เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 465 ระเบิดโทสะ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 465 ระเบิดโทสะ
เล่มที่ 16 ตอนที่ 465 ระเบิดโทสะ
“ไม่ว่าผู้ใดหากไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาทก็ไม่อาจเข้าไปได้ โปรดถอยไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ขวางหมิ่นกุ้ยเฟยที่หมายจะบุกเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“สามหาว จงเปิดตาสุนัขของเจ้าให้กว้างแล้วมองให้ชัดเจนเสีย เปิ่นกงคือหมิ่นกุ้ยเฟย ไสหัวไปให้หมด ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
หมิ่นกุ้ยเฟยตำหนิอย่างเดือดดาล ยื่นมือออกไปต้องการจะผลักองครักษ์ คาดไม่ถึงว่าหอกยาวในมือของคนหลายคนจะแทงเข้ามาอย่างไร้ปรานี
นางตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว พ่นลมหายใจออกทางจมูกพลางจ้องเขม็ง “พวกเจ้า…”
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้คุมตัวหมิ่นกุ้ยเฟยไว้ในวังหลัง กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมาที่ตำหนักหน้าโดยพลการถือเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของวังหลวง ยามนี้ยังหมายจะบุกเข้าไปในห้องทรงพระอักษร หากสร้างความวุ่นวายให้ฝ่าบาทเกรงว่าจะต้องถูกปลิดชีพในทันที ขอเชิญกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญโดยไม่คิดจะไว้หน้านางแม้แต่น้อย
“สารเลว ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาขวางแม้แต่ข้ากัน นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ฝ่าบาทตรัสยามที่มีโทสะ พระองค์ได้มีราชโองการแล้วหรือ? หากยังไม่มีก็อย่ามาขวาง จง…” หมิ่นกุ้ยเฟยพูดพลางตรงเข้าไป แต่คำพูดสุดท้ายว่า ‘เปิดทาง’ ยังไม่ทันได้กล่าวก็ถูกหอกยาวจ่ออยู่บนคอเสียก่อน
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงหากยังไม่ออกไปก็อย่าโทษว่ากระหม่อมไม่ปรานีนะพ่ะย่ะค่ะ!”
กล่าวจบองครักษ์ก็ออกแรงที่แขนทั้งสองข้าง หากหมิ่นกุ้ยเฟยไม่หลบเลี่ยงในอึดใจเดียวได้อย่างทันเวลาเกรงว่าหอกยาวคงทะลุคอของนางไปแล้ว
“พวกเจ้า พวกเจ้าคอยดูเถอะ!”
สะบัดแขนเสื้อก่อนนางจะพุ่งจากไปด้วยความโกรธ
“เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงทรงระงับโทสะก่อนเถิดเพคะ อย่าให้สุนัขรับใช้ไม่กี่คนมาทำให้โกรธจนเสียสุขภาพเลยเพคะ” สาวใช้ข้างกายรีบวิ่งมาปลอบใจ
“เหอะ ยามนี้ข้าโกรธไปแล้วจะมีประโยชน์หรือ? ดูท่าฝ่าบาทจะทรงจริงจัง หากฝ่าบาทไม่ตรัสเหล่าองครักษ์จะรู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขังข้าไว้ที่วังหลัง ยามนี้ที่ข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ได้ก็ไม่ต่างอันใดกับการถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น!”
หมิ่นกุ้ยเฟยเตะไปที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ตรงข้ามแต่เพราะคำนวณระยะห่างพลาดไป ปลายเท้าจึงกระแทกจนรู้สึกเจ็บ “โธ่เอ๊ย นี่ ต้นไม้ใหญ่ตนนี้ก็ยังกล้าเป็นศัตรูกับข้า ทหารจงมาฟันต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ให้เปิ่นกงเสีย!”
นางไม่อาจเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้แต่ถึงอย่างไรก็มิได้ถูกยึดอำนาจแท้จริงของกุ้ยเฟยไป
เหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังได้ยินคำสั่งก็รีบเอาเลื่อยออกมา ลำต้นที่เดิมทีเจริญงอกงามถูกตัดด้วยใบมีดเดียว “เหอะ ให้ข้าดูหน่อย กล้ามาทำให้ข้าขุ่นเคืองก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้!”
หมิ่นกุ้ยเฟยชี้ที่ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าจงใจยื่นคอยาว เห็นได้ชัดว่าพูดให้เหล่าองครักษ์ที่ขวางนางไว้เมื่อครู่ข้างหลังได้ยิน
“เหนียงเหนียงเพคะ หม่อมฉันคิดว่าต้องเป็นอี้กุ้ยเฟยผู้นั้นที่แอบใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดเป็นแน่เพคะ!” สาวใช้ข้างกายมีสีหน้าวางแผนอย่างหน้าเนื้อใจเสือ ยามที่พูดประโยคนี้ก็ยังออกเสียงออกสีหน้าเป็นพิเศษ “พระองค์ลองคิดดูเพคะ ฝ่าบาททรงประชวรหนักไหนเลยจะจำได้ว่าพระองค์เองเคยตรัสอันใด หากมิใช่เพราะคำสั่งของอี้กุ้ยเฟย องครักษ์เหล่านั้นจะกล้ามาขวางเหนียงเหนียงที่ได้รับความโปรดปรานอย่างท่านได้อย่างไรเพคะ?”
“เจ้าพูดถูก หากมิใช่เพราะนางสารเลวนั่นใช้ลูกไม้อันใดฝ่าบาทที่ทรงโปรดปรานข้าจะไม่ให้ข้าเข้าเฝ้าได้อย่างไร?” หมิ่นกุ้ยเฟยยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ “แต่ยามนี้จะทำอย่างไรดีเล่า ฝ่าบาทไม่ให้ข้าเข้าไปในห้องทรงพระอักษร นางสารเลวนั่นก็คอยเฝ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาทอยู่ตลอด หรือต้องให้ข้ามองดูนางฟื้นฟูความโปรดปรานของตัวเองหรือ?”
สาวใช้ข้างกายยิ้ม “เหนียงเหนียงอย่ากังวลไปเลยเพคะ ข้ามีญาติผู้พี่ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ทำงานอยู่ในวังหลวง อีกทั้งปกติเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสี่กงกง ไม่สู้ให้หม่อมฉันไปถามไถ่จากญาติผู้พี่เสียหน่อยว่าสถานการณ์ในยามนี้ของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง หากสามารถพาอี้กุ้ยเฟยแยกตัวออกไปได้ พระองค์ก็จะสามารถไปขอร้องฝ่าบาทด้วยตัวพระองค์เองบางทีอาจทำให้ยกเลิกคำสั่งคุมตัวได้นะเพคะ”
หมิ่นกุ้ยเฟยได้ยินในใจก็ยินดียิ่ง “เช่นนั้นเจ้ายังมัวงงทำอันใดอยู่ ยังไม่รีบไปอีก!”
“เพคะเหนียงเหนียง หม่อมฉันจะเดี๋ยวนี้เพคะ” เมื่อสาวใช้ส่วนตัวได้รับคำสั่งก็ค้อมร่างกำลังจะรีบจากไปแต่หมิ่นกุ้ยเฟยกลับคว้าแขนของนางไว้เสียก่อน
“จำไว้ว่าหากเรื่องนี้จัดการได้ดีเจ้าย่อมได้รางวัล ไปเถอะ ไปสอบถามมาให้เปิ่นกงอย่างชัดเจนเสีย”
“พระองค์วางใจได้เพคะเหนียงเหนียง”
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
สาวใช้ส่วนตัวก็รีบกลับมาที่ตำหนัก เห็นหมิ่นกุ้ยเฟยก้าวเดินไปมาอยู่ในห้องรอข่าวของนางอย่างเคร่งขรึม สาวใช้ก็โค้งริมฝีปากรีบพุ่งเข้าไปแทบไม่ทัน
“เหนียงเหนียงได้ข่าวมาแล้วเพคะ!”
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย หมิ่นกุ้ยเฟยก็รีบหมุนร่างกลับไป “สถานการณ์เป็นเช่นไร? จัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยหรือไม่?”
“ญาติผู้พี่ผู้นั้นของหม่อมฉันมอบเงินตำลึงให้สี่กงกง สี่กงกงยอมรับไว้จากนั้นสิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูดก็ล้วนกล่าวออกมาหมดเพคะ ที่แท้อี้กุ้ยเฟยก็ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฝ่าบาทอยู่ทุกวันเรียกได้ว่าได้รับพระกรุณาธิคุณอย่างลึกซึ้ง จนแม้แต่สี่กงกงก็เทียบไม่ได้เพคะ”
ได้ยินคำพูดนี้หมิ่นกุ้ยเฟยก็ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ก่อนจะโยนของทั้งหมดบนโต๊ะเครื่องแป้งตรงหน้าลงไปบนพื้น “สารเลว สารเลว!”
“เหนียงเหนียงอย่าโกรธเลยเพคะ” สาวใช้ปลอบโยน “หม่อมฉันก็คาดไม่ถึงเช่นกันเพคะว่าอี้กุ้ยเฟยอายุมากแล้วยังจะมากแผนการเช่นนี้ แต่ในเมื่อสี่กงกงรับเงินของพวกเราไปแล้ว วันนี้ยามเซิน [1] จะกันอี้กุ้ยเฟยออกไป เหนียงเหนียงก็ฉวยโอกาสเข้าไปในตำหนักเฉียนชิง ขอเพียงได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท เหนียงเหนียงล้วนสามารถบอกเรื่องไม่เป็นธรรมที่ได้รับในช่วงนี้ทั้งหมดให้ฝ่าบาททรงทราบได้ เชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องใจอ่อนและยกเลิกรับสั่งเป็นแน่เพคะ!”
“ยอดเยี่ยม!”
สุดท้ายเมื่อได้ยินข่าวดีต่อตัวเองหมิ่นกุ้ยเฟยก็ยินดียิ่ง “เด็กสาวผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะทำงานได้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมทีเดียว บอกมาเถอะว่าเปิ่นกงต้องให้รางวัลเจ้าอย่างไรดี”
“หม่อมฉันย่อมมิกล้าหุนหันต่อหน้าเหนียงเหนียงเพคะ!” สาวใช้คุกเข่าลงโดยพลัน “หม่อมฉันเป็นคนของเหนียงเหนียงเป็นธรรมดาที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนต้องใคร่ครวญเพื่อเหนียงเหนียง นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำเพคะ เพียงแต่…เพียงแต่แท่งเงินนั้นเป็นเงินเดือนหลายเดือนของญาติผู้พี่…”
เสียงของนางเบาลงเรื่อยๆ
หมิ่นกุ้ยเฟยได้ยินแม้จะพ่นเสียงออกมาทางจมูกอย่างดูหมิ่น แต่ก็ยังหยิบถุงเงินถุงหนึ่งออกมาจากลิ้นชักและโยนมา “บอกว่าจะให้รางวัลเจ้าแล้วย่อมไม่คืนคำ เอาไปคืนญาติผู้พี่ของเจ้าเสียส่วนที่เหลือเจ้าก็เก็บไว้”
สาวใช้ได้ยินก็มีสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง และรีบขอบคุณหมิ่นกุ้ยเฟยครั้งแล้วครั้งเล่า
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียงเป็นอย่างยิ่ง ขอขอบพระทัยเหนียงเหนียงเป็นอย่างยิ่งสำหรับรางวัลเพคะ”
ด้วยเกรงว่าเรื่องที่ต้องพูดต่อจะทำให้นางเปลี่ยนใจ สาวใช้จึงรีบเก็บลงไปในกระเป๋าพกอย่างระวัง ก่อนจะเปิดปากกล่าวอย่างระมัดระวัง “เพียงแต่ เพียงแต่หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรายงานเหนียงเหนียงเพคะ”
เห็นสาวใช้มีสีหน้าเคร่งขรึม หัวใจของหมิ่นกุ้ยเฟยก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาอีกครา “ต่อหน้าข้าไม่มีอันใดต้องปิดบัง พูดมา!”
“เพคะ คือเช่นนี้เพคะเหนียงเหนียง วันนี้หากมิใช่เพราะญาติผู้พี่และสี่กงกงมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีเกรงว่าคงไม่ได้รับข่าวนี้แล้ว ได้ยินมาว่า…ได้ยินมาว่าบาททรงมีรับสั่งแต่งตั้งอี้กุ้ยเฟยให้ขึ้นเป็นหวางโฮ่วเพคะ!”
“เจ้า-พูด-อัน-ใด!”
ได้ยินคำว่า ‘หวางโฮ่ว’ สองพยางค์นี้ หมิ่นกุ้ยเฟยก็กระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยความตื่นตระหนก
นางคว้าคอเสื้อของสาวใช้จ้องดวงตาของนางอย่างถี่ถ้วน “เจ้าพูดอีกครั้งเสีย เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอันใด?”
สาวใช้ตกใจกลัวจนรีบปิดตาแน่น คำพูดที่กล่าวออกมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ “เหนียงเหนียงโปรดละเว้นโทษด้วย เหนียงเหนียงโปรดละเว้นโทษด้วยเพคะ หม่อมฉันก็ได้ยินมาเช่นกัน เรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือความเท็จย่อมไม่อาจรู้ได้ บางที บางทีอาจเป็นเรื่องไม่จริงก็ได้เพคะ!”
“สารเลว!”
หมิ่นกุ้ยเฟยที่ถูกทำให้มีโทสะอยู่นานแล้วสะบัดมือออกโดยพลัน “ในเมื่อเป็นคำพูดของสี่กงกงแล้วจะเป็นเรื่องโกหกได้อย่างไร? หญิงเฒ่าผู้นั้นคาดไม่ถึงว่านางจะยังมีฝีมืออยู่ กล้ามาชิงตำแหน่งหวางโฮ่วกับข้า นางช่างไม่กลัวตายเสียจริง!”
เห็นความดุร้ายในก้นบึ้งดวงตาของนาง สาวใช้ตกใจก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกในขณะที่ตัวสั่นเทา “เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะก่อนเถิดเพคะ อี้กุ้ยเฟยช่างมากแผนการทำให้ฝ่าบาททรงลุ่มหลงได้ ดังนั้น ดังนั้นจึง…”
“ไม่ถูก ในเมื่อกำลังจะถูกแต่งตั้งให้เป็นหวางโฮ่ว แล้วเหตุใดจึงไม่มีพระราชโองการออกมา?” หมิ่นกุ้ยเฟยยังคงโอบกอดความหวังไว้ในจิตใจ หากนี่เป็นข่าวลวงจริงๆ เล่า
ศีรษะของสาวใช้กลับยิ่งก้มต่ำลง “เรียนเหนียงเหนียง ญาติผู้พี่ ญาติผู้พี่กล่าวว่าเป็นเพราะบทเรียนคราก่อนจากเหนียงเหนียง อี้กุ้ยเฟยจึงขอร้องฝ่าบาทว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ได้ยิน ได้ยินว่าพวกเขากำลังเลือกวันมงคลเพื่อแต่งตั้งตำแหน่งเพคะ”
ได้ยินเสียงของสาวใช้ที่ขี้ขลาดลงเรื่อยๆ หมิ่นกุ้ยเฟยกลับรู้สึกเพียงว่าปอดยิ่งบวมขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะระเบิด!
“ว่าอย่างไรนะ!”
นางเบิกตากว้าง ของที่เหลืออยู่บนโต๊ะกระเด็นลงไปบนพื้นจนหมด “สารเลว สารเลว! หญิงสารเลว ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าไม่ต้องการ ไม่ต้องการความรู้สึกผิดของฝ่าบาท ไม่ต้องการของรางวัล ยามนี้กลับมาแย่งข้าไป นางล้วนมาแย่งชิงสิ่งที่ข้าต้องการไป!”
นึกถึงเรื่องเหล่านี้หมิ่นกุ้ยเฟยก็หายใจลำบาก “เหอะ ลูกชายนางหาใช่ไท่จื่ออีกแล้ว นางจึงหาวิธีต้องการจะกลายเป็นหวางโฮ่ว อยากจะฟื้นฟูตำแหน่งของไท่จื่อที่ถูกปลดไปแล้วหรือ? นางช่างหวังสูงนัก!”
ที่วังหลังศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางก็คืออี้กุ้ยเฟย นางจะยอมให้อีกฝ่ายมานั่งบนหัวตัวเองได้อย่างไร!
“ให้คนไปตรวจสอบให้แน่ชัดว่าพวกเขาเลือกวันมงคลเป็นวันใด พวกเขากล้ามาทำลายการแต่งตั้งตำแหน่งของข้า ข้าก็จะไม่ให้พวกเขาทำสำเร็จเช่นกัน!”
หมิ่นกุ้ยเฟยหายใจอย่างหนักหน่วงรู้สึกเพียงว่าจะอย่างไรก็ระบายออกมาไม่พอ
“เพคะเหนียงเหนียง หม่อมฉันจะให้คนไปตรวจสอบเพคะ แต่เหนียงเหนียงยังมีเรื่องที่หม่อมฉันคิดว่าเหนียงเหนียงต้องทราบเพคะ” สาวใช้เงยหน้าขึ้นมาอย่างใจกล้า
“ยังมีเรื่องอันใดแย่ไปกว่าเรื่องนี้อีก บอกข้ามาให้ชัดเจนในหนึ่งลมหายใจเสีย!”
หมิ่นกุ้ยเฟยโกรธจนวิงเวียนรู้สึกเพียงว่าแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าผู้ที่เสนอชื่ออี้กุ้ยเฟยให้ขึ้นเป็นหวางโฮ่วคือองค์ชายหกเพคะ” สาวใช้ยืนขึ้นและเข้ามาใกล้หูหมิ่นกุ้ยเฟยด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ พลางพูดเสียงเบายิ่งอย่างระมัดระวัง
ในวังหลวงผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าองค์ชายหกเป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง เขาสามารถทำให้องค์ชายเจ็ดที่ได้รับความโปรดปรานตายตกได้ในประโยคเดียว ทั้งยังดึงไท่จื่อลงจากตำแหน่งด้วยประโยคเดียว ยามนี้ในวังหลวงผู้ใดจะกล้าเป็นศัตรูกับเขากัน? เป็นธรรมดาที่คำพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขาจะต้องกล่าวอย่างระมัดระวังเสียหน่อย เพราะเกรงว่าหลังจากเขาได้ยินแล้วจะทำให้ตนเกิดหายนะ
“ฉินรั่วเฉิน?”
หมิ่นกุ้ยเฟยพูดได้หนึ่งคำก็ชะงักไป ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าผู้ที่ทำร้ายนางจะเป็นองค์ชายหกที่นางเคยช่วยไว้
“สารเลว ข้าเคยช่วยเขาทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ต้องตกที่นั่งลำบาก ข้าคิดว่าเขาจะรู้ทิศทางของข้าว่าย่อมอยู่ข้างเขา แต่เขากลับแทงข้างหลังข้าหรือ?”
นางจะพูดหรือ ต่อให้อี้กุ้ยเฟยจะมีความกล้ามากมายก็ย่อมไม่กล้าขอตำแหน่งหวางโฮ่วด้วยตัวเอง อีกทั้งฮ่องเต้ทรงประชวรหนักเช่นนั้นจะมามีความคิดอยากแต่งตั้งหวางโฮ่วอันใดได้
คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายผู้ที่มากดดันนางทั้งยังแย่งชิงตำแหน่งหวางโฮ่วที่นางคาดหวังไว้จะเป็นองค์ชายหก
“เปิ่นกงช่างตาบอดนักที่คิดจะช่วยเขาโค่นล้มซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาก็รู้จุดยืนของข้าทั้งยังสามารถจัดการพวกเขาร่วมกับข้าได้ แต่ดูท่ายามนี้ฉินรั่วเฉินผู้นี้จะไม่รู้ดีชั่วจริงๆ! เหอะ ข้าดูแล้วผู้ที่อยากจะเป็นไท่จื่อมากที่สุดคงเป็นเขากระมัง? คอยดูเถอะเปิ่นกงจะไม่ปล่อยไปแน่!”
นึกถึงความไม่รู้ดีชั่วของฉินรั่วเฉิน หมิ่นกุ้ยเฟยก็สั่นสะท้านด้วยความโกรธ “ให้คนเข้ามา”
“ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงมีรับสั่งอันใดหรือเพคะ”
“…ไปทำตามคำสั่งของข้า” หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวแผนในใจออกไปและตบไหล่ของสาวใช้ “ไปจัดการเถอะ วางใจได้หากมีผลอันใดตามมาภายหลังข้าจะรับผิดชอบเอง”
สาวใช้ลังเลอยู่บ้างไม่รู้ว่าควรเชื่อฟังหรือไม่ แต่เห็นความโหดเหี้ยมวาบผ่านในก้นบึ้งดวงตาของคนตรงหน้า นางก็คิดว่าตัวเองคนหลอนไปเอง
ราวกับนางเห็นภาพลวงตาว่าถ้านางไม่ทำตามนางก็ต้องตายเช่นกัน!
เชิงอรรถ
[1] ยามเซิน หมายถึง 15:00-16:59 น.