เล่มที่ 16 ตอนที่ 454 บาดแผลจากคมดาบ
“เห็นสีหน้าของพวกเจ้าสองคนดีขึ้นมาก ดูท่ายาลูกกลอนบำรุงร่างกายของข้าจะให้ผลดีทีเดียว แต่ยังมีตรงส่วนใดที่รู้สึกไม่สบายอยู่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถามในขณะที่เดินเข้าไปในห้องรับแขกด้วยรอยยิ้ม
เพื่อให้สะดวกในการรักษาสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิง ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงสั่งให้เคลื่อนย้ายสิ่งของในห้องรับแขกเป็นพิเศษ โดยวางเตียงไว้สองเตียงทางด้านซ้ายขวา และตรงกลางเหลือทางเดินสายหนึ่งไว้
หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน ซ่งอี้เฉิงก็พยายามจะลุกขึ้น “ท่านอาจารย์…”
“อย่าขยับ” ส่งสายตาให้เขาเพื่อสื่อให้เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หลิงมู่เอ๋อร์ใช้มือตรวจชีพจรให้เขาอย่างช่ำชอง “อืม ช่วงนี้ดูแลไปแบบไม่เสียเปล่า พิษในร่างกายถูกกำจัดออกไปหมดแล้วแม้แต่ร่างกายก็ล้วนบำรุงจนแข็งแรงขึ้นไม่น้อย กล้าบอกได้ว่าอย่างน้อยภายในสามถึงห้าปีนี้เจ้าจะไม่เป็นแม้แต่ไข้หวัด”
ได้ยินเช่นนี้ซ่งอี้เฉิงก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้เขาจะเป็นหมอแต่เขาจะกล้ารับรองได้อย่างไรว่าตนเองจะไม่ป่วย? ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์ใส่ใจพวกเขาจริงๆ
“ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์พ่ะย่ะค่ะ”
“ฉี่กวงขอขอบพระทัยเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเป็นอย่างยิ่งที่ทรงใส่ใจกันเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์โบกมือ “ล้วนบอกไปแล้วว่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ อย่างที่บอกว่าพวกเจ้าสองคนได้รับบาดเจ็บเพราะพวกข้า การดูแลพวกเจ้าก็นับว่าสมควรแล้ว เคยชินกับการอยู่ที่ตำหนักแล้วหรือไม่?”
ได้ยินคำพูดนี้สงฉี่กวงก็ลูบหลังศีรษะอย่างกระดากอาย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มละอายใจ “แหะๆ ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบังพ่ะย่ะค่ะเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง ฉี่กวงอยู่ที่นี่…จนอ้วนพีเช่นนี้ ยามที่กลับไปเมืองผิงเฉิงเหล่าพ่อค้าเห็นเข้าคงพากันอิจฉากระหม่อมเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกขัน “ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าที่มีใบหน้าซื่อตรงจะรู้จักพูดเล่นเช่นนี้”
“ทั้งหมดที่ฉี่กวงพูดล้วนเป็นความจริงนะพ่ะย่ะค่ะ!” สงฉี่กวงไม่ยอมรับว่าเขาจงใจประจบสอพลอ “หากลองถามผู้ใดจะเชื่อว่ากระหม่อมมาที่เมืองหลวงครานี้จะได้มาพักที่ตำหนักองค์ชายรอง ทั้งยังถูกต้อนรับในฐานะแขก หลังจากกลับไปกระหม่อมย่อมเอาไปโอ้อวดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“คำพูดนี้ของสงฉี่กวงเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ พวกเราที่เป็นเพียงสามัญชนอย่าว่าแต่มาพักที่ตำหนักองค์ชายเลยพ่ะย่ะค่ะ ปกติการได้พบองค์ชายก็นับเป็นเรื่องที่เสริมสร้างวาสนาให้บรรพบุรุษแล้ว ต้องขอคารวะท่านอย่างสุดซึ้ง กระหม่อมได้มีวาสนากลายเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ นั่นก็นับเป็นเรื่องที่เพิ่มชื่อเสียงให้แก่บรรพชนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขันความช่างพูดของทั้งสองคน หลังจากตรวจชีพจรและจัดยาให้พวกเขาใหม่อีกครั้ง เมื่อยืนยันว่าร่างกายของพวกเขาเกือบจะหายดีแล้วจึงเพิ่งวางใจ
“แม้จะบอกว่าเมื่อวานในตำหนักมีมือสังหาร แต่ที่นี่ก็มีองครักษ์หลวงคอยเฝ้าอยู่จึงปลอดภัยเป็นอย่างมาก พวกเจ้าสองคนแม้จะบาดเจ็บแต่ก็ไม่อาจอยู่ในห้องตลอดเวลาได้ จะออกไปเดินเล่นในสวนก็ย่อมได้ หลังกลับมาข้าจะให้พ่อบ้านพาพวกเจ้าไปเดินดูรอบๆ”
กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ลุกขึ้น “หากต้องการสิ่งใดก็อย่าได้เกรงใจ คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านตัวเอง เห็นพวกเจ้าเกือบหายดีแล้วข้าก็เบาใจ เช่นนั้นไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์จะไปส่งท่านเองพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งอี้เฉิงรีบลงจากเตียง “ท่านอาจารย์ ได้ยินว่าร่างกายท่านผิดปกติ เกิดอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ต้องการให้ศิษย์ช่วยหรือไม่?”
สงฉี่กวงเดิมคิดจะออกมาส่งนาง แต่เขาเห็นว่าหลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน บางทีนางอาจต้องการพูดคุยอันใดกับซ่งอี้เฉิงตามลำพัง เขาที่เข้าใจสถานการณ์จึงนอนลงบนเตียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอันใด
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาซาบซึ้ง พยักหน้าให้ซ่งอี้เฉิงและพาเขาไปที่สะพานโค้งในสวน
“ซ่งอี้เฉิง ในเมื่อเจ้าถามขึ้นมา ข้าก็มีคำถามที่อยากถามเจ้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่?”
“ท่านอาจารย์เชิญกล่าวมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งอี้เฉิงดีใจในคำถามของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง นี่หมายความว่านางนับว่าเขาเป็นคนของตนแล้ว
“เคยได้ยินเรื่องดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้หรือไม่?”
ซ่งอี้เฉิงชะงักไปเห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคำถามนี้
เขาในฐานะคนของแคว้นเทียนเฉาย่อมไม่รู้เรื่องของแคว้นซีอวี้มากนัก แต่บังเอิญว่าตระกูลซ่งของเขาซึ่งเป็นหมอมาหลายรุ่น ตราบใดที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการแพทย์ก็ล้วนรู้อยู่บ้าง
“เคยได้ยินมาบ้างพ่ะย่ะค่ะ มีข่าวลือว่าดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้เป็นดอกไม้ที่เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง นับว่าเป็นดอกไม้ที่หาได้ยากซึ่งผลของดอกไม้ชนิดนั้นสามารถนำมาทำเป็นยาได้ อีกทั้งยังได้ยินว่ามีฤทธิ์ในการบำรุงร่างกายเป็นอย่างยิ่ง” ซ่งอี้เฉิงยิ้มอย่างลำบากใจ “ศิษย์ไร้ความสามารถจึงรู้เพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
“สมกับที่เป็นตระกูลแพทย์ที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น รู้เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
ดูท่าอามู่เต๋อจะมิได้หลอกนาง
ในโลกนี้มีดอกไม้ชนิดนี้ที่เป็นดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้อยู่จริง หาใช่ว่าเขาปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงถามคำถามนี้ขึ้นมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ซ่งอี้เฉิงสงสัย
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาอย่างพิจารณา มิใช่ว่าระแวดระวังเขาเพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นสถานการณ์ที่ร่างกายมีความพิเศษ นางจริงใจกับซางจือเพราะนับว่าซางจือเหมือนเป็นน้องสาว ทว่าซ่งอี้เฉิงถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษ
“บังเอิญเห็นในตำรา คาดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีดอกไม้ที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วยจึงถามด้วยความสงสัย”
ซ่งอี้เฉิงไม่สงสัยในคำพูดของอาจารย์ “เช่นนั้นท่านอาจารย์ยังมิได้ตอบคำถามของศิษย์เลยพ่ะย่ะค่ะ ร่างกายของท่านอาจารย์เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ เช่นนั้นด้วยความสามารถของอาจารย์เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มก่อนจะเดินออกจากสะพานโค้ง
ยามที่มาถึงโรงหมอ ซางจือและเจี้ยงเซียงก็ล้วนตกใจเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนูมาได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ซางจือรีบเข้าไปยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง ทั้งยังมองไปข้างหลังนาง “เหยียไม่มาด้วยหรือเจ้าคะ?”
“รออยู่ที่ตำหนักจนรู้สึกเบื่อ หากยังไม่ออกมา ข้ารอจนผมขาวเขาก็คงยังไม่รู้ว่าข้าออกมา”
หลิงมู่เอ๋อร์ทำท่าทางปิดปากแสดงท่าทีให้พวกนางสองคนอย่าได้เอ็ดไป
วันนี้ยามที่นางออกมาได้บอกว่าจะไปเยี่ยมสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิง ซึ่งซั่งกวนเซ่าเฉินก็หาได้สนใจอีก ยิ่งไปกว่านั้นยามที่นางออกมาข้างนอก หนานกงอี้จือก็เร่งรุดเข้ามาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางจึงไม่อาจทนเข้าไปรบกวนได้
“สวรรค์ องค์ชายรองไม่รู้ว่าท่านออกมาหรือเจ้าคะ? เช่นนั้นคุณหนูรีบกลับไปเถิดเจ้าค่ะ หากองค์ชายรองพบว่าท่านไม่รออยู่ในตำหนักอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังมาที่โรงหมอจะไม่มารื้อที่นี่เอาหรือเจ้าคะ” ซางจือรู้สึกกลัวอยู่บ้างจึงดันนางออกไปข้างนอก
“ตกลงข้าเป็นคุณหนูของเจ้า หรือเขาเป็นเจ้านายของเจ้ากันแน่?” หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งทำเป็นไม่สบายใจ นั่งลงไปบนเก้าอี้อย่างมั่นคงราวกับเขาไท่ซาน ไม่ว่าจะดันนางอย่างไรก็ไม่ขยับ
“อย่าเสียแรงเปล่าเลย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าคุณหนูของเจ้ามีเรี่ยวแรงมหาศาลราวกับวัว?”
ใบหน้าของซางจือเต็มไปด้วยเส้นขีดสีดำ เบ้ปากอย่างห่อเหี่ยวอย่างยอมแพ้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงกลับไปนั่งที่ของตัวเองอย่างผู้แพ้ “คุณหนู มิใช่ว่าเป็นเพราะข้านึกถึงร่างกายคุณหนูหรือเจ้าคะ?”
“รู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้า แต่ข้าก็ไม่อาจอยู่ในห้องจนไม่ได้เห็นท้องฟ้าเห็นตะวันไปได้ตลอดมิใช่หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม สายตามองไปทางเจี้ยงเซียง
“กิจการโรงหมอเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรียนคุณหนู กิจการเป็นไปได้ด้วยดีอย่างยิ่งเจ้าค่ะ แม้จะมีคนไข้มากมายที่ยังอยากมารอให้คุณหนูตรวจอาการด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากไม่กี่วันก่อนที่คุณหนูอดหลับอดนอนสอนวิชาแพทย์พวกเรา ข้ากับซางจือก็สามารถจัดการตามลำพังได้แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูไม่จำเป็นต้องกังวลเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
นางมิได้กังวล นางเพียงรู้สึกเสียดายที่ในฐานะหมอกลับไม่อาจทำหน้าที่หมอได้ นี่นับเป็นเรื่องที่โหดร้ายจนทนไม่ไหวสำหรับนาง แต่นางเข้าใจสภาพร่างกายของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หมดสติไปได้ทุกเมื่อ นางจึงไม่อาจทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยได้
เพราะนางมีชื่อเสียงตราบใดที่นางปรากฏตัวก็เป็นไปไม่ได้ที่งานจะไม่ยุ่ง หากยามที่ตรวจอาการเหล่าชาวบ้านนางเกิดหมดสติไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนแม้แต่น้อย นี่ล้วนไม่เป็นผลดีทั้งต่อนางและซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ช่วงนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ยามที่มีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ไปหาข้าที่ตำหนักได้ทุกเมื่อ เอาเช่นนี้เถอะ หากว่ายุ่งเกินไปจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ก็ไปหานายหน้าแล้วซื้อตัวผู้ที่รู้วิชาแพทย์มาสักสองคนเสีย” หลิงมู่เอ๋อร์ทิ้งตั๋วเงินสองใบไว้
“คุณหนูมิใช่ว่ารับศิษย์ใหม่มาแล้วหรือเจ้าคะ ยังต้องซื้อสาวใช้อันใดเล่าเจ้าคะ” ซางจือจงใจหยอกล้อ
หลิงมู่เอ๋อร์เขกศีรษะของนาง “สาวน้อยผู้นี้ ช่างมีความกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ ยามนี้แม้แต่ข้าก็กล้ามาล้อเล่นด้วยแล้วหรือ?”
ซางจือแลบลิ้นอย่างซุกซนกำลังคิดจะตอบกลับ แต่ทางด้านนอกก็มีคนไข้สองคนซึ่งดูจะอาการสาหัสเป็นอย่างยิ่ง มองดูแล้วเหมือนจะได้รับบาดแผลจากคมดาบ
“ท่านหมอ ท่านหมอรีบมาดูอาการให้พวกเราทีขอรับ พวกเราสองพี่น้องแขนขาดแล้วหรือขอรับ?”
ชายหนุ่มสองคนแยกกันมานั่งหน้าแท่นตรวจของซางจือและเจี้ยงเซียง
เห็นร่างกายทั้งสองคนเต็มไปด้วยเลือดทั้งยังหน้าซีด แต่ละคนกอดแขนข้างหนึ่งที่เกือบขาดเข้ามา ภาพนี้ทำให้ทั้งสองคนตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งสองคนก็เคยพบเจอกับสถานการณ์ใหญ่โตมาแล้ว หลังตกใจอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบเข้าไปตรวจชีพจรและดูบาดแผลของพวกเรา
“บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดพวกท่านจึงไม่ระวังถึงเพียงนี้เล่า?”
เจี้ยงเซียงพูดพลางไปเตรียมเข็ม ด้าย รวมถึงยาชา “บาดแผลยาวและลึกเกินไปจำต้องเย็บแผล พวกท่านโปรดอดทนสักครู่”
ทั้งสองคนดูเหมือนเป็นคนของยุทธภพ บาดแผลแม้จะดูเจ็บปวดแต่กลับมิได้มีท่าทีกังวลแต่อย่างใด “ขอเพียงสามารถรักษาแขนเอาไว้ได้ ท่านหมอคิดจะรักษาอย่างไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ส่วนบาดแผลนี้หากมิใช่ว่าพวกเราประมาท ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่ต้องได้รับความทรมานเช่นนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์ยืนดูอยู่ด้านข้าง แม้จะไม่ได้เดินเข้าไปใกล้นักแต่นางก็ยืนยันได้ว่าบาดแผลนั้นล้วนเกิดจากการถูกดาบแหลมคมฟัน
ทว่าช่วงนี้ไม่ได้ยินข่าวลือว่าในเมืองหลวงเกิดการต่อสู้ใหญ่โตอันใดเลย
“พี่ชายทั้งสองท่านเดินทางในยุทธภพต้องระวังเสียหน่อย วันนี้พวกท่านโชคดีที่โรงหมอของพวกเราไม่มีคน ไม่เช่นนั้นพวกท่านที่บาดเจ็บเช่นนี้คงต้องรอไปสักครู่หนึ่ง จนเกรงว่าคงไม่อาจรักษาแขนไว้ได้แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ถามหยั่งเชิง “แต่บาดแผลสาหัสเช่นนี้เหตุใดจึงเพิ่งมาที่โรงหมอเล่า?”
ทั้งสองคนไม่รู้จักหลิงมู่เอ๋อร์ แต่เห็นนางพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมก็ไม่กล้าปิดบัง “หากมิใช่เพราะองค์ชายรองของแคว้นซีอวี้ผู้นั้น ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บแต่ยังให้พวกข้าสองพี่น้องรอเสียหน่อย จนกระทั่งบาดแผลของเขาถูกรักษาเรียบร้อยแล้วจึงเพิ่งให้พวกเราออกมารักษาได้ ทำให้พวกเราสองพี่น้องโกรธอยู่เหมือนกัน”
อามู่เต๋อ?
ทั่วทั้งร่างของหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน เดินเข้าไปใกล้พวกเขาสองคนอย่างไม่รู้ตัว “องค์ชายรองแคว้นซีอวี้หรือ? มิใช่ได้ข่าวว่าเขาพักอยู่ในจุดพักชั่วคราวหรือที่พักขุนนางหรือ แม้จะถูกลอบสังหารแต่เหตุใดคนในยุทธภพอย่างพวกท่านจึงถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วยเล่า?”
ชายผู้นั้นได้ยินก็มองพิจารณาหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นลงคราหนึ่ง หากเป็นปกติเขาย่อมไม่เปิดปากพูดอีก แต่เพราะความโกรธที่มีต่ออามู่เต๋อจึงไม่อยากทิ้งชื่อเสียงอันดีอันใดไว้ให้เขา
“โธ่ มิใช่ว่าปกติอามู่เต๋อผู้นั้นทำให้คนขุ่นเคืองมากเกินไปจนกลัวตายหรือ ตั้งแต่เขามาที่เมืองหลวงวันแรกก็จ้างพวกเราพี่น้องให้แอบปกป้องเขา เดิมทีพวกเราคิดว่าเขาเป็นองค์ชายย่อมมีเหล่าองครักษ์คอยปกป้อง งานนี้น่าจะเป็นงานที่ได้รับเงินง่ายๆ จึงตอบรับ คาดไม่ถึงว่าเมื่อคืนจะถูกลอบสังหารจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งจนเกือบจะปลิดชีพของเขาได้แล้ว!”
ได้ยินข่าวว่าอามู่เต๋อเกือบตาย หลิงมู่เอ๋อร์ก็สูดหายใจเข้าโดยพลัน
นางหวังให้อามู่เต๋อตายตกไปอยู่ตลอดแต่มิใช่ในยามนี้
หากเขาตาย นางจะยังเอาดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้มาได้อย่างไร?
“องค์ชายแคว้นซีอวี้มาเมืองหลวงก็นับเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเมืองหลวง เป็นผู้ใดกันที่กล้ามาลงมือลอบสังหารเขา?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถามออกไปก็เห็นว่าสองพี่น้องมีสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก นางจึงกล่าวเสริมโดยพลัน “แต่มีข่าวลือว่าคนผู้นั้นอัปลักษณ์เป็นอย่างมากอีกทั้งนิสัยยังผิดปกติ การกระทำของเขายังโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งในวันปกติยังทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองอีกด้วย จะมีศัตรูมาหาถึงหน้าประตูก็นับว่าเป็นการสั่งสอนที่ดีแล้ว เห็นใจก็แต่พวกท่านที่ทำหน้าที่คุ้มกัน”
ได้ยินคำพูดที่น่าพอใจนี้ น้องชายอีกผู้หนึ่งก็ยิ่งกล่าวอย่างโกรธแค้นและเกลียดชัง “ถูกต้อง หากมิใช่ว่าเมื่อคืนพวกเราสองพี่น้องฉลาดเฉลียว วันนี้ของปีหน้าคงได้เป็นวันไว้อาลัยของพวกเราไปแล้ว แต่อามู่เต๋อผู้นั้นก็หาได้ดีไปกว่ากันนัก แม้จะยังห่างไกลจากความตาย แต่บทเรียนในครานี้ก็คงพอทำให้เขาต้องอดทนไปอีกสักพักทีเดียว!”“เห็นสีหน้าของพวกเจ้าสองคนดีขึ้นมาก ดูท่ายาลูกกลอนบำรุงร่างกายของข้าจะให้ผลดีทีเดียว แต่ยังมีตรงส่วนใดที่รู้สึกไม่สบายอยู่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถามในขณะที่เดินเข้าไปในห้องรับแขกด้วยรอยยิ้ม
เพื่อให้สะดวกในการรักษาสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิง ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงสั่งให้เคลื่อนย้ายสิ่งของในห้องรับแขกเป็นพิเศษ โดยวางเตียงไว้สองเตียงทางด้านซ้ายขวา และตรงกลางเหลือทางเดินสายหนึ่งไว้
หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน ซ่งอี้เฉิงก็พยายามจะลุกขึ้น “ท่านอาจารย์…”
“อย่าขยับ” ส่งสายตาให้เขาเพื่อสื่อให้เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หลิงมู่เอ๋อร์ใช้มือตรวจชีพจรให้เขาอย่างช่ำชอง “อืม ช่วงนี้ดูแลไปแบบไม่เสียเปล่า พิษในร่างกายถูกกำจัดออกไปหมดแล้วแม้แต่ร่างกายก็ล้วนบำรุงจนแข็งแรงขึ้นไม่น้อย กล้าบอกได้ว่าอย่างน้อยภายในสามถึงห้าปีนี้เจ้าจะไม่เป็นแม้แต่ไข้หวัด”
ได้ยินเช่นนี้ซ่งอี้เฉิงก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้เขาจะเป็นหมอแต่เขาจะกล้ารับรองได้อย่างไรว่าตนเองจะไม่ป่วย? ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์ใส่ใจพวกเขาจริงๆ
“ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์พ่ะย่ะค่ะ”
“ฉี่กวงขอขอบพระทัยเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเป็นอย่างยิ่งที่ทรงใส่ใจกันเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์โบกมือ “ล้วนบอกไปแล้วว่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ อย่างที่บอกว่าพวกเจ้าสองคนได้รับบาดเจ็บเพราะพวกข้า การดูแลพวกเจ้าก็นับว่าสมควรแล้ว เคยชินกับการอยู่ที่ตำหนักแล้วหรือไม่?”
ได้ยินคำพูดนี้สงฉี่กวงก็ลูบหลังศีรษะอย่างกระดากอาย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มละอายใจ “แหะๆ ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบังพ่ะย่ะค่ะเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง ฉี่กวงอยู่ที่นี่…จนอ้วนพีเช่นนี้ ยามที่กลับไปเมืองผิงเฉิงเหล่าพ่อค้าเห็นเข้าคงพากันอิจฉากระหม่อมเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกขัน “ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าที่มีใบหน้าซื่อตรงจะรู้จักพูดเล่นเช่นนี้”
“ทั้งหมดที่ฉี่กวงพูดล้วนเป็นความจริงนะพ่ะย่ะค่ะ!” สงฉี่กวงไม่ยอมรับว่าเขาจงใจประจบสอพลอ “หากลองถามผู้ใดจะเชื่อว่ากระหม่อมมาที่เมืองหลวงครานี้จะได้มาพักที่ตำหนักองค์ชายรอง ทั้งยังถูกต้อนรับในฐานะแขก หลังจากกลับไปกระหม่อมย่อมเอาไปโอ้อวดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“คำพูดนี้ของสงฉี่กวงเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ พวกเราที่เป็นเพียงสามัญชนอย่าว่าแต่มาพักที่ตำหนักองค์ชายเลยพ่ะย่ะค่ะ ปกติการได้พบองค์ชายก็นับเป็นเรื่องที่เสริมสร้างวาสนาให้บรรพบุรุษแล้ว ต้องขอคารวะท่านอย่างสุดซึ้ง กระหม่อมได้มีวาสนากลายเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ นั่นก็นับเป็นเรื่องที่เพิ่มชื่อเสียงให้แก่บรรพชนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขันความช่างพูดของทั้งสองคน หลังจากตรวจชีพจรและจัดยาให้พวกเขาใหม่อีกครั้ง เมื่อยืนยันว่าร่างกายของพวกเขาเกือบจะหายดีแล้วจึงเพิ่งวางใจ
“แม้จะบอกว่าเมื่อวานในตำหนักมีมือสังหาร แต่ที่นี่ก็มีองครักษ์หลวงคอยเฝ้าอยู่จึงปลอดภัยเป็นอย่างมาก พวกเจ้าสองคนแม้จะบาดเจ็บแต่ก็ไม่อาจอยู่ในห้องตลอดเวลาได้ จะออกไปเดินเล่นในสวนก็ย่อมได้ หลังกลับมาข้าจะให้พ่อบ้านพาพวกเจ้าไปเดินดูรอบๆ”
กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ลุกขึ้น “หากต้องการสิ่งใดก็อย่าได้เกรงใจ คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านตัวเอง เห็นพวกเจ้าเกือบหายดีแล้วข้าก็เบาใจ เช่นนั้นไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์จะไปส่งท่านเองพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งอี้เฉิงรีบลงจากเตียง “ท่านอาจารย์ ได้ยินว่าร่างกายท่านผิดปกติ เกิดอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ต้องการให้ศิษย์ช่วยหรือไม่?”
สงฉี่กวงเดิมคิดจะออกมาส่งนาง แต่เขาเห็นว่าหลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน บางทีนางอาจต้องการพูดคุยอันใดกับซ่งอี้เฉิงตามลำพัง เขาที่เข้าใจสถานการณ์จึงนอนลงบนเตียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอันใด
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาซาบซึ้ง พยักหน้าให้ซ่งอี้เฉิงและพาเขาไปที่สะพานโค้งในสวน
“ซ่งอี้เฉิง ในเมื่อเจ้าถามขึ้นมา ข้าก็มีคำถามที่อยากถามเจ้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่?”
“ท่านอาจารย์เชิญกล่าวมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งอี้เฉิงดีใจในคำถามของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง นี่หมายความว่านางนับว่าเขาเป็นคนของตนแล้ว
“เคยได้ยินเรื่องดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้หรือไม่?”
ซ่งอี้เฉิงชะงักไปเห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคำถามนี้
เขาในฐานะคนของแคว้นเทียนเฉาย่อมไม่รู้เรื่องของแคว้นซีอวี้มากนัก แต่บังเอิญว่าตระกูลซ่งของเขาซึ่งเป็นหมอมาหลายรุ่น ตราบใดที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการแพทย์ก็ล้วนรู้อยู่บ้าง
“เคยได้ยินมาบ้างพ่ะย่ะค่ะ มีข่าวลือว่าดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้เป็นดอกไม้ที่เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง นับว่าเป็นดอกไม้ที่หาได้ยากซึ่งผลของดอกไม้ชนิดนั้นสามารถนำมาทำเป็นยาได้ อีกทั้งยังได้ยินว่ามีฤทธิ์ในการบำรุงร่างกายเป็นอย่างยิ่ง” ซ่งอี้เฉิงยิ้มอย่างลำบากใจ “ศิษย์ไร้ความสามารถจึงรู้เพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
“สมกับที่เป็นตระกูลแพทย์ที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น รู้เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
ดูท่าอามู่เต๋อจะมิได้หลอกนาง
ในโลกนี้มีดอกไม้ชนิดนี้ที่เป็นดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้อยู่จริง หาใช่ว่าเขาปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงถามคำถามนี้ขึ้นมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ซ่งอี้เฉิงสงสัย
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาอย่างพิจารณา มิใช่ว่าระแวดระวังเขาเพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นสถานการณ์ที่ร่างกายมีความพิเศษ นางจริงใจกับซางจือเพราะนับว่าซางจือเหมือนเป็นน้องสาว ทว่าซ่งอี้เฉิงถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษ
“บังเอิญเห็นในตำรา คาดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีดอกไม้ที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วยจึงถามด้วยความสงสัย”
ซ่งอี้เฉิงไม่สงสัยในคำพูดของอาจารย์ “เช่นนั้นท่านอาจารย์ยังมิได้ตอบคำถามของศิษย์เลยพ่ะย่ะค่ะ ร่างกายของท่านอาจารย์เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ เช่นนั้นด้วยความสามารถของอาจารย์เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มก่อนจะเดินออกจากสะพานโค้ง
ยามที่มาถึงโรงหมอ ซางจือและเจี้ยงเซียงก็ล้วนตกใจเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนูมาได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ซางจือรีบเข้าไปยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง ทั้งยังมองไปข้างหลังนาง “เหยียไม่มาด้วยหรือเจ้าคะ?”
“รออยู่ที่ตำหนักจนรู้สึกเบื่อ หากยังไม่ออกมา ข้ารอจนผมขาวเขาก็คงยังไม่รู้ว่าข้าออกมา”
หลิงมู่เอ๋อร์ทำท่าทางปิดปากแสดงท่าทีให้พวกนางสองคนอย่าได้เอ็ดไป
วันนี้ยามที่นางออกมาได้บอกว่าจะไปเยี่ยมสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิง ซึ่งซั่งกวนเซ่าเฉินก็หาได้สนใจอีก ยิ่งไปกว่านั้นยามที่นางออกมาข้างนอก หนานกงอี้จือก็เร่งรุดเข้ามาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางจึงไม่อาจทนเข้าไปรบกวนได้
“สวรรค์ องค์ชายรองไม่รู้ว่าท่านออกมาหรือเจ้าคะ? เช่นนั้นคุณหนูรีบกลับไปเถิดเจ้าค่ะ หากองค์ชายรองพบว่าท่านไม่รออยู่ในตำหนักอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังมาที่โรงหมอจะไม่มารื้อที่นี่เอาหรือเจ้าคะ” ซางจือรู้สึกกลัวอยู่บ้างจึงดันนางออกไปข้างนอก
“ตกลงข้าเป็นคุณหนูของเจ้า หรือเขาเป็นเจ้านายของเจ้ากันแน่?” หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งทำเป็นไม่สบายใจ นั่งลงไปบนเก้าอี้อย่างมั่นคงราวกับเขาไท่ซาน ไม่ว่าจะดันนางอย่างไรก็ไม่ขยับ
“อย่าเสียแรงเปล่าเลย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าคุณหนูของเจ้ามีเรี่ยวแรงมหาศาลราวกับวัว?”
ใบหน้าของซางจือเต็มไปด้วยเส้นขีดสีดำ เบ้ปากอย่างห่อเหี่ยวอย่างยอมแพ้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงกลับไปนั่งที่ของตัวเองอย่างผู้แพ้ “คุณหนู มิใช่ว่าเป็นเพราะข้านึกถึงร่างกายคุณหนูหรือเจ้าคะ?”
“รู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้า แต่ข้าก็ไม่อาจอยู่ในห้องจนไม่ได้เห็นท้องฟ้าเห็นตะวันไปได้ตลอดมิใช่หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม สายตามองไปทางเจี้ยงเซียง
“กิจการโรงหมอเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรียนคุณหนู กิจการเป็นไปได้ด้วยดีอย่างยิ่งเจ้าค่ะ แม้จะมีคนไข้มากมายที่ยังอยากมารอให้คุณหนูตรวจอาการด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากไม่กี่วันก่อนที่คุณหนูอดหลับอดนอนสอนวิชาแพทย์พวกเรา ข้ากับซางจือก็สามารถจัดการตามลำพังได้แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูไม่จำเป็นต้องกังวลเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
นางมิได้กังวล นางเพียงรู้สึกเสียดายที่ในฐานะหมอกลับไม่อาจทำหน้าที่หมอได้ นี่นับเป็นเรื่องที่โหดร้ายจนทนไม่ไหวสำหรับนาง แต่นางเข้าใจสภาพร่างกายของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หมดสติไปได้ทุกเมื่อ นางจึงไม่อาจทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยได้
เพราะนางมีชื่อเสียงตราบใดที่นางปรากฏตัวก็เป็นไปไม่ได้ที่งานจะไม่ยุ่ง หากยามที่ตรวจอาการเหล่าชาวบ้านนางเกิดหมดสติไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนแม้แต่น้อย นี่ล้วนไม่เป็นผลดีทั้งต่อนางและซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ช่วงนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ยามที่มีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ไปหาข้าที่ตำหนักได้ทุกเมื่อ เอาเช่นนี้เถอะ หากว่ายุ่งเกินไปจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ก็ไปหานายหน้าแล้วซื้อตัวผู้ที่รู้วิชาแพทย์มาสักสองคนเสีย” หลิงมู่เอ๋อร์ทิ้งตั๋วเงินสองใบไว้
“คุณหนูมิใช่ว่ารับศิษย์ใหม่มาแล้วหรือเจ้าคะ ยังต้องซื้อสาวใช้อันใดเล่าเจ้าคะ” ซางจือจงใจหยอกล้อ
หลิงมู่เอ๋อร์เขกศีรษะของนาง “สาวน้อยผู้นี้ ช่างมีความกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ ยามนี้แม้แต่ข้าก็กล้ามาล้อเล่นด้วยแล้วหรือ?”
ซางจือแลบลิ้นอย่างซุกซนกำลังคิดจะตอบกลับ แต่ทางด้านนอกก็มีคนไข้สองคนซึ่งดูจะอาการสาหัสเป็นอย่างยิ่ง มองดูแล้วเหมือนจะได้รับบาดแผลจากคมดาบ
“ท่านหมอ ท่านหมอรีบมาดูอาการให้พวกเราทีขอรับ พวกเราสองพี่น้องแขนขาดแล้วหรือขอรับ?”
ชายหนุ่มสองคนแยกกันมานั่งหน้าแท่นตรวจของซางจือและเจี้ยงเซียง
เห็นร่างกายทั้งสองคนเต็มไปด้วยเลือดทั้งยังหน้าซีด แต่ละคนกอดแขนข้างหนึ่งที่เกือบขาดเข้ามา ภาพนี้ทำให้ทั้งสองคนตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งสองคนก็เคยพบเจอกับสถานการณ์ใหญ่โตมาแล้ว หลังตกใจอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบเข้าไปตรวจชีพจรและดูบาดแผลของพวกเรา
“บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดพวกท่านจึงไม่ระวังถึงเพียงนี้เล่า?”
เจี้ยงเซียงพูดพลางไปเตรียมเข็ม ด้าย รวมถึงยาชา “บาดแผลยาวและลึกเกินไปจำต้องเย็บแผล พวกท่านโปรดอดทนสักครู่”
ทั้งสองคนดูเหมือนเป็นคนของยุทธภพ บาดแผลแม้จะดูเจ็บปวดแต่กลับมิได้มีท่าทีกังวลแต่อย่างใด “ขอเพียงสามารถรักษาแขนเอาไว้ได้ ท่านหมอคิดจะรักษาอย่างไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ส่วนบาดแผลนี้หากมิใช่ว่าพวกเราประมาท ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่ต้องได้รับความทรมานเช่นนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์ยืนดูอยู่ด้านข้าง แม้จะไม่ได้เดินเข้าไปใกล้นักแต่นางก็ยืนยันได้ว่าบาดแผลนั้นล้วนเกิดจากการถูกดาบแหลมคมฟัน
ทว่าช่วงนี้ไม่ได้ยินข่าวลือว่าในเมืองหลวงเกิดการต่อสู้ใหญ่โตอันใดเลย
“พี่ชายทั้งสองท่านเดินทางในยุทธภพต้องระวังเสียหน่อย วันนี้พวกท่านโชคดีที่โรงหมอของพวกเราไม่มีคน ไม่เช่นนั้นพวกท่านที่บาดเจ็บเช่นนี้คงต้องรอไปสักครู่หนึ่ง จนเกรงว่าคงไม่อาจรักษาแขนไว้ได้แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ถามหยั่งเชิง “แต่บาดแผลสาหัสเช่นนี้เหตุใดจึงเพิ่งมาที่โรงหมอเล่า?”
ทั้งสองคนไม่รู้จักหลิงมู่เอ๋อร์ แต่เห็นนางพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมก็ไม่กล้าปิดบัง “หากมิใช่เพราะองค์ชายรองของแคว้นซีอวี้ผู้นั้น ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บแต่ยังให้พวกข้าสองพี่น้องรอเสียหน่อย จนกระทั่งบาดแผลของเขาถูกรักษาเรียบร้อยแล้วจึงเพิ่งให้พวกเราออกมารักษาได้ ทำให้พวกเราสองพี่น้องโกรธอยู่เหมือนกัน”
อามู่เต๋อ?
ทั่วทั้งร่างของหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน เดินเข้าไปใกล้พวกเขาสองคนอย่างไม่รู้ตัว “องค์ชายรองแคว้นซีอวี้หรือ? มิใช่ได้ข่าวว่าเขาพักอยู่ในจุดพักชั่วคราวหรือที่พักขุนนางหรือ แม้จะถูกลอบสังหารแต่เหตุใดคนในยุทธภพอย่างพวกท่านจึงถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วยเล่า?”
ชายผู้นั้นได้ยินก็มองพิจารณาหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นลงคราหนึ่ง หากเป็นปกติเขาย่อมไม่เปิดปากพูดอีก แต่เพราะความโกรธที่มีต่ออามู่เต๋อจึงไม่อยากทิ้งชื่อเสียงอันดีอันใดไว้ให้เขา
“โธ่ มิใช่ว่าปกติอามู่เต๋อผู้นั้นทำให้คนขุ่นเคืองมากเกินไปจนกลัวตายหรือ ตั้งแต่เขามาที่เมืองหลวงวันแรกก็จ้างพวกเราพี่น้องให้แอบปกป้องเขา เดิมทีพวกเราคิดว่าเขาเป็นองค์ชายย่อมมีเหล่าองครักษ์คอยปกป้อง งานนี้น่าจะเป็นงานที่ได้รับเงินง่ายๆ จึงตอบรับ คาดไม่ถึงว่าเมื่อคืนจะถูกลอบสังหารจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งจนเกือบจะปลิดชีพของเขาได้แล้ว!”
ได้ยินข่าวว่าอามู่เต๋อเกือบตาย หลิงมู่เอ๋อร์ก็สูดหายใจเข้าโดยพลัน
นางหวังให้อามู่เต๋อตายตกไปอยู่ตลอดแต่มิใช่ในยามนี้
หากเขาตาย นางจะยังเอาดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้มาได้อย่างไร?
“องค์ชายแคว้นซีอวี้มาเมืองหลวงก็นับเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเมืองหลวง เป็นผู้ใดกันที่กล้ามาลงมือลอบสังหารเขา?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถามออกไปก็เห็นว่าสองพี่น้องมีสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก นางจึงกล่าวเสริมโดยพลัน “แต่มีข่าวลือว่าคนผู้นั้นอัปลักษณ์เป็นอย่างมากอีกทั้งนิสัยยังผิดปกติ การกระทำของเขายังโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งในวันปกติยังทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองอีกด้วย จะมีศัตรูมาหาถึงหน้าประตูก็นับว่าเป็นการสั่งสอนที่ดีแล้ว เห็นใจก็แต่พวกท่านที่ทำหน้าที่คุ้มกัน”
ได้ยินคำพูดที่น่าพอใจนี้ น้องชายอีกผู้หนึ่งก็ยิ่งกล่าวอย่างโกรธแค้นและเกลียดชัง “ถูกต้อง หากมิใช่ว่าเมื่อคืนพวกเราสองพี่น้องฉลาดเฉลียว วันนี้ของปีหน้าคงได้เป็นวันไว้อาลัยของพวกเราไปแล้ว แต่อามู่เต๋อผู้นั้นก็หาได้ดีไปกว่ากันนัก แม้จะยังห่างไกลจากความตาย แต่บทเรียนในครานี้ก็คงพอทำให้เขาต้องอดทนไปอีกสักพักทีเดียว!”
MANGA DISCUSSION