เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 435 ตั้งครรภ์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 435 ตั้งครรภ์
เล่มที่ 15 ตอนที่ 435 ตั้งครรภ์
ฮ่องเต้ประชวรหนักวันนี้จึงยังมิได้ให้คำตอบ หลังจากทรงได้สติไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องให้คำตอบ
ผืนแผ่นดินทั่วทั้งแคว้นรวมถึงเหล่าปวงประชาราษฎร ไหนเลยจะมิใช่เสด็จพ่อที่เป็นห่วงเป็นใยมากที่สุด?
เสด็จพ่อ
เสด็จพ่อที่เป็นวีรบุรุษมาทั้งชีวิตจะยอมมอบแคว้นที่พิชิตมายามอยู่บนหลังม้าให้ผู้ที่เดินทางสายกลาง ทั้งยังไร้ความสามารถได้อย่างไร?
เกรงว่า…
“เจ้ารีบไปที่ตำหนักไท่จื่อก่อนยิ่งเร็วยิ่งดี” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวกำชับ
“วางใจได้เลย”
ยามที่หนานกงอี้จือหมุนกายจากไป ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กลับไปอยู่ข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์ นางยังหลับอยู่มิได้ตื่นขึ้นมา
ไม่รู้เพราะเหตุใดการที่นางหลับไปยังทำให้เขาตึงเครียดยิ่งกว่าการต้องจัดการองค์ชายหกเสียอีก ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็ราวกับถูกแขวนไว้ในลำคออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกับจะสามารถขัดขวางลมหายใจของเขาได้
“มู่เอ๋อร์?” ซั่งกวนเซ่าเฉินลองเรียกแต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองอันใด
ลองจับหน้าผากดูก็หาได้มีอาการไข้ขึ้นแต่อย่างใด
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน?”
ในใจรู้สึกกังวลรู้สึกราวกับกำลังจะสูญเสียนางไป
ไม่ เขาเสียนางไปไม่ได้!
“ให้คนเข้ามา!” เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปต้องการจะไปตามหมอมา
“ไม่ทราบว่าองค์ชายรองมีรับสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” บ่าวรับใช้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู
“ไปตามหมอหลวงในวังมาเดี๋ยวนี้ และไปที่โรงหมอของสนมรักแล้วไปเรียกซางจือกับเจี้ยงเซียงมา” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินร้อนรนทั้งยังกังวลยิ่ง
บ่าวรับใช้ได้ยินก็รู้สึกได้จึงรีบวิ่งออกไปโดยไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย
ในสำนักหมอหลวงของวังหลวงจะมีผู้ใดไม่รู้สถานะและสมญานามของหลิงมู่เอ๋อร์? ยามที่ได้ยินว่านางป่วยหนักจึงมาเชิญพวกเขาไปตรวจอาการ ทุกคนก็ต่างเชิดหน้าอย่างหยิ่งยโสราวกับไปขอร้องพวกเขา ทว่ายามที่พวกคร่ำครึเหล่านั้นเห็นสีหน้าอึมครึมขององค์ชายรอง ที่ราวกับจะสามารถปลิดชีวิตคนเฒ่าเช่นพวกเขาได้ทุกเมื่อก็พากันก้มศีรษะอย่างรู้จักเจียมตัว
“กระหม่อมขอถวายความเคารพองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสามคนคุกเข่าลงตรงหน้าด้วยความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
“รบกวนแล้ว” คำพูดที่กระชับได้ใจความเป็นนิสัยประจำตัวองค์ชายรอง ซึ่งเหมือนจะพูดกับผู้อื่นน้อยมากหรือมิพูดอันใดเลย
หลังจากหมอหลวงทั้งสามต่างสบตากันก็รีบไปอยู่รอบข้างตัวหลิงมู่เอ๋อร์ ที่จับชีพจรก็จับชีพจรไป ที่ตรวจอาการก็ตรวจอาการไป มิมีผู้ใดกล้ารอช้าแม้แต่คนเดียว
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป หมอหลวงนามว่าเยี่ยนพั่นหลังปรึกษากับอีกสองคนก็ลุกขึ้นมาเป็นตัวแทนรายงาน “ทูลองค์ชาย ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ ดูจากชีพจรของเจิ้งเฟยแล้วนางกำลังตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะลึงงันไปโดยสมบูรณ์
แต่ไหนแต่ไรเขาก็หาได้เคยยิ้มต่อหน้าผู้อื่นง่ายๆ แต่มุมปากของเขากลับยกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ แม้เขาพยายามกดมันลงไปแต่เขาก็ทำไม่ได้
“กระหม่อมจะกล้าหลอกลวงองค์ชายรองได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนพั่นกล่าวยิ้มด้วยสีหน้าเอาใจและประจบสอพลอ
“แต่หากตั้งครรภ์เหตุใดจึงดูเหมือนไม่สบายเช่นนี้? ยิ่งไปกว่านั้นยังถึงขั้นไม่ตื่นขึ้นมาอีก?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองสตรีบนเตียง คิ้วยังขมวดแน่นเข้าหากันราวกับตัวบุ้งสองตัวดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง
“นี่…” เยี่ยนพั่นหันกลับไปสบสายตากับอีกสองคน “นี่เป็นเรื่องที่พวกกระหม่อมสามคนกำลังจะกราบทูลองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
“ชีพจรของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่ศึกษาวิชาแพทย์มาหลายปีกระหม่อมไม่เคยเห็นชีพจรเช่นนี้มาก่อน หากกล่าวว่านางมีอาการของโรคนางก็มิได้มีอาการป่วยอันใด หากกล่าวว่านางมิได้มีอาการป่วยทว่าชีพจรของนางก็อ่อนลงราวกับเป็นผู้ป่วยแต่บางครั้งก็เต้นแรงยิ่ง ว่ากันตามหลักแล้วแม้จะเหนื่อยก็ยังไม่น่าอยู่ในสภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้ องค์ชายรองพระองค์ทรงคิดว่า…”
เยี่ยนพั่นหาคำตอบมาอธิบายไม่ได้จริงๆ
แต่ในหัวของซั่งกวนเซ่าเฉินสว่างวาบขึ้นมาโดยพลัน มีเพียงสองพยางค์ที่ปรากฏขึ้นมาในสมอง..มิติ
ใช่แล้ว ร่างกายหลิงมู่เอ๋อร์ซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่นั้นไว้อยู่ พื้นฐานร่างกายของนางต่างจากคนปกติ เช่นนั้นยามตั้งครรภ์ก็ย่อมต่างออกไปจากผู้อื่นมิใช่หรือ?
“องค์ชายรอง ซางจือและเจี้ยงเซียงมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” ข้างนอกประตูมีบ่าวรับใช้มารายงาน
“เข้ามา!” ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้หันกลับไป กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลัง
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” ซางจือเดินเข้าไปก่อน เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว กล่าวจบก็กำลังจะพุ่งเข้าไปแต่กลับถูกเจี้ยงเซียงขวางไว้เสียก่อน
“ซางจืออย่าเสียมารยาท” เจี้ยงเซียงส่ายศีรษะทั้งยังใช้สายตาชี้ไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ด้านข้าง
ซางจือเพิ่งตระหนักได้ว่าที่นี่หาใช่จวนตระกูลหลิง ที่นี่คือตำหนักองค์ชายรองซึ่งมีกฎเกณฑ์มากมาย
“ซางจือ / เจี้ยงเซียงขอถวายความเคารพองค์ชายรองเพคะ”
“ไปดูอาการคุณหนูของพวกเจ้าก่อน” ซั่งกวนเซ่าเฉินออกคำสั่งเอนตัวไปด้านข้าง
ซางจือและเจี้ยงเซียงตกใจกับท่าทางความเป็นนายเช่นนั้นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้ารีรอจึงรีบตรงเข้าไป
พวกนางล้วนเป็นผู้ที่ได้รับความสำคัญอยู่ข้างกายคุณหนู ก้นบึ้งในใจพวกนางคุณหนูคือผู้มีพระคุณของพวกนาง เป็นทั้งคุณหนูทั้งเจ้านายทั้งยังเป็นเหมือนพี่สาวร่วมสายเลือด
อยู่ข้างกายคุณหนูมาช่วงสั้นๆ ไม่กี่ปีไหนเลยจะเคยเห็นคุณหนูอ่อนแอเช่นนี้?
ซางจือกังวลแทบแย่แล้ว เมื่อลองจับชีพจรแต่กลับพบสถานการณ์แปลกๆ จึงทำให้นางอับจนหนทาง “เจี้ยงเซียง?”
เจี้ยงเซียงได้รับสายตาขอความช่วยเหลือจึงรับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไปโดยพลัน
ทางด้านข้าง เยี่ยนพั่นเห็นองค์ชายรองพอใจที่เด็กสาวสองคนนี้มาตรวจอาการของเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง ก็รู้สึกแค่ว่าองค์ชายรองกำลังดูถูกพวกเขา สีหน้าจึงบิดเบี้ยวอีกทั้งก้นบึ้งในใจยังบังเกิดความแค้นเคือง
“แม่หนูสองคนนี้อายุยังน้อยก็แล้วไปเถอะ ทว่าถึงแม้จะได้เรียนวิชาแพทย์ตั้งแต่อายุยังน้อยแต่จะมีฝีมืออยู่ระดับใดกันเชียว?” เยี่ยนพั่นแค่นเสียงเย็น
“แม่นางสองคนนี้ดูอายุยังไม่มาก คาดไม่ถึงว่าจะได้รับความสำคัญจากองค์ชายรอง แต่ดูอย่างถี่ถ้วนแล้วพวกแม่นางคือคนที่เป็นลูกมือของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองกระมัง” หนึ่งในหมอหลวงกล่าวอย่างอิจฉา
ซางจือและเจี้ยงเซียงได้รับการฝึกฝนจากหลิงมู่เอ๋อร์มานานแล้ว จะไม่ได้ยินเสียงตาเฒ่าสองคนที่กำลังดูถูกพวกนางได้อย่างไร พวกนางสบตากันมิได้หยุดหาต้นสายปลายเหตุ
“ทูลองค์ชายรอง คุณหนูมิได้ป่วยหนักเพคะ” ซางจือลุกขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ป่วย? ป่วยจริงหรือ?” ได้ยินคำว่า ‘ป่วย’ มิใช่คำว่า ‘ตั้งครรภ์’ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ราวกับตกจากสวรรค์ลงมาสู่นรกโดยพลัน แม้ก้นบึ้งในใจจะรู้สึกว่างเปล่าอยู่บ้างแต่ก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งสำคัญคือความปลอดภัยของหลิงมู่เอ๋อร์
“ตกลงเกิดอันใดขึ้นกับมู่เอ๋อร์?”
“องค์ชายรองมิจำเป็นต้องเคร่งเครียดเพคะ เป็นความจริงที่คุณหนูตั้งครรภ์ แต่หากหม่อมฉันคาดเดาไม่ผิดเป็นเพราะพื้นฐานร่างกายของคุณหนูมีความพิเศษ สาเหตุจากการกินยาตลอดทั้งปีทำให้ร่างกายของนางต่างจากคนปกติ กอปรกับช่วงนี้เหนื่อยล้าทำให้หลอดเลือดหัวใจขยายตัว ทั้งยังกำลังตั้งครรภ์อยู่ทำให้ร่างกายยากจะปรับตัวไปช่วงหนึ่ง จึงส่งผลให้ไม่ตื่นขึ้นมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพคะ” เจี้ยงเซียงอธิบายอย่างละเอียดด้วยสีหน้าสงบไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย
เห็นนางกล่าวออกมาอย่างสมเหตุสมผล สายตาไม่อยากจะเชื่อของหมอหลวงเยี่ยนพั่นก็พุ่งตรงไป “หลอดเลือดหัวใจขยายตัวอันใด เด็กน้อยเจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล!”
“ท่านหมอดูอาการป่วยไม่ออก มิได้หมายความว่าพวกข้าจะดูไม่ออกเหมือนกันนะเจ้าคะ” เจี้ยงเซียงไม่ได้โกรธที่ถูกเยี่ยนพั่นดูถูก แต่กลับมีท่าทีหยิ่งผยองยิ่งกว่าเขา “ข้าและซางจือเป็นลูกศิษย์ที่คุณหนูภาคภูมิใจ คุณหนูถ่ายทอดความรู้ทางการแพทย์ที่จำเป็นให้พวกเราหมดแล้ว พวกเราจะพูดจาเหลวไหลได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“ใช่ ตัวท่านเองมองอาการป่วยไม่ออกแล้วมาอิจฉาที่คนอื่นมองออก อายุก็มากถึงเพียงนี้แล้วช่างไม่ละอายใจเสียบ้างเลยเจ้าค่ะ!” ซางจือดูแคลนคนเช่นนี้มากที่สุด
นางหันกลับไปไม่คิดจะพูดคุยกับคนเฒ่าพวกนี้ให้มากความอีก ยามที่มองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินก็หยิบขวดยาออกมาจากอก “องค์ชายรองโปรดวางพระทัยเพคะ คุณหนูไม่เป็นอันใดจริงๆ ยานี้คุณหนูได้คิดค้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยของคุณหนูได้พอดี ไม่สู้ป้อนให้คุณหนูกินเสียหน่อยจะดีกว่าเพคะ”
ได้ยินเรื่องบังเอิญเช่นนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ดีใจยิ่ง “เช่นนั้นยังมัวรออันใดอยู่อีก?”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” เยี่ยนพั่นรีบก้าวออกมา “คนตั้งครรภ์อยู่จะให้กินยาง่ายๆ ได้อย่างไร พวกเจ้าสองคนยังเด็กไม่รู้จะช่วยคนอย่างไรยังจะไปทำร้ายคน หลักการนี้ผู้ใดเป็นคนสอนพวกเจ้ากัน!”
“ใครบอกว่าคนตั้งครรภ์ไม่อาจกินยาได้เจ้าคะ?” เจี้ยงเซียงก็หาได้ร้อนรน “ในท้องของผู้ที่ตั้งครรภ์มีชีวิตใหม่อยู่ เด็กยังเล็กเป็นความจริงที่ไม่สามารถกินยาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทานยาใดไม่ได้เลย! ยาบำรุงนี้เป็นสิ่งที่คุณหนูปรุงไว้หาได้มีพิษอันใด หากหมอหลวงท่านนี้ไม่เข้าใจพวกเราสามารถมอบให้ท่านเอากลับไปศึกษาอย่างละเอียดได้ แต่ท่านอย่าได้ทำให้เวลาในการฟื้นขึ้นมาของคุณหนูต้องล่าช้าอีกเลยเจ้าค่ะ” ชนร่างของเยี่ยนพั่นอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ก่อนเจี้ยงเซียงจะป้อนยาให้หลิงมู่เอ๋อร์
ผลคือไม่นานหลังจากนั้น คนที่เดิมทียังหลับใหลอยู่ก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
“คุณหนูท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?” ซางจือดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“มู่เอ๋อร์!” ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินเสียงก็รีบพุ่งเข้ามา
“ฟื้น ฟื้นแล้วจริงหรือ?” หมอหลวงเยี่ยนพั่นรวมถึงหมอหลวงอีกสองคนมองมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตามการวินิจฉัยอาการของพวกเขา อาการนอนหลับนี้จะยังคงเป็นต่อไปอย่างน้อยสิบชั่วยาม ฟื้นขึ้นมาเพราะกินยาเมื่อครู่เข้าไปจริงหรือ?
นั่นมันยาเทวดาอันใดกัน?
“ข้าเป็นอันใดไปหรือ?” ราวกับนอนหลับลึกเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาตรงหน้าก็มีผู้คนมากมาย หลิงมู่เอ๋อร์จึงตอบสนองไม่ถูกอยู่บ้าง
“เจ้าท้องแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ทันสังเกตเล่า? หากข้ารู้ว่าร่างกายเจ้าตั้งครรภ์ช่วงนี้จะยังปล่อยให้เจ้าตามข้าไปทั่วได้อย่างไร เด็กโง่เจ้าทำข้าเป็นห่วงแทบตายแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกอดนางไว้ในอ้อมแขนโดยไม่สนใจผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง
หลิงมู่เอ๋อร์พิงอยู่ที่อกของเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรง ก่อนจะเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาพูดว่าตั้งครรภ์หรือ?
“ท่านพูดว่าอย่างไรนะ? ตั้งครรภ์หรือ?”
นางผู้ทะลุมิติมาจากโลกอื่น ผู้ที่ได้เกิดใหม่ คาดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาและสถานที่อันแปลกประหลาดนี้จะตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้วหรือ?
“เจ้าค่ะคุณหนู ยินดีด้วยเจ้าค่ะ!” ซางจือและเจี้ยงเซียงกล่าวแสดงความยินดีเป็นเสียงเดียวกัน
หลิงมู่เอ๋อร์รีบจับชีพจรตัวเอง แม้ชีพจรจะอ่อนยิ่งแต่ก็ต่างจากปกติจริงๆ
ภายในร่างกายของนางมีหัวใจอีกดวงเต้นอยู่จริงหรือ?
“มิน่าเล่าช่วงนี้จึงรู้สึกว่าร่างกายไม่สบาย เหตุใดข้าจึงคาดไม่ถึง…” หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้น รู้สึกเพียงว่าช่วงนี้อาจจะมีเรื่องราวมากเกินไปทำให้มองข้ามตัวเองไป
“เด็กโง่ กลายเป็นคนสะเพร่าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอันใด”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกระชับแขนทั้งสองข้างกอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้น ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจลึกๆ จึงรู้สึกว่าได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับมาอีกครา
“ใช่เจ้าค่ะแม่นาง ท่านสะเพร่าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ แม้แต่เรื่องที่ตัวเองท้องก็ยังไม่ทราบ แต่ยังดีที่มียาที่ท่านคิดค้นขึ้นมาอยู่ หรือนี่จะเป็นเจตจำนงของสวรรค์เจ้าคะ? สิ่งที่ท่านคิดค้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ได้เอามาใช้ประโยชน์ คุณหนูเป็นแม่นางเซียนแพทย์จริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ แม้แต่เทพยดายังคุ้มครองคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
ซางจือมีวาทศิลป์มากนัก ยิ่งพูดก็ยิ่งฟังดูสมเหตุสมผล
เห็นได้ชัดว่าเป็นนางที่สะเพร่า แม้แต่รอบเดือนของตัวเองยังลืมไปได้ทำให้ไม่รู้เรื่องที่ตัวเองท้อง แต่ก็ยังยกย่องว่านางวิเศษยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวออกมาอย่างซุกซนหนึ่งประโยค มองไปทางพวกคนเฒ่าที่อยู่ด้านข้างอีกครา แม้จะไม่รู้สถานะของพวกเขาแต่ก็สามารถแยกแยะจากเครื่องแบบที่พวกเขาสวมอยู่ได้ ดูท่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะเป็นห่วงสุขภาพของนางจึงไปเชิญหมอหลวงมา
“รบกวนหมอหลวงทั้งสามท่านแล้ว ในเมื่อมู่เอ๋อร์ฟื้นแล้วก็ไม่ขอรบกวนพวกท่านอีก” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบสายตาก็มองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน สื่อเป็นความนัยว่า ‘เชิญสามคนนี้ออกไปได้แล้ว’
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดิมกำลังอารมณ์ดี ยามที่มองทั้งสามคนก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความโกรธเกรี้ยว
“หมอหลวงยังสู้เด็กสาวสองคนไม่ได้เลย เช่นนั้นเปิ่นหวางจื่อสามารถคิดได้หรือไม่ว่า อาการประชวรของเสด็จพ่อถูกพวกเจ้าทำให้รักษาล่าช้า!”
ประโยคเดียวเสียงไม่ดังไม่เบาแต่กลับมีพลังรุนแรงยิ่ง
ทั้งสามคนคุกเข่าลงบนพื้นโดยพลัน “ขอองค์ชายรองโปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“พวกเจ้ามิได้ฆ่าคนจะมาบอกให้ไว้ชีวิตอันใด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มเย็น
“นั่น…” เยี่ยนพั่นเงยศีรษะมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา เขาทำใจกล้า “ทูลองค์ชาย ความจริงเป็นเพราะชีพจรของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองมีความพิเศษ เมื่อครู่จึงทำให้พวกกระหม่อมวินิจฉัยผิดพลาดไป หากองค์ชายรองให้โอกาสพวกกระหม่อมอีกสักครั้ง ให้พวกกระหม่อมได้ตรวจชีพจรเจิ้งเฟยขององค์ชายรองอีกครา พวกกระหม่อมจะต้องตรวจพบความผิดปกติเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”