
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งมองเงาร่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย นางแทบจะพุ่งเข้าไปโดยไม่ต้องคิด
ยามที่นางเห็นอี้กุ้ยเฟยล้มอยู่บนพื้นก็ตะลึงงัน
นางโอบคนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล “อี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง?”
น่าเสียดายที่ร่างกายเริ่มเย็นอีกทั้งยังไม่มีลมหายใจแล้ว!
ในมืออี้กุ้ยเฟยยังจับกริชเล่มหนึ่งไว้ นางตายแล้วแต่เหตุใดกริชจึงอยู่ในมือนาง?
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบกริชขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด กริชเล่มนี้ละเอียดประณีตทั้งยังสั้นและคมเหมือนจะเป็นของสตรี ไม่รอให้นางได้วิเคราะห์เจอเบาะแสอันใดอีก ทางด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากใกล้เข้ามา แทบจะในชั่วพริบตานางก็ถูกคนล้อม
“ทหาร เจิ้งเฟยขององค์ชายรองลอบสังหารอี้กุ้ยเฟย จงจับตัวฆาตกรเสีย!”