เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 447 ไม่ควร
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 447 ไม่ควร
เล่มที่ 15 ตอนที่ 447 ไม่ควร
หลิงมู่เอ๋อร์พยายามดิ้นรนออกไปแต่กลับหาใช่คู่ต่อสู้ของเขา “ข้อเสนออันใด ข้าไม่เคยเอาไปใคร่ครวญด้วยซ้ำ”
“เจ้า!” อามู่เต๋อโกรธจนแทบอยากจะบีบคอนางให้ตายจริงๆ “หากมิใช่เพราะความลับในร่างกายเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคงฆ่าเจ้าไปร้อยครั้งแล้ว”
“ถ้ามีความสามารถก็ฆ่าข้าเลย หากไม่มีความสามารถก็ปล่อยข้าเสีย!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวก่อนจะฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันตั้งตัวเตะออกไปคราหนึ่ง เข็มเงินในมือถูกซัดใส่เขาอย่างไม่ยี่หระ
“โอ๊ย” อามู่เต๋อครวญครางขึ้นมาเสียงหนึ่งรู้สึกราวกับถูกหลอก “เจ้าปฏิบัติกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าเช่นนี้หรือ?”
“ข้าไม่เคยขอให้เจ้ามาช่วยข้า”
“หลิงมู่เอ๋อร์อย่าโทษว่าข้าไม่ให้โอกาสรอดแก่เจ้า เจ้าควรรู้ไว้ว่าดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้หาใช่ของที่คนทั่วไปจะเอาไปได้ ข้ายอมมอบให้เจ้า นี่ก็นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ “ดอกไม้ประจำแคว้นแล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบที่จะมาหลอกกันได้ง่ายๆ หรือ วันนี้เจ้าช่วยข้าไว้เช่นนั้นข้าจะไม่ถือสาที่เจ้าบุกเข้ามาในตำหนักองค์ชายรอง แต่หากเจ้ายังไม่ไป ข้าจะตะโกนเรียกคนมา!”
อามู่เต๋ออ้าปากยังคิดจะพูดโน้มน้าวแต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเร่งรีบเดินมา เขากัดฟันจ้องเขม็งไปที่นางอย่างโกรธแค้น และสะกิดปลายเท้าหายออกไปจากสวน
“มู่เอ๋อร์?”
เสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไป นางก็ตกเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแกร่งแล้ว
มองพื้นที่เต็มไปด้วยศพอีกครา หัวใจของเขาก็ตึงเครียดจนแทบขึ้นมาอยู่ในลำคอ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะอธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่แต่ก็ยังยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่เป็นอันใด แต่ดูจากท่าทางเช่นนี้ของท่านแล้ว ท่านก็พบมือสังหารเหมือนกันหรือ?” นางชี้ไปทางองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าซ่อนแขนซ้ายที่บาดเจ็บไว้ข้างหลัง “ไม่ใช่ฉินรั่วเฉินก็ต้องเป็นคนของหลันซือเฮ่อ”
“ดูท่าเจ้าคงได้ยินเรื่องที่หลันเชี่ยนหยิ่งปลิดชีพตัวเองที่อารามชีแล้วเช่นกัน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนหายใจ “มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นหลันซือเฮ่อ น่าเสียดายที่จับเป็นคนพวกนั้นมาไม่ได้”
“ส่งมือสังหารของยุทธภพมาฆ่าคนเช่นนี้ หากมิใช่เพราะร้อนใจไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ แต่ยังดีที่ท่านไม่เป็นอันใด” หลิงมู่เอ๋อร์จับมือเขา หัวใจจึงเพิ่งถูกวางกลับไปที่ท้อง แต่เมื่อกอดแขนของเขาก็เพิ่งได้กลิ่นเลือดจางๆ ออกมา
นางกล่าวอย่างตึงเครียด “ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ?”
ไม่รอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินขัดขวาง นางก็บังคับยกแขนเสื้อเขาขึ้น ก่อนจะเห็นเลือดสีแดงฉานไหลรินลงมาจากแขน
“ไม่ร้ายแรง” ซั่งกวนเซ่าเฉินปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ยังมีที่ใดได้รับบาดเจ็บอีกหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์กวาดสายตามองเขา ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มดำเนินการกวาดสำรวจเพื่อมองหาอย่างละเอียด
รู้ว่าบาดแผลเล็กน้อยไม่อาจนับเป็นอันใดได้สำหรับเขา อีกทั้งนางยังหาใช่คนไร้เหตุผล จึงหยิบยาห้ามเลือดออกมาเทลงบนบาดแผลของเขา เมื่อยืนยันว่าบนร่างของเขาไม่มีบาดแผลแล้ว หัวใจจึงเพิ่งวางกลับไปอยู่ในอก
“หลังจากได้ยินข่าวว่าหลันเชี่ยนหยิ่งแขวนคอปลิดชีพตนเอง คนที่ข้าเป็นห่วงที่สุดก็คือท่าน คาดไม่ถึงว่าชายเฒ่าผู้นั้นจะลงมือแล้ว”
ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงมู่เอ๋อร์หรี่ลงเป็นเส้นเดียว นึกถึงกลุ่มมือสังหารเมื่อครู่ที่นางให้องครักษ์เงาทั้งหมดที่รับหน้าที่ปกป้องนางใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากป่า ความรู้สึกผิดเล็กน้อยที่นางมีต่อหลันเชี่ยนหยิ่งสลายหายไปโดยพลัน
สามารถคาดเดาได้ว่านางมีองครักษ์เงาอยู่ข้างกาย จึงจงใจส่งมือสังหารมาสองกลุ่ม นี่ก็เพื่อหมายเอาชีวิตนางเป็นแน่!
แต่ยังดีที่ทุกคนล้วนไม่เป็นอันใด
“เมื่อครู่ข้าเห็นเงาของใครบางคนทะยานร่างผ่านไป เป็นผู้ใดหรือ?” ดวงตาดำขลับของซั่งกวนเซ่าเฉินเคร่งขรึมขึ้นมา
รู้ว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็หาได้คิดจะปิดบัง “เป็นอามู่เต๋อ”
“เป็นเขา?”
ความนิ่งสงบเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้หันกลับไปแต่ก็ยังกล่าวกับองครักษ์เงาที่เพิ่งมาอย่างเดือดดาล “ทหาร มันเกิดอันใดขึ้น?”
ต่อสู้กับคนชุดดำเพิ่งกลับมา ยามที่เห็นนายท่านอยู่ในสวนแต่ละคนก็ก้มศีรษะอย่างรู้สึกผิด ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร
“หลันซือเฮ่อรู้ว่าท่านส่งคนมาปกป้องข้างกายข้าจึงแยกพวกเขาออกไป หากไม่ใช่เพราะมีพวกเขาอยู่ ข้าจะสามารถรอท่านกลับมาด้วยสภาพที่สมบูรณ์ไม่บุบสลายเช่นนี้ได้อย่างไร อย่าตำหนิพวกเขาเลย” หลิงมู่เอ๋อร์ขอร้องแทนองครักษ์เงา “ส่วนอามู่เต๋อ ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวอย่างกะทันหันได้ แต่เป็นความจริงที่เขาช่วยข้าไว้”
ได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์ขอร้องแทนองครักษ์เงา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็โบกมือไล่เหล่าองครักษ์เงาที่ไร้ความสามารถออกไป แต่ยามที่พูดถึงอามู่เต๋อสามคำนี้ขึ้นมา เขาก็เห็นหลิงมู่เอ๋อร์หลบสายตาอย่างชัดเจน
“หากข้าเดาไม่ผิดคงเป็นเพราะความลับในร่างกายของข้า เขามิใช่ว่าต้องการสมบัติของข้ามาโดยตลอดหรือ ดูท่าเขาคงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว” ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้ยินซั่งกวนเซ่าเฉินตอบตัวเอง หลิงมู่เอ๋อร์จึงกล่าวเสริมออกมาเอง
หารู้ไม่ว่ายิ่งนางแก้ต่างให้อามู่เต๋อมากเท่าใด ในใจเขาก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น
ตั้งแต่เมื่อก่อนยามที่แม่นางน้อยพูดถึงอามู่เต๋อขึ้นมาสีหน้าก็จะเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่เหตุใดวันนี้จึงสงบเช่นนี้เล่า?
“เขาทำร้ายเจ้าหรือไม่?”
“เกือบแล้ว แต่เห็นท่านพาคนพุ่งเข้ามาเขาจึงหนีไปก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์กอดแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “องค์ชายผู้หนึ่งของแคว้นซีอวี้ ถึงแม้เขาจะมีวรยุทธ์สูงส่งแต่การที่เข้าออกตำหนักองค์ชายรองของพวกเราได้ตามใจเช่นนี้ เซ่าเฉิน พวกเรามิใช่ว่าควรทำอันใดเสียหน่อยหรือ?”
เดิมทียังสงสัยท่าทีของหลิงมู่เอ๋อร์ที่มีต่ออามู่เต๋อในวันนี้ซึ่งแปลกไป แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ความขุ่นมัวในใจเขาก็ลดลงโดยพลัน
“ทหาร!”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!” กลุ่มองครักษ์คุกเข่าอย่างร้อนรน
“ทุกคนที่มีหน้าที่เฝ้าตำหนักวันนี้ให้ลาดตระเวนต่อเนื่องไปสิบสองชั่วยาม อย่าปล่อยให้ผู้ใดผ่านเข้ามาได้ ส่วนผู้ที่บุกรุกเข้ามาจงฆ่าทิ้งอย่าได้ปรานี!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าองครักษ์ได้รับคำสั่งก็ออกไปอย่างเป็นระเบียบ
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะไม่รู้สถานะของคนเหล่านี้ แต่จากป้ายห้อยเอวที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจของพวกเขาก็สามารถแยกแยะได้ว่า พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นองครักษ์หลวง
“เช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง?” เขาเป็นองค์ชายแม้ฮ่องเต้จะตั้งใจแต่งตั้งให้เขาเป็นไท่จื่อ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมิได้รับการแต่งตั้ง การใช้คนของฮ่องเต้มาปกป้องตำหนักโดยพลการเช่นนี้ หากถูกคนที่มีใจคิดกลั่นแกล้งจงใจกล่าวโทษเขา…
“ตำหนักองค์ชายรองต้องพบเจอกับการลอบสังหารอยู่หลายครั้งหลายครา เชื่อว่าเสด็จพ่อรู้เข้าก็ต้องทรงทำเช่นนี้ สนมรักอย่าได้กังวลไปเลย” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว แขนยาวโอบเอวของนาง มององครักษ์ของตำหนักที่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครา เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “ของไร้ประโยชน์เหล่านี้ ไม่ทราบว่าสนมรักคิดจะจัดการเช่นไร?”
“ช่วงนี้ในตำหนักสุขสบายเกินไปทำให้พวกเขาลืมไปแล้วว่ามีอันตรายหลบซ่อนอยู่ข้างกายทุกเมื่อ แต่นี่หาใช่ความผิดของพวกเขาเช่นกัน เหยียคิดจะจัดการอย่างไรก็จัดการเช่นนั้นเถิดเพคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากเป็นคนเลว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เรียกเขาว่าเหยีย
ซั่งกวนเซ่าเฉินชอบคำเรียกเช่นนี้ ถูกเอาอกเอาใจจนรู้สึกมีความสุข การลงโทษที่คิดไว้แล้วก็เปลี่ยนไปโดยพลัน “ในฐานะทหารกลับหลงลืมหน้าที่แรกเริ่มไป ดูท่าไม่กี่ปีมานี้เปิ่นหวางจื่อจะละเลยพวกเจ้าไปจริงๆ เช่นนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปที่ค่ายทหาร และจงทำการฝึกซ้อมสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลาสามเดือนเสีย”
ได้ยินว่ามิใช่การลงโทษแต่ให้กลับไปบนสนามรบ ซึ่งเป็นความฝันแต่เดิมของบุรุษเลือดร้อนทุกคน ทุกคนก็ต่างพากันมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยสายตาซาบซึ้ง ก่อนจะมองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน และทุกคนก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง “พ่ะย่ะค่ะ!”
“วันนี้เข้าวังหลวงไปสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง? ไท่จื่อถูกปลดออกจากตำแหน่งจริงหรือ?” เมื่อกลับมาในห้อง หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบซักถามถึงความคืบหน้าที่เขาเข้าไปในวังหลวง
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เมื่อครู่ยังมีสีหน้ามีความสุขกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นมืดครึ้มอีกครา
แม้จะมิได้ตอบออกมาตามตรงแต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็คาดเดาคำตอบจากสีหน้าของเขาได้ “เช่นนั้นท่านตอบรับแล้วหรือ?”
“มู่เอ๋อร์คิดว่าข้าควรตอบรับหรือ?”
“ไม่ควร!” หลิงมู่เอ๋อร์แทบจะไม่ต้องคิด
“เพราะเหตุใดเล่า?”
“นี่เป็นแผนของฉินรั่วเฉิน เขาตั้งใจให้ฝ่าบาทมีรับสั่งปลดไท่จื่อออกจากตำแหน่ง ทั้งยังเสนอชื่อของท่านเพราะจงใจทำให้ตำหนักองค์ชายรอง และตำหนักไท่จื่อแตกหักกัน หากท่านตอบรับจะไม่นับว่าเป็นการตกหลุมพรางของเขาหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ร้อนรน
“แต่หากข้าไม่แย่งชิงตำแหน่งนั้นมา ในอนาคตก็ไร้หนทางจะสนับสนุนซูเช่อ และพวกเราก็คงไม่อาจชดใช้หนี้บุญคุณของจวนเสียนหวางได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องมองนางด้วยดวงตาดำขลับตรงๆ ราวกับสงสัยในคำตอบนี้เป็นอย่างมาก
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนางก็ถูกดึงกลับมาจากความคิด “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ยามนี้ทุกคนล้วนยอมแพ้ต่อตำหนักไท่จื่อแล้ว หากพวกเราตอบรับฝ่าบาทในยามนี้จะไม่เป็นการโรยเกลือบนบาดแผลของไท่จื่อหรือ ทุกคนต่างละทิ้งเขา แน่นอนว่าพวกเราย่อมสามารถละทิ้งเขาได้ แต่พวกเราไม่อาจเพิ่มความเสียหายในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ได้!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องมองท่าทางตื่นตระหนกของนาง ก่อนจะอุ้มนางมานั่งบนตัก “ผู้ที่รู้ใจข้าก็ยังคงเป็นสนมรัก”
หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งตระหนักได้ว่าเขาแค่ลองหยั่งเชิงตน “ช่างดีนัก นี่ท่านไม่เชื่อในนิสัยของข้าหรือ”
“โกรธหรือ?” เขา ‘จุ๊บ’ ไปที่แก้มซึ่งพองด้วยความโกรธของนางคราหนึ่ง ก่อนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจะรีบกอดนางซึ่งกำลังดิ้นตัวไว้แน่น “จะกล้าสงสัยเจ้าได้อย่างไร ต่อให้ข้าจะสงสัยทุกคนบนโลก แต่ก็ย่อมไม่สงสัยสตรีของข้าเอง! ข้าแค่เกรงว่าการตัดสินใจของข้าจะผิด ดังนั้นจึงอยากฟังคำตอบของเจ้า แต่ดูท่าเจ้ากับข้าสองสามีภรรยาจะใจตรงกัน ช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่ง”
ได้ยินคำตอบเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกว่าตัวเองหาได้โกรธถึงเพียงนั้นแล้ว แต่นางกังวลเรื่องตำหนักไท่จื่อเป็นอย่างยิ่ง “แม้จะบอกว่าในคราแรกไท่จื่อเกือบประสบกับหายนะ แต่ข้าก็หาได้มีความรู้สึกที่ดีอันใดต่อเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นไท่จื่อเฟยที่จัดการกับญาติพี่น้องซึ่งกระทำความผิดเพื่อส่วนรวม ไหนจะอี้กุ้ยเฟยที่ช่วยข้าในวังหลวงอยู่หลายครั้งหลายครา ข้าย่อมควรต้องตอบแทนบุญคุณคนเหล่านี้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้า “ความจริงต้องยอมรับว่าเสด็จพ่อตัดสินพระทัยไปแล้ว”
เขาก็จนปัญญาเช่นกัน
“ไม่มีสถานะไท่จื่ออย่างน้อยก็ยังมีอี้กุ้ยเฟยอยู่ เชื่อว่าถึงอย่างไรก็คงไม่มีจุดจบที่เลวร้ายกระมัง?” หลิงมู่เอ๋อร์ทอดถอนใจโดยมิได้สังเกตเห็นแววตาที่ยิ่งหนักอึ้งของซั่งกวนเซ่าเฉินแม้แต่น้อย
“เซ่าเฉิน หากไท่จื่อมิใช่ไท่จื่อแล้วจริงๆ อีกทั้งท่านยังได้รับตำแหน่งไท่จื่อแทนเขา ชีวิตของพวกเรามิใช่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนสถานะของท่านหรือ? เช่นนั้นหากในอนาคตต้องต่อสู้กับแคว้นซีอวี้อีกจะทำเช่นไรดี?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่กล้าสบตาเขา และถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“เหตุใดจึงถามขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า?” สายตาเฉียบแหลมของซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องมองนางอย่างถี่ถ้วน แต่น่าเสียดายที่แม่นางน้อยไม่ทันสังเกต
“เปล่า ไม่มีอันใด เพียงแค่รู้สึกว่าอามู่เต๋อจะต้องมีแผนร้ายอันใดอยู่เป็นแน่จึงยังไม่ไปจากเมืองหลวง จึงรู้สึกกังวลขึ้นมา ท่านก็รู้ว่าชายแดนของแคว้นซีอวี้ก็มีหมู่บ้านตระกูลหลิงอยู่ด้วย ถึงอย่างไรข้าก็เกิดที่นั่น” หลิงมู่เอ๋อร์หาข้อแก้ตัวขึ้นมา
แม่นางน้อยรู้สึกผูกพันกับหมู่บ้านตระกูลหลิงตั้งแต่เมื่อใด?
ยังจำได้ว่านางเกลียดชังสถานที่นั้นตั้งแต่แรก!
“หากเกิดการสู้รบขึ้นอีกครา ข้าย่อมต้องขอให้มีรับสั่งไปที่ชายแดน ถึงอย่างไรเปิ่นหวางจื่อก็มีประสบการณ์การสู้รบกับแคว้นซีอวี้ แต่…ข้าหวังว่าวันนั้นจะไม่มีวันมาถึง!”
“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์รีบเงยหน้าขึ้น หากไม่มีการสู้รบเช่นนั้นก็ไม่ต้องไปชายแดน นางก็จะไม่ได้ไปที่แคว้นซีอวี้ และไม่มีหนทางพิสูจน์ว่าคำพูดของคนผู้นั้นเป็นความจริงหรือความเท็จ
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกสงสัยในการซักไซ้ของนางขึ้นมาโดยพลัน ท่าทางที่เดิมที่สบายๆ ชะงักไปก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างจะจ้องมองเข้าไปตรงๆ “ดูท่าเมื่อครู่ยามที่อามู่เต๋อมาที่ตำหนักคงพูดเรื่องอื่นด้วยกระมัง?”
หน้าอกของหลิงมู่เอ๋อร์กระตุกไปครู่หนึ่ง เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองรีบร้อนเกินไป จึงรีบเบนสายตาออกไม่กล้าสบสายตากับเขา “คนผู้นั้นจะพูดอันใดได้อีกเล่า? ข้าเห็นเขาก็ล้วนอยากจะเข้าไปฆ่าเขาแทบไม่ทัน ไหนเลยจะให้โอกาสเขาได้พูดให้มากความ เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อข้าเล่า?”