เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 445 เก็บศพ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 445 เก็บศพ
เล่มที่ 15 ตอนที่ 445 เก็บศพ
“มหาเสนาบดีวางใจเถอะ แม้จะบอกว่าซั่งกวนเซ่าเฉินตบตาข้า แต่คำพูดเมื่อครู่ของข้าเมื่อพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ ข้าจะส่งคนไปที่อารามชีคิดหาทางพาบุตรีของท่านออกมา เจ้ากลับไปรอฟังข่าวที่จวนเถอะ”
“กระหม่อมขอบพระทัยองค์ชายหกเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
บนรถม้า หลันซือเฮ่อหลับตาลงพลางหวนนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ทั้งหมดที่พูดคุยกับองค์ชายหก จิตใจที่สงบค่อยๆ ปรากฏคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมา
หลังจากองค์ชายเจ็ดหมดอำนาจ เขาก็ไปเยี่ยมเยียนตำหนักองค์ชายหกทันที เป็นไปดังคาดที่องค์ชายหกได้ตรวจสอบเรื่องที่เขาร่วมมือกับองค์ชายเจ็ดไว้อย่างชัดเจนแล้ว จึงปฏิบัติต่อเขาอย่างระแวดระวัง
แต่เขามาพร้อมความจริงใจเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดแผนทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินและไท่จื่อแตกหักกันแทนอีกฝ่าย เพราะเหตุนี้จึงได้รับหน้าที่สำคัญมา
แม้ว่าในฐานะมหาเสนาบดีจะไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ฝ่ายองค์ชายคนใด แต่ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนมหาเสนาบดีช่วงนี้ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ก็ซูเช่อ ทั้งยังมีซั่งกวนเซ่าเฉิน หนึ่งก็จวนเสียนหวาน อีกหนึ่งก็ตำหนักองค์ชายรอง ล้วนหาใช่ผู้ที่เขาจะมีอำนาจไปทำให้สั่นคลอนได้
เขาต้องหาผู้ช่วย
องค์ชายเจ็ดก็ตายแล้ว เช่นนั้นก็มีเพียงองค์ชายหกผู้เดียวที่จะสามารถจัดการกับองค์ชายรองได้ ยามนี้จากที่เขาเห็นดูท่าเขาจะตัดสินใจไม่ผิด
แม้ภายนอกองค์ชายหกจะบอกว่าให้ความสำคัญกับเขาแต่แท้จริงแล้วก็ยังระแวดระวังเขาอยู่ ทว่าว่าหลังจากจับตาดูมาหลายวันเขาก็ยืนยันได้แล้วว่าองค์ชายหกเป็นผู้ที่โหดเหี้ยม ซึ่งมีเพียงเขาที่จะสามารถจัดการกับซั่งกวนเซ่าเฉินได้!ผู้ที่มาทำลายศักดิ์ศรีของจวนมหาเสนาบดีทั้งยังทำให้ลูกสาวของเขาต้องกลายเป็นแม่ชี ไม่ว่าจะเป็นซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์ ซูเช่อ ไท่จื่อ รวมถึงเจิ้งเฟยของไท่จื่อ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!
“หยุดรถม้า!” หลันซือเฮ่อเปิดม่านรถม้าและออกคำสั่งกับคนรถบังคับรถม้า “หันหัวรถม้ากลับไปที่อารามชี”
ช่วงนี้ไม่ได้ไปเยี่ยมหลันเชี่ยนหยิ่งหลายวัน แม้จะเป็นความผิดของนางตั้งแต่แรกจึงต้องมีจุดจบในสภาพเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวของเขา
“นายท่าน ยังเหลือเวลาอีกสามวันก่อนจะถึงเวลาเข้าเยี่ยมคุณหนู หากยังไม่ถึงเวลาเยี่ยมก็ไม่อาจเข้าไปในอารามชีได้ ท่านต้องการจะไปยามนี้เลยหรือขอรับ?” บ่าวรับใช้ข้างนอกเตือนด้วยเจตนาดี
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของหลันซือเฮ่อก็แปรเปลี่ยนไปเป็นบิดเบี้ยวดูดุร้ายโดยพลัน “สารเลว เจ้าสามารถมาสั่งสอนเรื่องที่ข้าจะทำได้ตั้งแต่เมื่อใด? ทำไม คิดจะมานั่งบนหัวข้าหรือ?”
บ่าวที่บังคับรถม้าคุกเข่าลงบนพื้นโดยพลัน “นายท่านโปรดระงับโทสะขอรับ บ่าวมิกล้า บ่าวจะหันหัวรถม้ากลับเดี๋ยวนี้ขอรับ จะหันหัวรถม้าแล้วขอรับ”
รถม้าเคลื่อนออกไปช้าๆ เพราะระยะทางค่อนข้างไกลยามที่มาถึงอารามชีฟ้าจึงค่อยๆ มืดลงแล้ว
หลันซือเฮ่อหยิบป้ายออกคำสั่งส่งให้บ่าวรับใช้ ให้เขาไปรายงานกับคนเฝ้า “ช้าก่อน ถือสิ่งนี้ไปด้วย มีเงินย่อมจัดการได้ง่าย”
บ่าวรับใช้เห็นเงินตำลึงในมือก็รู้สึกโลภขึ้นมา ทว่าเขาก็ไม่กล้ายักยอกเงินนี้ไว้
“ขอรับนายท่าน บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หลันซือเฮ่อยืนรออยู่ที่ข้างรถม้า หลังจากลูกสาวมาที่นี่เขาก็เคยมาหาอยู่สองครา คราหนึ่งมาตามกำหนดวันเข้าเยี่ยม อีกคราหนึ่งใช้วิธีเช่นนี้ในการพบคน
อารามชีแม้จะหาใช่สถานที่ลับอันใด แต่ถึงอย่างไรก็ถูกส่งมาตามรับสั่งของฮ่องเต้ จึงมีกฎว่ามิอนุญาตให้เข้าเยี่ยมตามใจชอบได้ ทว่าบนโลกนี้มีผู้ใดไม่ชอบเงินบ้างเล่า?
เขาตอบรับลูกสาวด้วยความเคยชิน ทั้งยังเพิ่มเงิน ตะเกียง และธูปมากขึ้นอีกหน่อย
ผ่านไปนานบ่าวรับใช้ก็ยังไม่กลับมา เขาจึงรอต่อไปไม่ไหว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
มหาเสนาบดีปรากฏตัวอย่างกะทันหันขึ้นข้างหลังทำให้บ่าวรับใช้สะดุ้ง จนเงินตำลึงในมือล้วนหล่นลงไปบนพื้น
เห็นบ่าวรับใช้ตัวสั่นงันงกผ่านไปนานก็ยังเงียบ หลันซือเฮ่อก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาโดยพลัน “ทำไม มิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเชี่ยนหยิ่งใช่หรือไม่?”
ไม่รอให้บ่าวรับใช้ตอบ เขาก็พุ่งตรงเข้าไปหาแม่ชีที่เฝ้าอยู่ “เกิดอันใดขึ้นกับเชี่ยนหยิ่งของจวนข้า? ให้ข้าไปเจอนางเสีย!”
หากเป็นยามปกติมีคนมาทำท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้ แม่ชีย่อมไม่ปล่อยเอาไว้ทั้งยังไล่เขาออกไปแล้ว แต่วันนี้พวกนางไม่มีความกล้าเช่นนั้น
“ท่าน ท่านมหาเสนาบดี ท่านโปรดระงับโทสะก่อน พวกเรากำลังคิดจะส่งคนไปรายงานที่จวนของท่านอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าท่านจะมาเช่นนี้ ท่าน ท่านเข้าไปดูเองเถอะเจ้าค่ะ”
เห็นพวกเขาทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญ หัวใจของหลันซือเฮ่อก็ราวกับถูกห้อยไว้ที่ลำคอ
หัวใจของเขาเต้น ‘ตึก ตึก ตึก’ อย่างรุนแรงโดยพลัน ไม่รู้เพราะเหตุใดก้นบึ้งในใจก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ราวกับกำลังจะสูญเสียสมบัติล้ำค่าอันใดไป
“รีบนำทางไปเร็ว!”
หลันซือเฮ่อออกคำสั่ง แม่ชีน้อยรีบร้อนวิ่งไปข้างหน้า
ทุกคนเดินผ่านบันไดกว่าร้อยขั้น ยามที่มาถึงอารามชีทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างโศกเศร้าดังขึ้น
“ในอารามชีมีผู้ใดล่วงลับหรือ” ทางด้านข้างมีศาสนิกชนถามแม่ชีข้างเขา
แต่ยามที่หลันซือเฮ่อได้ยินคำพูดนี้เท้าก็ก้าวพลาดจนเกือบล้มลงไป
“นายท่าน!” บ่าวรับใช้รีบเข้าไปพยุงเขาให้มั่นคง เห็นสีหน้าของเขาซีดเผือดทั้งยังมีท่าทีเหม่อลอย บ่าวรับใช้ก็รีบกล่าวปลอบใจ “บางทีอาจเป็นเรื่องผิดพลาดก็ได้ขอรับ นายท่านอย่าเพิ่งใจเสียไปเลยขอรับ”
“ไสหัวไป!”
ผลักบ่าวรับใช้ออกอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย หลันซือเฮ่อหายใจหอบถี่ในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง
ยามที่เดินตามแม่ชีน้อยมาถึงหน้าห้องของหลันเชี่ยนหยิ่ง รอบข้างก็มีผู้คนมากมาย ได้ยินเสียงพูดคุยบ้าง ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้บ้างดังขึ้นมาต่อเนื่องไม่หยุด
“มหาเสนาบดีหลัน ขอแสดงความเสียใจด้วยเจ้าค่ะ”
หลังสิ้นคำพูดนี้แม่ชีน้อยก็เกรงว่าเขาจะตำหนิตัวเองจึงรีบร้อนหนีไป
แต่เพราะคำพูดนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่ล้อมอยู่หน้าประตูห้องของหลันเชี่ยนหยิ่ง พากันกระจายตัวออกเป็นสองฝั่งเพื่อแยกเป็นทางเดินสายหนึ่ง และแสดงความเคารพโดยพลัน
ทางเส้นนี้ทำให้หลันซือเฮ่อเห็นสถานที่ปลายทางกลางห้องอย่างชัดเจน ที่นอนอยู่คือศพ…ของหลันเชี่ยนหยิ่ง
“เชี่ยนหยิ่ง!”
แต่ไหนแต่ไรหลันซือเฮ่อก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งคนผมขาวจะต้องมาส่งคนผมดำ
แต่เมื่อเขาเห็นร่างที่แข็งทื่อ และแก้มที่เย็นเฉียบของลูกสาวอย่างชัดเจน ไม่มีทั้งลมหายใจ ไม่มีทั้งรอยยิ้ม เขาก็ราวกับพังทลาย
“เชี่ยนหยิ่ง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเจ้าบอกข้ามาว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!”
‘เปรี้ยง’
เสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นนอกประตูรวมทั้งเสียงคำรามของเขาทำให้ทุกคนพากันตัวสั่นเทิ้ม
เห็นดวงตาแดงก่ำของเขาและใบหน้าที่คำรามออกมา ทำให้มีบางคนที่ขี้ขลาดวิ่งหนีไปแล้ว เหลืออยู่เพียงอาจารย์ไม่กี่ท่านของหลันเชี่ยนหยิ่งที่ยืนอย่างกล้าหาญอยู่ที่เดิมไม่จากไปทั้งยังเดินเข้ามาใกล้เขาอีกด้วย
“อมิตาพุทธ ขอแสดงความเสียใจกับท่านมหาเสนาบดีหลันด้วย พวกเราก็คาดไม่ถึงว่าเชี่ยนหยิ่งจะคิดสั้นเช่นนี้! เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนมารายงานว่านางคิดจะแขวนคอตัวเอง พวกเราหาคนมาเฝ้าจับตาดูมาโดยตลอด แต่คาดไม่ถึงว่าแม่ชีที่เฝ้าอยู่เพียงแค่ไปปลดทุกข์เท่านั้น นางก็แขวนคอ…จบชีวิตตัวเองไปเสียแล้ว”
ยามที่แม่ชีเฒ่ากล่าวเช่นนี้ ในดวงตาก็มีความโศกเศร้าอย่างลึกล้ำ
แม้จะบอกว่าใช้เวลากับหลันเชี่ยนหยิ่งมาไม่นาน แต่จะกี่มากน้อยก็ยังรู้สึกผูกพัน
สตรีผู้งดงามราวบุปผาเปรียบดั่งหยกซึ่งอยู่ข้างกายต้องมาจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ นางจะไม่รู้สึกเสียใจได้อย่างไร
“ไม่ ลูกสาวข้าจะปลิดชีพตัวเองได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ นางต้องถูกฆ่าเป็นแน่ พวกเจ้าตรวจสอบให้ชัดเจนเสีย นางจะต้องถูกฆ่าเป็นแน่ เป็นไปไม่ได้!”
หลันซือเฮ่อคิดจะคว้าคอเสื้อของแม่ชีเฒ่ามาถามอย่างเสียสติ แต่ทุกคนเห็นเขาก็ราวกับเห็นตัวซวยจึงรีบหลบเลี่ยงออกไปไกล
บ่าวรับใช้เห็นเช่นนั้นก็รีบรวบร่างของนายท่านจวนตัวเองจากข้างหลัง “นายท่านโปรดระงับความโศกเศร้าก่อนขอรับ นายท่าน นายท่านโปรดระงับโทสะก่อนขอรับ คุณหนูใหญ่จากไปแล้วแต่ยังต้องเหลือแดนสุขาวดีไว้ให้คุณหนูใหญ่นะขอรับนายท่าน”
“ไสหัวไป ไสหัวไปเสีย!”
ทนรับการจู่โจมเช่นนี้ไม่ไหวอย่างแท้จริง หลันซือเฮ่อรู้สึกเพียงว่าร่างกายโซเซ ขาทั้งสองข้างยืนไม่มั่นคงก่อนจะคุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างแรง เห็นคนที่คุ้นเคยเบื้องหน้าไม่หายใจ ไม่มีรอยยิ้ม จากโลกนี้และจากเขาไปอย่างโดดเดี่ยว หัวใจของเขาก็ราวกับถูกคนเอามีดมาคว้านเนื้อจนเลือดไหลริน เจ็บปวดเจียนขาดใจ!
“อ๊าก!!!”
หลันซือเฮ่อเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า แต่แม้จะทำเช่นนี้ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงตรงหน้าได้
ลูกสาวข้าจากไปแล้ว!
“เชี่ยนหยิ่ง เป็นพ่อที่มาช้าไปก้าวหนึ่ง เป็นพ่อที่มาช้าไป หากพ่อมาเร็วกว่านี้เสียหน่อยเจ้าคงไม่ต้องเลือกใช้วิธีเช่นนี้ในการหลีกหนีจากทะเลแห่งความทุกข์ พ่อขอโทษ!”
“เด็กโง่ เหตุใดจึงไม่ยอมรอเสียหน่อย แค่คืนเดียว ไม่ แค่หนึ่งชั่วยาม หากเจ้ารอแค่หนึ่งชั่วยามเจ้าจะรู้ว่าพ่อหาทางช่วยเจ้าออกไปได้แล้ว พ่อมารับเจ้ากลับบ้านแล้ว!”
“เชี่ยนหยิ่ง เชี่ยนหยิ่ง!”
หลันซือเฮ่อรู้สึกเพียงว่าดวงตามืดมิด ก่อนทั้งร่างจะล้มลงไป
ในอารามชีเข้าสู่ความวุ่นวาย มีคนตะโกนให้ไปหาหมอทั้งยังมีบางคนที่ถอยหนี สายฝนโปรยปรายลงมาราวกับเป็นการส่งหลันเชี่ยนหยิ่งที่จากไปแล้ว
“ไท่จื่อ เจิ้งเฟยของไท่จื่อ ซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์ เป็นพวกเจ้าที่ทำให้ลูกสาวข้าตาย ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้าถูกฝังไปกับนางด้วยให้ได้!”
หลันซือเฮ่อที่ถูกหามลืมตาขึ้นมาอย่างเงียบๆ กลับไปมองลูกสาวที่ตายตาไม่หลับบนพื้น มือทั้งสองข้างของเขาก็กำหมัดแน่น
“เชี่ยนหยิ่ง พ่อจะต้องล้างแค้นให้เจ้าแน่นอน เจ้ารออยู่ข้างล่างนั่นก่อนเถอะ พ่อจะทำให้พวกมันต้องตามไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย!”
ณ ตำหนักองค์ชายรอง
หลิงมู่เอ๋อร์ทำการค้นคว้าทั้งคืน แม้จะหาได้พบสิ่งใหม่อันใด แต่นางก็พัฒนายาลูกกลอนชนิดใหม่ขึ้นมาจนสามารถควบคุมความวุ่นวายของชีพจรของนางได้ชั่วคราว
หลังจากกินยาลูกกลอนลงไปก็รู้สึกว่าร่างกายสบายขึ้นมากราวกับกระฉับกระเฉงขึ้น นางกำลังคิดจะออกไปนั่งที่โรงหมอ ผลคือซางจือกลับวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน
“คุณหนู แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู ท่านลองเดาสิเจ้าคะว่าเกิดอันใดขึ้น!”
เห็นนางหายใจไม่ทัน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วเงยหน้ามองฟ้า “หิมะยังไม่ตกแม้แต่ฟ้าก็ยังไม่ถล่มลงมา แล้วเจ้าตื่นตระหนกอันใด?”
“นี่มันเวลาใดคุณหนูยังจะมีอารมณ์ล้อเล่นได้อีกหรือเจ้าคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!”
“ข้าไม่ได้ออกจากตำหนักทั้งวันจะไปรู้อันใดได้ พูดมาเถอะว่าเจ้าไปได้ยินเรื่องสนุกอันใดมา?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามอย่างไม่ใส่ใจ ยามนี้สำหรับนางแล้วนอกจากยืนยันว่าคำพูดของอามู่เต๋อเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ รวมถึงจุดจบของฉินรั่วเฉิน ก็ไม่มีสิ่งใดที่นางรู้สึกว่าสำคัญอีกแล้ว
“หลันเชี่ยนหยิ่งตายแล้วเจ้าค่ะ!”
บึ้ม
หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์จมดิ่งลง ยามที่เงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับแววตาที่หวั่นเกรงของซางจือเข้าพอดี
“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ?”
“ข่าวลือเป็นความจริงแน่นอนเจ้าค่ะ หลันเชี่ยนหยิ่งผูกคอตายอยู่ที่อารามชี ได้ยินว่าวันนี้มหาเสนาบดีหลันไปเยี่ยมนางพอดี ผลคือไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวทั้งยังต้องเก็บศพนางกลับมา จนมหาเสนาบดีหลันหมดสติลงไปตรงนั้นเลยเจ้าค่ะ”
ซางจือพูดออกมารวดเดียวจบในลมหายใจเดียวทั้งยังตบที่หน้าอกไปด้วย “สวรรค์ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ดีๆ เหตุใดจึงคิดสั้นจนปลิดชีพตัวเองเช่นนี้เล่า ยิ่งไปกว่านั้นพ่อของนางยังเป็นมหาเสนาบดีของราชสำนัก การเข้าอารามชีไปก็เป็นแค่การแสร้งทำเท่านั้น ขอเพียงมหาเสนาบดีหลันคิดวิธีได้ คนมิใช่ว่าบอกจะออกมาก็สามารถออกมาได้เลยหรือเจ้าคะ คนผู้นี้เหตุใดต้องคิดสั้นเช่นนี้ด้วย”
ได้ยินความคิดของซางจือ ก้นบึ้งในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ไหนเลยจะมิได้มีความคิดเช่นเดียวกับนาง
แม้จะบอกว่าหลันเชี่ยนหยิ่งวางแผนฆ่านางก่อนตั้งแต่แรก การต้องร่อนเร่ไปเป็นแม่ชีก็นับเป็นโทษที่สมควรแล้ว แต่ชีวิตคนเมื่อถึงยามจากไปก็จากไปไม่ร่ำลา ในใจก็รู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ
ได้ยินคำว่ามหาเสนาบดีหลันอีกครา ไม่รู้เพราะเหตุใดลมหายใจของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา
“เร็วเข้า ส่งคนไปรายงานเรื่องนี้แก่เซ่าเฉินเดี๋ยวนี้ ให้เขาระวังตัวให้ดี”
ซางจือไม่เข้าใจ “ระวังตัว? ความหมายของคุณหนูคือองค์ชายรองตกอยู่ในอันตรายหรือเจ้าคะ? ใต้เท้ามหาเสนาบดีจะกล้าลอบสังหารองค์ชายรองหรือเจ้าคะ? คนผู้นี้มิใช่ว่าจะถูกองค์ชายรองฆ่าเอาหรือเจ้าคะ”