เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 448 ครองคู่
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 448 ครองคู่
เล่มที่ 15 ตอนที่ 448 ครองคู่
“มีองครักษ์หลวงคอยลาดตระเวนไม่หยุดเช่นนี้ นับจากนี้ต่อให้คนผู้นั้นติดปีกก็เลิกหวังจะบินเข้ามาได้เลย ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินลูบผมนางอย่างรักใคร่
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเข้าใจผิดคิดว่านางกลัว จึงแลบลิ้นอย่างซุกซน “เช่นนั้นยามที่ท่านอยู่ข้างนอกก็ต้องระวังเสียหน่อย ยามนี้หาได้มีแต่อามู่เต๋อเท่านั้น แต่ยังมีฉินรั่วเฉินด้วย”
พูดถึงตรงนี้นางก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “ท่านคิดว่าพวกเขาสองคนแอบสมรู้ร่วมคิดกันใช่หรือไม่?”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินตึงเครียดขึ้นมาได้ เขาตบมือของนาง “หากเจ้าหกร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ เช่นนั้นพวกเราย่อมต้องหาหลักฐานมากดดันเขาให้ได้ มู่เอ๋อร์ ยามนี้ก็มืดแล้ว เจ้าอยู่คนเดียวไปก่อน เดี๋ยวข้าไปแล้วจะรีบกลับ”
พูดว่าไปแล้วเดี๋ยวจะรีบกลับเช่นนี้ เกรงว่าคงเก็บตัวอยู่ในห้องตำราทั้งคืนเป็นแน่ แต่นางก็ไม่อยากรบกวนเขา
“ได้ ข้าจะรอท่าน”
เมื่อยืนยันว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเข้าไปในห้องตำราแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็สั่งให้คนไปเรียกซางจือ
“คุณหนู ท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจสอบมีความคืบหน้าอันใดหรือไม่?” นางมุ่งเข้าประเด็นสำคัญ
“ตรวจสอบแล้วเจ้าค่ะ ต้องลงแรงไปมากทีเดียวเจ้าค่ะ” ซางจือมองซ้ายมองขวา เข้าไปข้างกายนางด้วยท่าทีมีลับลมคมใน ทำเหมือนตัวเองเป็นสายลับคนใหม่ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมา “ได้ยินข่าวลือว่าที่แคว้นซีอวี้มีดอกไม้ประจำแคว้นอยู่จริงๆ เจ้าค่ะ ดอกไม้ชนิดนั้นจะบานทุกๆ สิบปี ยามที่ผลิดอกออกผล หนึ่งดอกจะออกผลเพียงผลเดียว ร่ำลือกันว่าผลนั้นจะช่วยในการรักษาชีพจรในร่างกายคนเป็นอย่างมาก ได้ยินว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่แคว้นซีอวี้มียอดฝีมือมากความสามารถผู้หนึ่ง ทว่าเพราะอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียวทำให้เส้นลมปราณขาด ชีพจรในร่างอ่อนแอลงจนเกือบตาย แต่กษัตริย์แคว้นซีอวี้ตกรางวัลให้เขาเป็นผลของดอกไม้นั้นผลหนึ่ง คนผู้นั้นไม่เพียงแต่ชีพจรฟื้นฟูกลับมาเป็นเช่นเดิม อีกทั้งพละกำลังยังมากขึ้นอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
นางหาได้สงสัยในความสามารถของซางจือ ทว่าข่าวนี้ได้รับมาอย่างละเอียดมากเกินไป ทำให้นางสงสัยว่ามีใครบางคนจงใจพูดเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด “เจ้าไปสืบข้อมูลนี้มาจากที่ใด?”
“ตลาดมืดเจ้าค่ะ”
ยามที่พูดคำนี้ออกมาซางจือก็ยังตัวสั่นเทา
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ความสงสัยในใจก็หายไปโดยพลัน และรินชาร้อนให้ซางจือ “ลำบากเจ้าแล้ว”
“คุณหนูเกรงใจซางจือเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
ซางจือยกชาร้อนขึ้นมาในขณะที่น้ำตาแทบจะไหลริน “คุณหนูฝากเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้ซางจือจัดการเพราะเชื่อใจซางจือ ปกติท่านก็สอนการปฏิบัติตัวให้ข้า สอนทักษะแพทย์ให้ข้า ซางจือไม่อาจทดแทนบุญคุณได้ แต่ในที่สุดก็มีวิธีที่จะสามารถตอบแทนบุญคุณของคุณหนูได้ เหตุใดคุณหนูต้องเกรงใจซางจือถึงเพียงนี้ด้วยเจ้าคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์โค้งริมฝีปากและยิ้มอย่างแผ่วเบา “ตลาดมืดมีทั้งคนดีคนเลวมีคนอยู่ทุกประเภท เจ้าไปสืบหาข้อมูลในสถานที่เช่นนั้นมาได้อย่างละเอียดถึงเพียงนี้ ยามนั้นย่อมต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมากในการเข้าไปมิใช่หรือ?”
ได้ยินเสียงหยอกล้อ ซางจือก็ก้มศีรษะด้วยใบหน้าแดงก่ำ จนถึงยามนี้ในใจก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เลย “แต่มิใช่ได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมืดล้วนทำการค้าขายที่ต้องเห็นเลือดหรือเจ้าคะ ยามที่ข้าเข้าไปดู ผลคือไม่ว่าการค้าอันใดก็ล้วนมี เหตุใดทางการจึงไม่จัดการเล่าเจ้าคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “มิใช่ว่าไม่จัดการ แต่จัดการไม่ได้”
อย่าว่าแต่อยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์เลย ในโลกนี้ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนมีตลาดมืดอยู่สักแห่ง ทั้งหมดล้วนทำการค้าขายที่ไม่อาจบอกผู้ใดได้
บางทีอาจซื้อศีรษะของคนผู้หนึ่งในราคาสูง บางทีอาจขโมยความลับของใครบางคนไป เคยมีขุนนางไปจัดการแต่คนเหล่านี้มีความสามารถที่แข็งแกร่งจริงๆ เมื่อผ่านไปนานก็ไม่อาจจัดการได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเหล่านักล่าค่าหัวแม้แต่ศีรษะของขุนนางก็ยังล้วนเอาไป ขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ผู้ใดจะกล้าถลำลึกนักเล่า?
“ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้งฝอย นี่เป็นห่วงโซ่อาหารที่เป็นพื้นฐานยิ่ง เช่นเดียวกับทุกคนที่ล้วนส่งเสริมการค้าประเวณี แต่หากไม่มีความพยายามของคนเหล่านี้ บนโลกนี้ก็จะต้องมีเรื่องที่สตรีมากมายถูกทำร้ายมิใช่หรือ? เรื่องเหล่านี้อาจมิได้มองเห็นได้อย่างชัดเจนมีแต่กระทำเป็นการส่วนตัว หากถูกเปิดเผยสู่ภายนอก โลกนี้เกรงว่าคงจะต้องเข้าสู่ความวุ่นวายจริงๆ แล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์อธิบาย ในใจมีความรู้สึกซับซ้อนผสมอยู่ด้วย ดูท่าอามู่เต๋อจะมิได้โกหกนาง แคว้นซีอวี้มีดอกไม้ประจำแคว้นชนิดหนึ่งอยู่จริง แต่ในเมื่อของสิ่งนั้นเป็นของล้ำค่า เขาจะยอมมอบให้ตนจริงหรือ?
ดูท่าแล้วแคว้นซีอวี้ นางคงต้องเดินทางไปเยือนสักครา
“คุณหนูช่างมีความรู้มากจริงๆ คุณหนูเจ้าคะ ได้ยินข่าวลือว่าเหยียของพวกเรากำลังจะถูกแต่งตั้งให้เป็นไท่จื่อแล้ว เช่นนั้นคุณหนูก็จะได้เป็นไท่จื่อเฟย และในอนาคตก็จะได้เป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียง” ซางจือมองมาอย่างมีความสุขยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินก็รีบยื่นมือไปปิดปากนางไว้ “เรื่องเพ้อฝันเช่นนี้เจ้าจะพูดออกมาตามใจชอบได้อย่างไร ระวังจะปากพาซวย”
“แต่ได้ยินว่าเป็นความตั้งใจของฝ่าบาทมิใช่หรือเจ้าคะ?” ซางจือไม่เข้าใจ
“คุณหนู หรือว่าท่านไม่อยากเป็นหวางโฮ่วเจ้าคะ? เป็นมารดาของราชวงศ์ เป็นมารดาของแผ่นดิน อยู่ใต้คนผู้เดียวทว่าอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น จะกี่มากน้อยก็เป็นความฝันของสตรีนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของซางจือค่อยๆ เบาลงแต่ขอเพียงนึกขึ้นมาว่าคุณหนูของตนจะกลายเป็นหวางโฮ่ว นางและเจี้ยงเซียงก็จะได้เป็นบ่าวของนายผู้สูงศักดิ์ คิดไปก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข
หากวันนั้นมาถึง นางจะต้องกลับไปหานายหน้าอีกครา ให้พวกคนที่เคยดูแคลนพวกนางได้เห็นชัดๆ ว่าพวกนางก็ยกระดับขึ้นมาแล้ว!
ลองถามว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าสตรีที่ไม่โดดเด่นผู้หนึ่งในคราแรก หญิงสาวสามัญชนที่มีทักษะแพทย์ผู้หนึ่งจะกลายเป็นหวางโฮ่วได้!
“ไม่อยาก”
หลิงมู่เอ๋อร์ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เป็นหวางโฮ่วดีอันใด ต้องแบ่งผู้ชายของตัวเองให้อย่างเท่าเทียม หากต้องยอมทำเช่นนั้นข้าก็หวังว่าจะเป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายไปทั้งชีวิต อย่างน้อยที่ตำหนักหลังของเขาก็มีเพียงข้าคนเดียว!”
ซางจือเพิ่งตระหนักถึงความกลุ้มใจของเจ้านายได้ “แต่ แต่องค์ชายรองมิใช่เคยรับปากท่านว่าทั้งชีวิตจะครองคู่แค่เพียงท่านหรือเจ้าคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม “คำพูดนี้เป็นความจริง แต่ในฐานะโอรสสวรรค์จะไม่ลำบากใจได้หรือ? ต่อให้เซ่าเฉินจะยอมรับได้ แต่ขุนนางเหล่านั้นย่อมไม่ยอมหยุดปากเป็นแน่! พวกเขาจะต้องคอยเตือนว่าควรเพิ่มคนในวังหลังไม่ขาดปาก และจะยิ่งส่งสตรีมาเข้าวังหลังไม่หยุดหย่อน ถึงอย่างไรสุดท้ายวันหนึ่งข้าก็ต้องเข้าสู่วัยชราไข่มุกเหลืองมิใช่หรือ?”
ยิ่งไปกว่านั้นชีพจรของนางยังแปรเปลี่ยนไปเป็นพิเศษอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าจะหมดสติไปอีกคราเมื่อใด เด็กในท้องก็ไม่รู้ว่าจะแข็งแรงหรือไม่…ไม่รู้ว่าจะคลอดออกมาได้อย่างราบรื่นหรือไม่ นางที่เป็นเช่นนี้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊จะให้การสนับสนุนเพื่อขึ้นเป็นหวางโฮ่วได้อย่างไร? และจะยอมให้ซั่งกวนเซ่าเฉินปล่อยให้วังหลังว่างเปล่าได้อย่างไร?
“แม้คุณหนูจะอายุเจ็ดสิบแปดสิบก็ยังเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้าเจ้าค่ะ”
ซางจือกล่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ
“ซางจือ ยังมีเรื่องที่เกรงว่ายังต้องรบกวนเจ้าอยู่อีก” หลิงมู่เอ๋อร์นึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
“คุณหนูเชิญสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“ไปหาชุดบุรุษมาให้ข้าชุดหนึ่ง”
หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นก่อนจะเทียบรูปร่างของตัวเองกับนาง “เอาที่ข้าสวมได้พอดี”
“ชุดของบุรุษหรือเจ้าคะ? คุณหนูจะทำอันใดหรือเจ้าคะ?” ซางจือไม่เข้าใจแต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่อยู่ข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์ จึงเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว “หรือคุณหนูจะ…”
“ชู่ นี่เป็นความลับของเจ้ากับข้า เจ้าจะปกปิดมันไว้ให้ข้าใช่หรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์เอานิ้วชี้วางไว้กลางริมฝีปากแดง
ซางจือตะลึงงัน แม้จะบอกว่านางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาผู้หนึ่ง แต่สองปีมานี้นางก็เรียนรู้เรื่องต่างๆ อยู่ข้างกายคุณหนูไม่น้อย
เหยียเป็นองค์ชายรองของราชวงศ์ หากคุณหนูจะจากไปสักก้าวจริง นางก็ไม่กล้าคิดเลย “คุณหนู แม้ซางจือจะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านจึงต้องไปที่แคว้นซีอวี้ แต่เหยียรักท่านถึงเพียงนั้น ท่านย่อมไปกับเขาได้นะเจ้าคะ แคว้นซีอวี้ไม่เพียงแต่ห่างไกลทว่ายังอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินว่าคนที่นั่นล้วนมีนิสัยป่าเถื่อน มันอันตรายต่อท่านมากนะเจ้าคะ”
“ในเมื่อเจ้าถามเช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ชีพจรในร่างกายข้าไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้มีผลในการบำรุงชีพจร ข้าย่อมต้องไปตรวจสอบให้ชัดเจน หรือเจ้าอยากให้คุณหนูของเจ้าวันดีคืนดีก็ป่วยจนหมดสติไปเช่นนี้ ไม่หายป่วยเสียทีเล่า?”
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ” ซางจือยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ “แต่คุณหนูคนเดียวจะทำสำเร็จได้อย่างไรเจ้าคะ? ดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้อยู่ในวังหลวงแคว้นซีอวี้ ท่านจะไปเอามาเช่นไรเจ้าคะ?”
“ข้ามีวิธีของข้า”
ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ทอประกาย “ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเป็นน้องสาวร่วมสายเลือด หากเจ้านับว่าข้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเจ้าก็ไปทำตามที่ข้าสั่งเถอะ เตรียมชุดบุรุษมาชุดหนึ่งแต่วางไว้ในห้องของเจ้าก่อน ยามที่ข้าต้องการจะไปเอา ทว่าเรื่องนี้ไม่อาจให้มีบุคคลที่สามล่วงรู้ได้”
จับไหล่ของนางแน่น หลิงมู่เอ๋อร์มองเข้าไปในดวงตาของนางอย่างถี่ถ้วน “เรื่องนี้มีเพียงสวรรค์รู้ โลกรู้ เจ้าและข้าที่รู้ ทำได้หรือไม่?”
ซางจือลังเลอยู่ชั่วครู่สุดท้ายก็พยักหน้า “ในเมื่อเพื่อดูแลร่างกายคุณหนู ซางจือก็จะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยและไม่เปิดเผยต่อผู้ใดเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”
“ขอบใจมาก”
ณ ตำหนักองค์ชายหก
ในห้องตำรา
ฉินรั่วเฉินนำของขวัญที่ขุนนางในราชสำนักส่งมาให้ออกมาเล่นตามอำเภอใจ
“ไข่มุกเรืองแสงที่รองเจ้ากรมฝ่ายการทหารส่งมา อืม เม็ดใหญ่ทีเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เก็บไว้เถอะ” เขาออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ ก่อนจะมีบ่าวรับใช้เดินมาตรงหน้า และเอาไข่มุกเรืองแสงสีม่วงเก็บลงไปในกล่องโดยพลันจากนั้นจึงเอาไปไว้ในห้องเก็บของ
“ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายหกด้วย ข้างกายท่านมีขุนนางผู้ภักดีเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว!”
ที่ด้านข้างในมุมมืด หากไม่ส่งเสียงก็คงไม่มีคนสังเกตเห็นการมีอยู่ของคนผู้นี้เป็นแน่
ชายผู้นั้นหันหลังให้เขา ร่างกายถูกปิดบังด้วยเสื้อคลุมสีดำโดยที่มองไม่เห็นใบหน้า แต่แสงเทียนที่สะท้อนใบหน้าครึ่งซีกของเขา ยิ่งทำให้หน้ากากเย็นยะเยือกนั้นดูลึกลับและน่ากลัวมากขึ้น
ฉินรั่วเฉินยิ้มเยาะ “แต่ก็เป็นแค่หญ้าข้างกำแพงที่ล้มลงทั้งสองฝั่ง [1] คนเช่นนี้ก็แค่ตามประจบประแจงผู้ที่มีอำนาจจะมีอันใดให้น่ายินดี”
ความจริงหลังจากที่เขาได้รับความสำคัญจากเสด็จพ่อก็มีเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊มาพึ่งพิงเขาไม่ขาดสาย ของขวัญมากมายต่างถูกส่งมาที่ตำหนักพร้อมกับจดหมายที่แสดงถึงความภักดีของพวกเขา แต่ในใจคนเหล่านี้คิดจะมาพึ่งพิงเขาจริงๆ หรือแค่แสร้งว่าต้องการความคุ้มครองของเขา พวกเขาต่างก็รู้ดีแก่ใจ
“มากขึ้นหนึ่งคนย่อมหมายถึงชัยชนะที่เพิ่มขึ้นอีกก้าว จะไม่ควรค่าแก่การแสดงความยินดีได้อย่างไร?” อามู่เต๋อหยัดกายขึ้นพลางส่งแก้วเหล้าแก้วหนึ่งให้ฉินรั่วเฉิน
“ได้ยินว่าสตรีผู้นั้นส่งคนไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้อยู่ทุกที่ เรื่องนี้ต้องขอบคุณองค์ชายหกเป็นอย่างยิ่ง!”
ฉินรั่วเฉินรับแก้วเหล้ามาก่อนจะยกไปทางเขาและเอียงศีรษะดื่มหมดรวดเดียว “องค์ชายรองเกรงใจกันเกินไปแล้ว ท่านกับข้าต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะนับเป็นอันใดได้ แต่ท่านแน่ใจหรือว่าขอเพียงปล่อยข่าวลือออกไป สตรีผู้นั้นจะเอาตัวเองเข้ามาติดกับอย่างว่าง่าย?”
อามู่เต๋อเลิกคิ้ววางแก้วเหล้าที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ “ตราบใดที่นางยังอยากมีชีวิต นางจะต้องไปแน่นอน”
เห็นท่าทางมั่นใจเช่นนี้ของเขา ฉินรั่วเฉินกลับไม่คิดเช่นนั้น “เกรงว่าต่อให้นางคิดจะไปทว่าอีกคนคงไม่ยอม ท่านอย่าลืมว่านางยังมีเสด็จพี่ของข้าอยู่ด้วย”
อามู่เต๋อจะไม่เคยคิดได้อย่างไรว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะขัดขวางหลิงมู่เอ๋อร์ แต่เพราะเหตุนี้ เขาจึงจงใจให้คนปล่อยข่าวลือเรื่องผลลัพธ์ของดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้ให้เกินจริงมากที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้จักหลิงมู่เอ๋อร์ดี คนที่หมกมุ่นกับวิชาแพทย์เช่นนี้ จะยอมให้ร่างกายตัวเองมีความผิดปกติที่ไม่ได้รับการรักษาได้อย่างไร?
แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะไม่เห็นด้วย แต่นางจะต้องคิดหาวิธีไปที่แคว้นซีอวี้ด้วยตัวเองเป็นแน่ และนางจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มั่นใจว่านางจะออกจากแคว้นเทียนเฉาได้
ขอเพียงไปถึงแคว้นซีอวี้ซึ่งเป็นอาณาเขตของเขา เช่นนั้นก็มิใช่ว่านางอยากมาก็มา อยากจะไปก็ไปได้อีกแล้ว
“เกรงว่าเมื่อถึงเวลายังต้องขอความช่วยเหลือจากองค์ชายหกด้วย”
ยามที่อามู่เต๋อหมุนกาย สายตาที่ลึกล้ำและมืดมัวก็ส่งตรงมาทำให้ฉินรั่วเฉินหัวเราะเสียงดังโดยพลัน
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ เจ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว พูดว่าช่วยเหลือก็นับว่าห่างเหินเกินไป องค์ชายอามู่ ข้าเคยรับปากว่าจะช่วยให้ท่านได้ในสิ่งที่ต้องการ ส่วนท่านก็อย่าลืมเล่าว่าเคยรับปากอันใดกับข้าไว้!”
เชิงอรรถ
[1] หญ้าข้างกำแพงที่ล้มลงทั้งสองฝั่ง หมายถึง ความไม่มั่นคงเหมือนหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามสายลม