เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 449 การโต้เถียงที่ยืดเยื้อ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 449 การโต้เถียงที่ยืดเยื้อ
เล่มที่ 15 ตอนที่ 449 การโต้เถียงที่ยืดเยื้อ
อามู่เต๋อยิ้มบาง “องค์ชายหกอดทนมาหลายปี มิใช่ว่าต้องการให้แผ่นดินของแคว้นมาอยู่แทบเท้าหรือ และซั่งกวนเซ่าเฉินก็เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าขอเพียงเอาตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไปถึงแคว้นซีอวี้ของข้าได้ ต่อให้เขามีอำนาจพอจะปิดผืนฟ้าด้วยมือเดียว ก็มิใช่ว่ายังต้องถูกท่านแย่งชิงทุกสิ่งไปหรือ?”
เห็นในดวงตาของฉินรั่วเฉินมีความพึงพอใจแขวนอยู่ อามู่เต๋อก็หยักหน้า “ตราบใดที่องค์ชายหกช่วยให้ข้าได้ตัวหลิงมู่เอ๋อร์มา แคว้นซีอวี้ก็จะช่วยเหลือให้ท่านได้แคว้นเทียนเฉาไปครองแน่นอน!”
“ดี!”
ฉินรั่วเฉินพลิกฝ่ามือลงก่อนจะออกแรงตีไปบนโต๊ะ และกล่าวตัดสินใจครั้งสุดท้าย “องค์ชายอามู่ช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาเสียจริง เช่นนั้นก็ขออวยพรให้การร่วมมือกันของพวกเราเป็นไปด้วยดี!”
สิ้นคำพูดนี้ ในมือของเขาก็รวบแก้วเหล้าทั้งสองแก้วขึ้นมาถือ แก้วหนึ่งส่งให้สหายที่ร่วมมือกัน อีกแก้วเก็บไว้ให้ตัวเอง
“เหยีย ท่านมหาเสนาบดีหลันมาขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
บ่าวรับใช้เดินมารายงานอย่างระมัดระวัง คิดจะพูดอันใดแต่ก็ยั้งไว้เพราะเห็นว่าอามู่เต๋อยังอยู่
ฉินรั่วเฉินมองคนด้านข้างก่อนที่มุมปากจะยกขึ้น “ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น พูดมาเถอะไม่เป็นอันใด”
“มหาเสนาบดีหลันบอกว่ามาด้วยเรื่องของเสียนหวางพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นยังมัวงงอันใด ยังไม่รีบไปเชิญเข้ามาอีก”
ฉินรั่วเฉินนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ ยามที่มหาเสนาบดีหลันเข้ามาก็เห็นเขากับอามู่เต๋อยืนอยู่ทางด้านซ้ายและขวา ราวกับเห็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองกำลังมองลงมาอย่างดูแคลน
เทียบกับพวกเขาแล้ว แม้เขาจะเป็นเพียงมหาเสนาบดี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมหาเสนาบดีจึงไม่อาจยอมแพ้ต่อบรรยากาศเช่นนี้ได้ “ที่แท้องค์ชายหกก็มีแขกผู้ทรงเกียรติอยู่ด้วย ไม่ทราบว่ากระหม่อมมารบกวนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินรั่วเฉินชะงักไป คาดไม่ถึงว่าชายเฒ่าผู้นี้เพิ่งสูญเสียลูกสาวไปกลับกลายเป็นหยิ่งผยองมากขึ้นเพราะสูญเสียลูกสาว เอาเถิด เห็นแก่ที่เขาเพิ่งเป็นคนผมขาวยืนส่งคนผมดำย่อมไม่ควรถือสาเขา
“องค์ชายรองแคว้นซีอวี้ อามู่เต๋อ เชื่อว่ามหาเสนาบดีหลันก็ย่อมคุ้นหน้าอยู่บ้าง” ฉินรั่วเฉินชี้ไปข้างกาย “ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง มหาเสนาบดีหลันมีเรื่องสำคัญอันใดจึงมาดึกดื่นเช่นนี้ พูดมาเถอะ”
มหาเสนาบดีหลันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์ชายหกจะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ด้วย หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปเขาย่อมต้องได้รับผิดโทษฐานขายชาติเป็นแน่
แต่ยามนี้พวกเขาเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว หากเอาเรื่องของเขาไปแจ้งมิใช่ว่านับเป็นการเอาตัวเองไปส่งเข้ากองไฟด้วยหรือ?
“องค์ชายหกมีความสามารถเทียมฟ้า แม้แต่กับแคว้นซีอวี้ก็ยังยืนอยู่ข้างท่าน กระหม่อมเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” เขานั่งลงขณะที่กล่าวชื่นชม
บนโลกนี้จะมีผู้ใดไม่ชอบคำประจบสอพลอ คนรู้จักพูดย่อมทำให้คนหัวเราะได้ เหตุใดจะต้องปิดบังให้คนรู้สึกขุ่นเคืองด้วย?
“ใต้เท้าเช่นท่านรู้จักเลียนแบบการกระทำของพวกบ่าวรับใช้ตั้งแต่เมื่อใด พูดมาเถอะว่าคืนนี้มาหาเปิ่นหวางจื่อด้วยเรื่องอันใด? หรือทางฝั่งของเสด็จพี่รองมีการเคลื่อนไหวอันใด?” สายตาของฉินรั่วเฉินกลายเป็นความตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน
แม้คนของเขาจะแฝงตัวเข้าไปในตำหนักองค์ชายรองนานแล้ว แต่เมื่อครู่บ่าวเพิ่งมาส่งข่าวว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเพิ่งจะเปลี่ยนคนในตำหนักองค์ชายรองไปครั้งใหญ่ คนของเขาทั้งหมดถูกส่งไปที่ค่ายทหาร ดูท่าหลังจากนี้ต้องหาโอกาสแอบแทรกซึมเข้าไปอีกครา ไม่เช่นนั้นหากไม่มีข้อมูลอันใด และเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้ย่อมทำให้การใหญ่ของเขาไม่ราบรื่น
“ก็หาใช่เรื่องสำคัญอันใดพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่องค์ชายหกทรงกล่าวว่าหากต้องการจัดการซั่งกวนเซ่าเฉิน จำเป็นต้องจัดการเสียนหวางที่เป็นปัญหาเสียก่อน กระหม่อมจึงอยากมาสอบถามว่า องค์ชายหกคิดจะลงมือเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ!”
ในสายตาของเขา มหาเสนาบดีที่ผ่าเผยก็เทียบเท่ากับพวกบ่าว ในใจหลันซือเฮ่อมีโทสะซึ่งความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดก็นับว่าอยู่บนศีรษะของซูเช่อแล้ว
“ยังอยู่ในช่วงวางแผน เหตุใดมหาเสนาบดีหลันจึงรีบร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า?”
ฉินรั่วเฉินถามอย่างสงสัย แต่หลังสิ้นคำพูดนี้เขาก็ตระหนักบางสิ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “เปิ่นหวางจื่อเข้าใจแล้ว มิใช่ว่าข้าอยากโรยเกลือบนบาดแผลของมหาเสนาบดีหลัน แต่ทั้งหมดเป็นเพราะทำเพื่อลูกสาวของท่านใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงที่เขาพูดมีความโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่งราวกับเขาเสียใจเช่นเดียวกับอีกฝ่าย
เมื่อยกเรื่องลูกสาวขึ้นมา สีหน้าของหลันซือเฮ่อก็แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาที่เดิมทีนิ่งสงบก็ขมวดคิ้ว และมุมปากกระตุก “เชี่ยนหยิ่งตายอย่างไม่เป็นธรรม ตายอย่างน่าเวทนา กระหม่อมในฐานะบิดาย่อมต้องล้างแค้นให้นางพ่ะย่ะค่ะ! ตำหนักไท่จื่อ ตำหนักองค์ชายรอง เสียนหวาง กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหนีไปได้แม้แต่ผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ!”
กล่าวจบมหาเสนาบดีหลันก็คุกเข่าลงตรงหน้าฉินรั่วเฉินโดยพลัน “กระหม่อมขอวิงวอนให้องค์ชายหกโปรดรีบลงมือโดยเร็วด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินรั่วเฉินคาดไม่ถึงว่าเขาจะให้ความเคารพอย่างมากล้นเช่นนี้กับตัวเอง จึงรีบใช้มือทั้งสองข้างพยุงเขาให้ลุกขึ้น “มหาเสนาบดีหลันทำอันใด เจ้าลุกขึ้นก่อน”
“หากยามนั้นเสียนหวางไม่ไร้เมตตา ทั้งยังรังแกเชี่ยนหยิ่ง เชี่ยนหยิ่งก็คงไม่ต้องมีจุดจบเช่นวันนี้ถึงขั้นต้องมาตายย่างน่าเวทนาที่อารามชี! องค์ชายหก ช่างน่าเวทนาที่กระหม่อมอายุหกสิบแล้วแต่ยังต้องมาสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักไป ความแค้นนี้กระหม่อมจำต้องชำระให้ได้พ่ะย่ะค่ะ! แน่นอนว่าหากองค์ชายหกยังคิดหาโอกาสและวิธีการที่เหมาะสมไม่ได้ คนชั่วผู้นั้นก็ให้กระหม่อมจัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เพราะเหตุนั้นวันนี้มหาเสนาบดีหลันจึงมาเยี่ยมเขา เพราะอีกฝ่ายต้องการลงมือกับซูเช่อหรือ?
นั่นจะไม่เป็นการทำลายแผนการของเขาหรือ?
หากเป็นในยามปกติฉินรั่วเฉินต้องโกรธเขาเป็นแน่ แต่วันนี้มหาเสนาบดีหลันเต็มไปด้วยไอสังหารราวกับตัดสินใจแน่วแน่ที่จะตายแล้ว เกรงว่าหากยามนี้เขาปฏิเสธก็มีแต่จะทำให้เรื่องยิ่งเลวร้ายมากขึ้น
“เสนาบดีหลันโปรดระงับโทสะก่อน เปิ่นหวางจื่อรู้ว่าการที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเจ้า แต่เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าการตายของนางไม่เกี่ยวข้องกับเสียนหวางเลยเล่า?” ฉินรั่วเฉินเห็นสีหน้าของหลันซือเฮ่อแปรเปลี่ยนไปโดยพลันก็รีบกล่าวเสริม “แน่นอนว่าตั้งแต่แรกหากเสียนหวางมิได้ปฏิเสธลูกสาวของเจ้าต่อหน้าเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนัก ก็คงไม่ทำให้นางตบแต่งเข้าตำหนักไท่จื่อ เสียนหวางย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความเกี่ยวข้องไปได้ แต่การจัดการซูเช่อหาใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ยังต้องค่อยๆ ปรึกษาหารือกันให้ดี”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรอต่อไปไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาทั้งสองข้างของหลันซือเฮ่อแดงก่ำ ราวกับหากซูเช่ออยู่ตรงหน้าต่อให้ต้องตายตกไปด้วยกันก็จะจัดการให้ได้
“ซูเช่อช่วยเหลือซั่งกวนเซ่าเฉินมาหลายครั้งหลายครา ทั้งยังช่วยเหลือหลิงมู่เอ๋อร์ มิใช่ว่าองค์ชายหกต้องการฆ่าเขาก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมได้ยินมาว่าเสียนหวางรวบรวมข้อมูลการเคลื่อนไหวขององค์ชายหกในช่วงเวลานับสิบปีมาได้ในชั่วข้ามคืน ก็เห็นได้แล้วว่าซูเช่อผู้นี้มีความเก่งกาจเป็นอย่างยิ่งจำต้องรีบกำจัดนะพ่ะย่ะค่ะองค์ชายหก!”
“เจ้าพูดอันใด?” ได้ยินข้อมูลนี้ก็เห็นได้ชัดว่าฉินรั่วเฉินตกใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าบอกว่าซูเช่อตรวจสอบข้อมูลของเปิ่นหวางจื่อหรือ?”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!” หลันซือเฮ่อกล่าวด้วยท่าทีฮึกเหิมและมีโทสะ “ตั้งแต่ที่ท่านชี้ตัวองค์ชายเจ็ดในคืนนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินก็ส่งหนานกงอี้จือให้ไปตรวจสอบข้อมูลขององค์ชายหก แต่เป็นเพราะความรักที่ซูเช่อมีต่อหลิงมู่เอ๋อร์ จึงรวบรวมข้อมูลการเคลื่อนไหวและการเดินทางทั้งหมดของท่านมาในคืนเดียว แค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเสียนหวางเป็นผู้ที่ควรรีบกำจัดพ่ะย่ะค่ะ!”
“สารเลว!”
ฉินรั่วเฉินโกรธเกรี้ยว ดวงตาเฉียบแหลมทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปทางหลันซือเฮ่อ “เหตุใดจึงไม่รีบรายงานเรื่องนี้แก่เปิ่นหวางจื่อ?”
หลันซือเฮ่อชะงักไป “กระหม่อมคิดว่าองค์ชายหกมีสายลับอยู่มากมายน่าจะรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ปึง
หมัดของฉินรั่วเฉินทุบลงไปบนกำแพงอย่างรุนแรง “ซูเช่อ เป็นซูเช่ออีกแล้ว! ข้าได้ยินว่าในคราแรกบัญชีลับของฉินเสียนถิงก็เป็นซูเช่อที่แอบบุกเข้าไปในตำหนักองค์ชายเจ็ดเพื่อไปเอามาจากในห้องลับ คราแรกข้ายังคิดว่าเป็นเพียงความบังเอิญ ยามนี้ดูท่าแล้วซูเช่อจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ!”
“หากไม่มีความสามารถเหตุใดในราชสำนักจะมีผู้คนมากมายต้องการเข้าร่วมกับตระกูลซูตั้งแต่แรกพ่ะย่ะค่ะ” หลันซือเฮ่อกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ขอพูดตามตรงอย่างไม่ปิดบังพ่ะย่ะค่ะองค์ชายหก ซั่งกวนเซ่าเฉินย่อมเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของท่านอย่างแน่นอน แต่ซูเช่อผู้นั้นก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ! เขามีเส้นสายมากมายกับเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งสองฝ่าย ได้ยินว่าเขายังแอบยึดเครือข่ายข้อมูลเอาไว้อีกด้วย ขอเพียงยังมีเขาอยู่ วันหนึ่งความลับของพวกเราก็จะยิ่งถูกสอดแนมมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง และย่อมทำให้แผนการใหญ่ของพวกเราไม่ราบรื่นเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะองค์ชายหก”
ได้ยินเช่นนี้ ในใจที่มีโทสะของฉินรั่วเฉินก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา เดิมเขาก็มิได้รู้สึกดีอันใดต่อซูเช่อ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตรวจสอบเขาทั้งยังเป็นในแง่ร้ายก็นับเป็นเรื่องดีของเขาแล้ว เขาเห็นอีกฝ่ายเป็นหนามยอกอกโดยพลัน แผนที่เดิมทีคิดจะเลื่อนออกไปก่อนก็พรั่งพรูขึ้นมาในใจ
“ทหาร…”
“ช้าก่อน!”
อามู่เต๋อลุกขึ้นขัดจังหวะฉินรั่วเฉินที่เปิดปากออกคำสั่ง “องค์ชายหก ท่านคงมิได้ลืมไปแล้วกระมังว่าเปิ่นหวางจื่อยังอยู่?”
ฉินรั่วเฉินหันกลับมาไม่เข้าใจความนัยในคำพูดของเขา แต่คำพูดของหลันซือเฮ่อกลับเตือนเขาขึ้นมา
“ทำไมพ่ะย่ะค่ะ หรือเพราะน้องสาวตบแต่งกับเสียนหวาง องค์ชายรองของแคว้นซีอวี้จึงต้องการขัดขวางการกระทำของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ? เช่นนั้นองค์ชายอามู่ก็ไร้ซึ่งความจริงใจเกินไปแล้ว!”
สิ้นคำพูดนี้ฉินรั่วเฉินก็ตระหนักได้โดยพลัน มั่วจวินเหยาน้องสาวของอามู่เต๋อมิใช่ว่าตบแต่งให้เสียนหวางและกลายเป็นเสียนหวางเฟยไปแล้วหรือ เช่นนั้นคงมิใช่ว่าพวกเขาร่วมมือกันกระมัง…?
ฉินรั่วเฉินมิได้พูดอันใด ทำเพียงแค่มองอามู่เต๋ออย่างระมัดระวัง
“ความจริงใจของข้าไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาแยกแยะ แต่ไหนแต่ไรข้าก็หาได้ต้องการจะขัดขวางแผนการที่พวกเจ้าจะจัดการซูเช่อ แค่ยังมิใช่ตอนนี้เท่านั้น”
อามู่เต๋อสะบัดแขนเสื้อ “สรุปคือซูเช่อยังตายตอนนี้ไม่ได้”
“เช่นนั้นเขาจะตายได้เมื่อใด?” หลันซือเฮ่อถามอย่างโกรธเกรี้ยว
อามู่เต๋อหันกลับไปแม้จะมิได้พูดอันใดสักประโยค แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับเคลื่อนไหวเล็กน้อย
หลันซือเฮ่ออาจไม่เห็นแต่ฉินรั่วเฉินเห็นอย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการโต้เถียงอันยืดเยื้อซึ่งไม่จำเป็นจะปะทุขึ้นมา ฝ่ามือของฉินรั่วเฉินจึงจับเข้าที่ไหล่ของอามู่เต๋ออย่างใจกว้าง
เมื่อหันกลับไป ในมุมที่อามู่เต๋อมองไม่เห็น ฉินรั่วเฉินก็ใช้สายตาส่งสัญญาณให้หลันซือเฮ่อสงบสติอารมณ์ลงก่อน หลังจากนั้นเขาก็มองสหายคนใหม่ที่ร่วมมือกันอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงยังไม่อาจจัดการซูเช่อในยามนี้ได้หรือ มหาเสนาบดีหลันสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักไปการควบคุมอารมณ์ย่อมเป็นเรื่องยาก แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่อาจเอามาขัดแย้งกับองค์ชายรองได้ ข้ายอมรับว่าน้องสาวท่านตบแต่งให้ซูเช่อและกลายเป็นเสียนหวางเฟย หากเกิดเรื่องกับเสียนหวางก็ย่อมส่งผลให้น้องสาวท่านเจ็บปวด แต่จากที่ข้ารู้มาเสียนหวางก็มิได้ตบแต่งกับน้องสาวท่านอย่างจริงใจ องค์ชายอามู่คงมิได้มีความคิดอื่นอยู่ด้วยกระมัง?”
แผนการสกปรกของตัวเองถูกคนเปิดเผยออกมาตามตรงเช่นนี้ สีหน้าของอามู่เต๋อก็ดูไม่ใคร่จะพอใจนัก “องค์ชายหกพูดจาเหลวไหลอันใด!”
“ใช่ๆๆ เป็นเปิ่นหวางจื่อพูดจาเหลวไหล แต่ในเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเสียนหวางหาได้รักใคร่เสียนหวางเฟย เล่าลือกันว่าเขาปฏิบัติกับนางอย่างเย็นชาตั้งแต่คืนแต่งงานมาจนถึงวันนี้! องค์ชายอามู่มีสถานะเป็นพี่ชายของเสียนหวางเฟย ไม่อยากล้างแค้นให้น้องสาวตัวเองหรือ? แต่ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายอามู่รักและหวงแหนน้องสาวผู้นี้ของตัวเองมากทีเดียว”
เห็นน้ำเสียงแปลกประหลาดของฉินรั่วเฉินซึ่งไม่รู้ว่าคิดวางแผนอันใดอยู่
แต่อีกฝ่ายรู้เรื่องราวในราชวงศ์ของแคว้นซีอวี้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ก็นับว่าเหนือความคาดหมายของเขา
อามู่เต๋อชะงักไป “พูดตามตรงอย่างมิปิดบัง ข้ายังมีเรื่องที่จะใช้ประโยชน์จากซูเช่อดังนั้นจึงยังไม่อาจให้เขาตายยามนี้ได้ แต่ข้ารับปากพวกเจ้าว่าหลังจากข้าใช้ประโยชน์จากเขาแล้ว ชีวิตของเขาจะขอมอบให้พวกเจ้าสองคนอย่างไม่มีเงื่อนไข” นี่เป็นขีดความอดทนเส้นสุดท้ายของเขาแล้ว
“ไม่ได้!”
หลันซือเฮ่อเดือดดาลอย่างถึงที่สุด “กระหม่อมต้องล้างแค้นให้เชี่ยนหยิ่ง ขอเพียงฆ่าซูเช่อได้ คนพวกนั้นก็จะรู้ว่าจวนมหาเสนาบดีของกระหม่อมหาใช่ว่าจะมารังแกได้โดยง่าย! ซูเช่อจะต้องตาย”
“เหอะ เช่นนั้นข้าจะรอดูว่ามหาเสนาบดีหลันจะมีความสามารถหรือไม่!”
เห็นท่าทีเด็ดเดี่ยวของหลันซือเฮ่อ อามู่เต๋อก็ไม่ปิดบังความเย่อหยิ่งอีกต่อไป ดวงตาแหลมคมที่ราวกับจะพรากวิญญาณของคนได้มองออกไป ประหนึ่งว่าหากหลันซือเฮ่อลงมือ เขาจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปเด็ดขาด
“ท่าน…” หลันซือเฮ่อโกรธเกรี้ยว สายตามองไปทางฉินรั่วเฉินโดยพลัน “องค์ชายหก กระหม่อมช่วยเหลือท่านด้วยใจจริง เรื่องนี้ท่านจะไม่พูดอันใดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อามู่เต๋อยิ้ม “ทำไมเล่า เพราะข้าเป็นองค์ชายรองของแคว้นซีอวี้จึงมิได้ช่วยเหลือองค์ชายหกอย่างจริงใจหรือ? มหาเสนาบดีหลัน เจ้าต้องการล้างแค้นให้ลูกสาวก็เป็นเรื่องในครอบครัวของเจ้า นี่เจ้าจะเบียดเบียนผลประโยชน์ของส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือ ข้าเห็นได้ชัดทีเดียวว่าเจ้าต้องส่งผลกระทบต่อแผนการใหญ่ขององค์ชายหกเป็นแน่! ในเมื่อเป็นเช่นนี้เก็บเจ้าไว้จะมีประโยชน์อันใด!”
อามู่เต๋อกำลังจะลงมือกับหลันซือเฮ่อ ฉินรั่วเฉินเห็นเช่นนั้นก็รีบขวางเขาไว้จากข้างหลัง ก่อนจะส่งสายตาให้หลันซือเฮ่อสงบสติอารมณ์ และเขาก็พาอามู่เต๋อออกจากห้องตำราไป