เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 16 ตอนที่ 464 พอแล้ว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 464 พอแล้ว
เล่มที่ 16 ตอนที่ 464 พอแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าซูเรียกนางออกไป ผลคืออีกฝ่ายพูดคุยกับนางมากมาย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะพูดเรื่องที่เสียดายที่จวนจวิ้นอ๋องไม่อาจเก็บนางไว้ได้
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่โต้แย้งทั้งยังไม่แก้ต่าง เพียงแค่ใช้สายตาและคำพูดเปิดเผยข่าวที่นางกำลังตั้งครรภ์โดยมิได้ตั้งใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าซูได้ยิน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน แต่ไม่นานก็เอ่ยปากแสดงความยินดีรวมถึงกล่าวอวยพร และไม่ยกเรื่องชะตาชีวิตที่น่าโศกเศร้าของซูเช่อขึ้นมาพูดอีก
หลิงมู่เอ๋อร์ตรวจชีพจรให้นางอีกคราก็พบว่าช่วงนี้อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าซูค่อนข้างดี แม้แต่ร่างกายก็สุขภาพดีขึ้นด้วย จึงทำเพียงแค่ให้เทียบยาสำหรับบำรุงร่างกายและส่งเสริมการนอนหลับให้ดีขึ้น หลังจากนั้นก็ปลอบโยนให้นางเข้านอนและจึงออกไปจากห้อง
ท้องฟ้ามืดแล้ว คิดว่ายามที่นางกลับไปทุกคนน่าจะกินข้าวเสร็จแล้ว นางเดินไปตามทางเดินยาวตรงไปทิศตะวันตก คาดไม่ถึงว่ายามที่ใกล้จะถึงห้องโถงจะเห็นแสงไฟระยิบระยับอยู่ไกลๆ
ที่แท้ก็เป็นซูเช่อพาบ่าวสองสามคนมาย่างเนื้อ
“อาหารเลิศรสบนโต๊ะไม่พอให้เสียนหวางกินหรือ เหตุใดจึงมากินอาหารคนเดียวอยู่ตรงนี้เล่า?”
นี่เป็นทางเดินเดียวที่จะตรงไปห้องโถงได้ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากรบกวนเขาแต่ก็ต้องทักทายคนเช่นกัน
นั่งยองลงมาจ้องมองเนื้อเสียบไม้และปีกไก่บนตะแกรงย่างของเขา ทำให้นึกย้อนกลับไปเมื่อกว่าหนึ่งปีก่อนยามที่นางยังไม่ได้แต่งงานกับซั่งกวนเซ่าเฉิน
ครานั้นเพราะเหตุใดจึงมาที่จวนจวิ้นอ๋องกัน?
ใช่แล้ว เป็นวันเกิดขององค์หญิงใหญ่
ยังจำได้ว่าวันนั้นสตรีที่มารวมตัวกันต่างร่วมกันเยินยอและประจบสอพลอ ส่วนเหล่าบุรุษก็มาย่างเนื้อและอ่านโคลงกลอนกันที่นี่ช่างสง่างามมากทีเดียว
ผ่านไปเพียงพริบตาก็ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว
“เจาหยางถูกปากสิ่งนี้ หลังตบแต่งออกไปแล้วก็ยากที่จะได้กลับมา อยากกินอันใดในฐานะพี่ชายย่อมไม่มีเหตุผลให้ไม่พอใจ”
คำพูดนี้ของซูเช่อมีความรู้สึกรักใคร่ ในฐานะพี่ชายเขาก็ล้วนทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมมาแต่ไหนแต่ไร
เห็นเขาส่งปีกไก่ไม้หนึ่งมาให้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ้มและรับมา “ขอบคุณ”
ลองกินคำหนึ่งก็พบว่าหอมอร่อย นางยกนิ้วโป้งขึ้นมาเอ่ยชมไม่ขาดปาก “กรอบนอกนุ่มในชุ่มฉ่ำกำลังดี รสชาติเข้าไปถึงกระดูก ฝีมือของเสียนหวางยังคงยอดเยี่ยม”
“เจ้ายังจำเรื่องที่วันนั้นเปิ่นหวางย่างเนื้อให้เจ้ากินได้อยู่หรือ?”
ซูเช่อเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหันใช้สายตาส่งสัญญาณให้บ่าวข้างหลัง ทุกคนก็ออกไปจากทางเดินโดยพลัน เหลือเพียงพวกเขาสองคนภายใต้แสงจันทร์ สายตาของนางกระทบเข้ากับจิตใจของเขา
หลิงมู่เอ๋อร์เบนสายตาออกไปก่อน และนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “สามารถทำให้คุณชายอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาย่างเนื้อให้ได้ เรื่องนี้ในชีวิตจะพบเจอได้สักกี่ครั้งเชียว จะลืมได้อย่างไร?”
นางกล่าวพลางยืดคอมองบนตะแกรงย่าง “ไม่ทราบว่าเสียนหวางเตรียมไว้กี่มากน้อย รสชาติดีมากทีเดียว ไม่ทราบว่าขอชิ้นนั้นให้ข้าได้หรือไม่?”
“หลิงมู่เอ๋อร์!”
ซูเช่อเรียกชื่อของนางออกมาอย่างกะทันหัน
หลิงมู่เอ๋อร์กัดปีกไก่พลางเงยหน้าขึ้นมา กะพริบตาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
“หากวันนั้นข้าสารภาพความในใจกับเจ้า เจ้าจะตอบรับหรือไม่?”
บรรยากาศเงียบสงัดลงโดยพลัน
หลิงมู่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
เนื้อคำหนึ่งที่ยังไม่ทันได้กินลงไปดีๆ ติดอยู่ที่ลำคอของนางจนนางเริ่มไออย่างรุนแรงบราวนี่ออนไลน์
หลังจากซูเช่อขมวดคิ้วและพูดทิ้งท้ายหนึ่งประโยคว่า ‘สตรีเช่นเจ้านี่ช่าง’ ก็เดินเข้ามาหานางโดยพลัน หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจจนยื่นแขนยาวออกไปขวางไว้ “อย่าเข้ามา”
ฝีเท้าหยุดลงโดยพลัน ใบหน้าของซูเช่อเต็มไปด้วยความตึงเครียดอยากจะยื่นมือออกไปลูบนาง แต่ติดที่สถานะของทั้งสองคน เห็นใบหน้าของนางที่แดงก่ำและท่าทางที่น่ารักอยู่หลายส่วนของนาง เขาก็หัวเราะกับตัวเองขึ้นมาโดยพลัน
“ดูท่าฝีมือของเปิ่นหวางจะยังไม่ดีเท่าใดนัก ไม่เช่นนั้นเจิ้งเฟยขององค์ชายรองคงไม่ติดคอเช่นนี้”
น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาถูกกล่าวออกมาจากริมฝีปากบางทั้งยังมองไปที่เตาด้านข้าง “น้องสาวกลับจวนเป็นธรรมดาที่จะเตรียมทั้งหมดนี้ไว้ให้นาง หากเจิ้งเฟยขององค์ชายรองอยากกินก็ให้สามีตัวเองเตรียมให้เถอะ”
พูดจบเขาก็หยิบเนื้อเสียบไม้ทั้งหมดขึ้นมาจากเตาก่อนจะสาวเท้ายาวเดินจากไป
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ง่ายกว่าจะคายเนื้อนุ่มที่ติดคอออกมาได้ ยามที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นแผ่นหลังอันผ่าเผยจากไปแล้ว
“อะแฮ่ม”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างหลัง หลิงมู่เอ๋อหันกลับไปก็เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินพิงเสาอยู่ ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเพียงใดแล้ว
“เซ่าเฉิน ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด?”
หยิบปีกไก่โดดขึ้นมา หลิงมู่เอ๋อร์ท่าทีราวกับกระต่ายแสนร่าเริงตัวหนึ่ง
“นึกเสียใจภายหลังบ้างหรือไม่?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองดวงตาของนางอย่างถี่ถ้วน เดิมไม่อยากถามคำถามนี้แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงพ่นมันออกไป ทว่าในเมื่อถามไปแล้วก็ได้แต่รอคอยคำตอบ
คาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะชกเข้าที่ไหล่ของเขาหมัดหนึ่งอย่างแรง “ท่านพูดเหลวไหลอันใด? ข้าแค่ทอดถอนใจที่เนื้อเสียบไม้ถูกเอาไปหมด ของพวกนั้นรสชาติดีมากจริงๆ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินมุมปากก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้น และบีบปลายจมูกของนาง “ฝีมือของเหยียก็หาได้ด้อยไปกว่าเขาหรอก อยากกินหรือไม่?”
“เชิญเจ้าค่ะสามี!”
หลิงมู่เอ๋อร์ทำมือเป็นท่าทางเชิญชวน ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับสุนัขรับใช้ช่างประจบสอพลอ
ซั่งกวนเซ่าเฉินพ่นเสียงต่ำออกมาสองคราก่อนจะสะบัดแขนเสื้อนั่งลงหน้าเตา หยิบเนื้อสดข้างตัวมาเริ่มพลิกขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเขาลงมือจุดไฟ แสงไฟสะท้อนกับใบหน้าของเขาทำให้ใบหน้าอันแสนเคร่งขรึมอ่อนโยนลงหลายส่วน นางนั่งตรงข้ามพลางมองเขาก็เห็นใบหน้าที่งดงามที่สุดของเขาได้พอดี สามีของนางช่างหน้าตาดีเสียจริง
มือทั้งสองข้างวางอยู่ใต้คางราวกับสตรีเจ้าชู้ที่กำลังมองบุรุษด้วยความรักโดยไม่อาจเรียกสติได้อยู่นาน
ที่มุมกำแพงซูเช่อที่มองเห็นภาพทั้งหมดตรงหน้าออกแรงจับไม้เสียบเนื้อจนไม่เสียบทั้งหมดแทบหัก
“นายท่าน?”
ถูกจื่อถงดึงสติกลับมาได้ทันเวลา ซูเช่อหันกลับไปยัดเนื้อเสียบไม้ไว้ในอ้อมแขนของเขา “ให้รางวัลเจ้า”
จื่อถงถือเนื้อเสียบไม้ราวกับเป็นเผือกร้อนและรีบเดินตามหลังซูเช่อไป “นายท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ”
หากมิใช่เพราะวันนี้หลิงมู่เอ๋อร์มา เขาจะกลับมาจวนจวิ้นอ๋องได้อย่างไร?
ซูเช่อเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “กลับจวน”
บนรถม้า จื่อถงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เมื่อครู่เหตุใดนายท่านจึงไม่รอให้เจิ้งเฟยขององค์ชายรองพูดให้จบหรือขอรับ”
แม้จะบอกว่ายามนี้นายท่านกับเจิ้งเฟยขององค์ชายรองล้วนตบแต่งไปแล้ว แต่หากคำตอบที่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองพูดออกมาสามารถทำให้นายท่านมีความสุขได้เล่า?
ช่วงนี้นายท่านไม่มีความสุขเลย โดยเฉพาะหลังกลับมาที่จวนเสียนหวางอันแสนเย็นยะเยือก เช่นนั้นไม่สู้อยู่ที่จวนจวิ้นอ๋องอันครื้นเครงอีกหน่อยจะดีกว่ากระมัง
“นางให้คำตอบข้ามาแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้พูดออกมาอย่างชัดเจนก็ได้กระมัง?”
ซูเช่อหัวเราะเยาะตัวเองก่อนจะเอนกายพิงหลังรถม้า นึกถึงท่าทีที่หลิงมู่เอ๋อร์ติดคอเมื่อครู่
เป็นเรื่องจริงหรือหลอกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
“ได้ยินว่าองค์ชายรองปฏิเสธฝ่าบาทอยู่หลายครา นายท่าน พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?” จื่อถงชินกับการที่นายท่านช่วยเหลือตำหนักองค์ชายรองอย่างไม่มีเงื่อนไขมานาน ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเรียนรู้ที่จะไม่รอให้นายท่านสั่ง แต่เริ่มเป็นฝ่ายถามเอง
“เขาจะตอบตกลงแน่”
คำตอบของซูเช่อเย็นชาและสั้นกระชับอยู่เสมอ
จื่อถงชะงักไปครู่หนึ่งกำลังคิดจะพูดอันใดแต่ในหัวก็มีภาพหนึ่งผุดขึ้นมาโดยพลัน
หากองค์ชายรองกลายเป็นไท่จื่อหลังจากขึ้นครองบัลลังก์ก็จะกลายเป็นฮ่องเต้ เจิ้งเฟยขององค์ชายรองก็ย่อมกลายเป็นหวางโฮ่ว เช่นนั้นคุณชายของจวนเขาหลังจากนี้มิใช่ว่าต้องไปคุกเข่าทำความเคารพคนที่คำนึงหาทุกวันหรือ?
เช่นนั้นก็ช่างโหดร้ายเหลือเกิน!
“นายท่าน ถึงแล้วขอรับ” เสียงของคนบังคับรถม้าดังขึ้นมาจากข้างนอกรถม้า
หลังจากในใจซูเช่อคิดว่าเหตุใดจึงเร็วถึงเพียงนี้แต่ก็จำต้องลงจากรถม้า
ยามที่กำลังเข้าไปในทางเดินก็ได้ยินเสียงเลือนรางอันแสนเย่อหยิ่งลอยมา
“คนเล่า เขาอยู่ที่ใด บอกข้ามาว่าเขาอยู่ที่ใด ข้าต้องไปหาเขา!”
คิ้วอันงดงามขมวดเข้าหากันโดยพลัน ซูเช่อรู้สึกราวกับว่าร่างกายเย็นยะเยือกสั่นสะท้านขึ้นมา เขาจงใจกดเสียงลง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“หวางเฟยรู้ว่าท่านไม่อยู่ที่จวนจึงส่งเสียงโวยวายว่าต้องการออกไปหาคนขอรับ จะขวางก็ขวางไว้ไม่อยู่ทั้งยังเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกขอรับ” มองเหล่าองครักษ์ที่ตอบคำถาม
หวางเฟย? เป็นหวางเฟยอีกแล้ว!
สตรีผู้นี้ไม่รู้จักสงบอยู่ทั้งวัน ต่อให้เอานางไปขังไว้ในเรือน นางก็ยังเปลี่ยนมาใช้ลูกไม้สร้างความวุ่นวายในจวนเสียนหวาง เขาพอแล้วจริงๆ
“จื่อถง กลับ”
ออกคำสั่งคราเดียว ซูเช่อก็กำลังคิดจะกลับขึ้นรถม้าอีกครา และออกไปจากสถานที่อันแสนน่าเบื่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแห่งนี้
ภายในจวน มั่วจวินเหยาราวกับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอันใด นางพุ่งออกมาอย่างไม่มีสิ่งใดที่จะขวางไว้ได้ “ซูเช่อ เจ้าจงหยุดเสีย!”
เสียงแหลมสูงสายหนึ่งดังเสียดฟ้าราวกับค่ำคืนอันเงียบงันถูกรบกวน
ฝีเท้าของซูเช่อเร็วขึ้นอีก
มั่วจวินเหยาเห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งมาตรงหน้าเขา แขนทั้งสองข้างกางออกขวางทางของเขา “ข้าถามเจ้าว่าเจ้าจะไปที่ใด?”
“การเคลื่อนไหวของเปิ่นหวางต้องมารายงานเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?” น้ำเสียงของซูเช่อยังคงเย็นชา
“เจ้า…” มั่วจวินเหยาโกรธเกรี้ยว “ข้าเป็นหวางเฟยของเจ้า ข้าเป็นสตรีของเจ้า เจ้าจะไม่ให้สิทธิ์ข้าถามการเคลื่อนไหวของเจ้าได้อย่างไร? เจ้า เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าคืนนี้เจ้าไปอยู่ที่ใดมานะ จวนจวิ้นอ๋องจัดงานเลี้ยงฉลองที่ลูกของเจาหยางอายุครบเดือน เช่นนั้นก็เป็นงานเลี้ยงของครอบครัวแม้แต่จวนตระกูลหลิงก็ไปกันหมด แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่พาข้าไป?”
ไม่รู้ว่าข่าวแพร่งพรายออกมาได้อย่างไร ซูเช่อเหลือบมองจื่อถง ยามที่หันกลับไปอีกคราใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก
“เมื่อครู่เจ้าก็บอกแล้วว่าเป็นงานเลี้ยงครอบครัว เช่นนั้นเหตุใดต้องเชิญเจ้าด้วย?”
มั่วจวินเหยาถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้สับสน “ข้า ข้าเป็นหวางเฟยของเจ้านะ!”
“ข้าไม่เคยนับว่าเจ้าเป็นครอบครัวของข้า!”
สิ้นคำพูด ซูเช่อก็ชนนางก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้า
มั่วจวินเหยาถูกคำพูดนี้ทำให้เจ็บปวด คำพูดนี้ราวกับคมดาบที่ทะลุหน้าอกของนางอย่างไร้ปรานี นางโกรธจนเลือดทั้งร่างแทบไหลย้อน
ไม่สนใจการคัดค้านของจื่อถง นางยืนกรานจะพุ่งเข้าไป ยามที่เห็นใบหน้าเย็นชาของซูเช่อ หัวใจของนางก็ราวกับมีเลือดไหล “ซูเช่อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ายังไม่จบใช่หรือไม่! หลิงมู่เอ๋อร์นางเป็นสตรีของผู้อื่น ในเมื่อเจ้าไม่มีความสามารถจะพานางมาอยู่ข้างกายก็อย่ามาทำตัวเป็นผู้ชายมากรักเช่นนี้! ข้าเป็นสตรีของเจ้า แต่เจ้านับว่าข้าเป็นอันใด? ข้าไม่สนว่าวันนี้เจ้าจะพูดอันใดกับข้า นอกจากเจ้าจะหย่ากับข้า!”
วันนี้ยามที่นางรู้ว่าซูเช่อไปร่วมงานเลี้ยงครอบครัวโดยไม่พานางไป นางก็แทบเสียสติ หากมิใช่เพราะองครักษ์ของจวนเสียนหวางขวางไว้ นางคงพุ่งไปสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่จวนจวิ้นอ๋องแล้ว
ผู้อื่นไม่รู้ว่าซูเช่อคิดอันใดทว่าอย่าคิดว่านางไม่รู้ หากมีโอกาสที่จะได้พบหลิงมู่เอ๋อร์ ซูเช่อย่อมไม่พลาดโอกาสแน่
แต่แล้วนางเล่า นางเพิ่งได้เป็นเสียนหวางเฟย นางเป็นสตรีที่เขาใช้เกี้ยวแปดคนหามพากลับมาตบแต่งอย่างถูกต้อง
“หย่าหรือ?”
ริมฝีปากของซูเช่อเปิดออกราวกับเพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก หางตาเต็มไปด้วยความสดชื่น มั่วจวินเหยาเห็นเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่งทั้งยังรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ได้ขึ้นมาโดยพลัน
“นี่เป็นความคิดที่ไม่เลว”
มุมปากของซูเช่อยกขึ้น คำพูดที่กล่าวนั้นชัดเจนอีกทั้งน้ำเสียงยังดูไม่สนใจ แต่เพียงชั่วพริบตาเขากลับหันกลับไปออกคำสั่งอย่างเย็นชา “ทหาร ยังไม่พาคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปอีก!”
มั่วจวินเหยายังไม่ทันตอบสนองคนก็ถูกจื่อถงพาลงจากรถม้าไปแล้ว นางกำลังคิดจะตะโกนทันใดนั้นซูเช่อก็ยื่นศีรษะออกมา “หากเจ้ายังไม่อยู่อย่างสงบอีก พรุ่งนี้ข้าจะส่งจดหมายหย่าให้เจ้า หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู!”
หลังทิ้งคำพูดไว้ เขาก็รับบังเหียนมาจากมือของคนบังคับรถม้าและขี่ม้าออกไปด้วยตัวเอง
ค่ำคืนที่ไร้ความเมตตาเหลือเพียงมั่วจวินเหยายืนอยู่หน้าประตูจวนเสียนหวางคนเดียว จ้องมองสามีของนางที่ห่างออกไปลับจากสายตา
นางกลายเป็นเรื่องขำขันในสายตาของบ่าวทุกคน
“มองอันใดกัน ไสหัวไป!”
มั่วจวินเหยาตะโกนไล่บ่าวทุกคนให้กลับเข้าไปที่จวนเสียนหวาง
เส้นผมของนางยุ่งเหยิงราวกับเสียสติ นางตัวสั่นสะท้านไม่รู้เพราะความเย็นหรือเพราะถูกทำให้เจ็บปวด
“สาวงามเช่นนี้เสียนหวางก็ยังหักใจทิ้งลง การปฏิบัติที่เสียนหวางเฟยได้รับช่างน่าเศร้าเสียจริง ไม่ทราบว่าเปิ่นหวางจื่อสามารถช่วยอันใดได้หรือไม่?”