เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 434 อึดอัดใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 434 อึดอัดใจ
เล่มที่ 15 ตอนที่ 434 อึดอัดใจ
“เสด็จพี่รอง หรือเสด็จพี่ไม่พอใจเรื่องที่น้องหามือสังหารที่ลอบสังหารพี่เจ็ดเจอ?”
ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับไปโดยพลัน ฉินรั่วเฉินก็เข้ามาใกล้หูเขาอย่างแม่นยำด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้ายราวกับจงใจพูดให้เขาได้ยินคนเดียว
“เป็นฆาตกรตัวจริงหรือแพะรับบาปเล่า เหตุใดน้องหกจึงทำเช่นนี้?”
“มิใช่เพื่อช่วยท่านหรือ?” ฉินรั่วเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ
หากไม่รู้จักนิสัยของเขาดี ซั่งกวนเซ่าเฉินจะต้องเชื่ออย่างสุดใจเป็นแน่ว่าน้องชายผู้นี้คิดขอพึ่งพิงเขาจากใจจริง
“ตลอดมาน้องคิดว่าเสด็จพี่คือผู้ที่จะได้รับหน้าที่ใหญ่หลวงเป็นแน่ ส่วนคนผู้นั้นที่อยู่ตำหนักบูรพาจะมาเทียบท่านได้อย่างไร?” ฉินรั่วเฉินยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มกลับกลอก
“เจ้าอย่ามาเหลวไหล!” ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับไปโดยพลันจนสบสายตากับเขาเข้าพอดี
ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันราวกับในดวงตาของแต่ละฝ่ายต่างมีลูกไฟสว่างอยู่ในนั้น
ฉินรั่วเฉินกลับเป็นคนที่ละสายตาออกไปก่อน “เสด็จพี่ น้องต้องการช่วยท่านจากใจจริง การแสดงนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับเข้าไปในรถม้าสีหน้าก็ไม่น่าดูอย่างช่วยไม่ได้
“เป็นอย่างไรบ้างญาติผู้พี่ คนผู้นั้นพูดอันใดหรือ?” หนานกงอี้จือรีบร้อนอย่างอดรนทนไม่ได้ เขาสาบานว่าขอเพียงญาติผู้พี่ฟ้องออกมาประโยคเดียว เขาจะกระโดดลงจากรถม้าไปคิดบัญชีกับคนผู้นั้นทันที
“ไม่มีอันใด แต่จวนเสียนหวางถูกเขาจับตามองเสียแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่คิดจะปิดบังความจริงที่องค์ชายหกคิดจะลงมือ
ยามที่นึกว่าซูเช่อช่วยเหลือเขาไว้มากมาย เขาก็มองไปทางหนานกงอี้จือโดยพลัน “หาคนที่เชื่อใจได้ไปบอกซูเช่อว่าหนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวความผิดพลาดหนึ่งในหมื่น ให้ระแวดระวังทุกเรื่องเอาไว้ด้วย”
ญาติผู้พี่เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมเช่นนี้ทำให้หนานกงอี้จือจริงจังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฉินรั่วเฉินผู้นี้ตกลงคิดจะทำอันใดกันแน่? เขาจับตามองฉินเสียนถิงก็แล้วไปเถอะ แต่ซูเช่อจะสามารถคุกคามอันใดเขาได้หรือ?”
“ความสามารถของซูเช่อหาได้ธรรมดาอย่างที่ท่านเห็น แม้ซูเช่อจะเป็นเสียนหวางแต่คนที่สนับสนุนเขามีมากกว่าผู้ที่สนับสนุนองค์ชายหกมากนัก ฉินรั่วเฉินจับตามองซูเช่อเกรงว่าจะเหมือนที่ฝ่าบาทจับตามองเหล่าขุนนาง” เสียงอ่อนแรงของหลิงมู่เอ๋อร์ดังขึ้นมาเบาๆ แต่กลับเปิดโปงความลับออกมาได้ในคราเดียว
“ไม่ผิด หากฉินรั่วเฉินต้องการตำแหน่งนั้นจริง เขาไม่เพียงแต่ต้องถอนรากถอนโคนไท่จื่อและข้าแต่รวมไปถึงซูเช่อด้วย!” ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“อี้จือรีบส่งองครักษ์ครึ่งหนึ่งไปแอบคุ้มกันอยู่นอกจวนเสียนหวางเสีย!”
“ครึ่งหนึ่ง?” หนานกงอี้จือไม่เห็นด้วย “นั่นมิใช่ว่าเป็นการตัดกำลังพลของพวกเราอย่างเห็นได้ชัดหรือ? หากเกิดอันตรายขึ้นกับท่านและมู่เอ๋อร์จะทำอย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อซูเช่อเก่งกาจยิ่ง คนข้างกายเขาย่อมต้องมิด้อยไปกว่าเขานัก พวกเราจำเป็นต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นด้วยหรือ? กับนางแล้วซูเช่อยัง…”
หนานกงอี้จือพูดอย่างรวดเร็ว สายตาก็มองผ่านร่างหลิงมู่เอ๋อร์
สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินมืดครึ้ม แต่เพียงวินาทีต่อมาก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาโดยพลัน “หนานกงอี้จือ ข้าไม่สนว่าในสมองเจ้าจะคิดเรื่องเหลวไหลอันใด! เสียนหวางช่วยข้าอยู่หลายครานับว่ามีบุญคุณต่อข้า ส่วนใจเขาจะคิดอันใดก็เป็นเรื่องของตัวเขาเอง ไปทำตามคำสั่งข้าเสีย”
“…แพ้ท่านแล้วจริงๆ”
หนานกงอี้จือทอดถอนใจ “ไม่ถูกสิ ฉินรั่วเฉินคงไม่อาจจัดการซูเช่อได้ในยามนี้กระมัง? ซูเช่อนับว่าร้ายกาจย่อมไม่อาจเสียเวลาในการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งนั้นไปได้ ยามนี้ผู้ที่เขาควรจะจัดการมิใช่ไท่จื่อหรือ?”
“ตราบใดที่ไท่จื่อไม่ถูกเขาจับจุดอ่อนได้ เขาย่อมไม่อาจทำอันใดไท่จื่อได้แต่กับซูเช่อนั้นต่างออกไป” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ
“ซูเช่อเป็นราชบุตรเขยแคว้นซีอวี้ เสียนหวางเฟยของเขาคือองค์หญิงแคว้นซีอวี้ หากฉินรั่วเฉินอยากจัดการเขาจริงย่อมสามารถหาข้ออ้างมาได้โดยง่าย อาจใส่ความโทษฐานขายชาติและส่งเขาเข้าไปในคุกคุมขังนักโทษประหาร ส่วนไท่จื่อ…” เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “หากจับทรายแน่นเกินไปก็จะยิ่งมีแต่สูญเสียไปมากขึ้น ขอเพียงพวกเราไม่ลงมือ อย่างน้อยเขาก็ไม่อาจสร้างเรื่องวุ่นวายได้ ศัตรูอยู่ในที่แจ้งแต่ข้าอยู่ในที่ลับย่อมดีกว่าศัตรูอยู่ในที่ลับแต่ข้าอยู่ในที่แจ้ง”
น่าเสียดายที่ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดผิด
ยามที่เขาดูแลหลิงมู่เอ๋อร์โดยที่ไม่ได้นอน และลาการไปเข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรงช่วงเช้า หนานกงอี้จือก็บุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว
“ญาติผู้พี่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
หนานกงอี้จือมิได้เคาะประตู บุกเข้ามาในตำหนักนอนของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ยามนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังเช็ดมือให้หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความรักใคร่ หลังจากได้ยินเสียงดัง ‘ปัง’ ขึ้นมาเสียงหนึ่งเขาก็ยื่นแขนยาวออกไปลดม่านคลุมเตียงลงมาโดยพลัน เพื่อขวางมิให้ผู้อื่นมองเห็นภาพภรรยาผู้น่ารักราวทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิของเขา
“สามหาว!” ซั่งกวนเซ่าเฉินเดือดดาลยิ่งก่อนคนจะลุกขึ้นมา น้ำเสียงเย็นชาที่ดังทะลุม่านเตียงออกมาราวกับคมดาบที่พุ่งเข้ามาที่อกของหนานกงอี้จือ
ทั่วทั้งร่างเขาสะดุ้งโหยง หนานกงอี้จือถอยหลังไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณรีบหันกลับไปหลบอยู่นอกประตู แต่เขาก็รีบรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าอย่างไม่กล้ารีรอ “ญาติผู้พี่เกิดเรื่องด่วนขึ้น ข้าไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแต่วันนี้ ที่การประชุมช่วงเช้าที่ท้องพระโรงวันนี้ท่านลองเดาดูเถอะว่าฉินรั่วเฉินทำอันใด?”
ฉินรั่วเฉิน?
นามของคนผู้นี้บุกเข้ามาในโลกของพวกเขาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ราวกับไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเขา เปรียบดั่งสภาพอากาศอันมืดครึ้มซึ่งทำให้รำคาญแต่กลับไม่อาจทำอันใดได้
“จะดีที่สุดหากเจ้าพูดมาให้หมดภายในลมหายใจเดียว ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าเดินเข้ามาแต่ถูกหามออกไปเป็นแน่!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับไปมองหลิงมู่เอ๋อร์ที่ยังหลับอยู่ เห็นนางยังไม่ถูกเรื่องนี้ทำให้ตกใจตื่นขึ้นมา คิ้วของเขาที่ขมวดอยู่ก็ค่อยๆ คลายลง
วางมืออบอุ่นของนางกลับไปในฟูก ทั้งยังแตะที่หน้าผากก่อนจะพบว่าไม่ได้ร้อนมากแล้ว จึงเปิดม่านเตียงก้าวเดินออกไปข้างนอกอย่างช้าๆ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
หนานกงอี้จือยื่นหน้ามองไปข้างหลังเขาก็พบว่าเตียงยังถูกคลุมไว้อยู่ ก็เกิดความสงสัยในใจเล็กน้อย “มู่เอ๋อร์ นางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ?”
“พี่สะใภ้!”
“ข้าถามท่านว่ามู่เอ๋อร์…”
“นางเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า!” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวซ้ำอย่างไม่พอใจ!
ทั่วทั้งร่างของหนานกงอี้จือสะดุ้งโหยง มองสายตาของคนตรงหน้าก็ราวกับมีใบมีดเย็นเฉียบจ่ออยู่บนคอของเขา
“ใช่ๆๆ พี่สะใภ้ ภรรยาของญาติผู้พี่ก็เป็นพี่สะใภ้ของข้า ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้นางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ?” แต่ไหนแต่ไรหนานกงอี้จือก็มีนิสัยยืดหยุ่นได้เช่นนี้
โดยเฉพาะยามที่อยู่ต่อหน้าญาติผู้พี่
ชายผู้นี้ยามที่โหดเหี้ยมยังน่ากลัวยิ่งกว่าพญายมเสียอีก พญายมอย่างน้อยก็ยังทิ้งคนไว้ถึงยามห้าเกิง [1] แต่ญาติผู้พี่ย่อมไม่ปล่อยคนทิ้งไว้นานนักเป็นแน่
ทว่าเรื่องที่หลิงมู่เอ๋อร์ป่วยกลับเหนือความคาดหมายของเขา
แม่นางเซียนแพทย์ ความประทับใจที่มีต่อหลิงมู่เอ๋อร์คือสตรีที่ทั้งมหัศจรรย์และแข็งแกร่ง กล่าวตามจริงบางครั้งเขาก็ยังอิจฉาญาติผู้พี่ แต่สตรีที่เก่งกล้าถึงเพียงนี้เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
จำต้องรู้ว่าตั้งแต่เกิดมาถึงยามนี้ที่อายุยี่สิบกว่าปี แต่ไหนแต่ไรญาติผู้พี่มิเคยขาดการเข้าประชุมในท้องพระโรงช่วงเช้า ไม่เช่นนั้นจะพลาดเรื่องสำคัญเช่นวันนี้ได้อย่างไร
“เมื่อวานนางไม่สบายหลังกลับมาก็หลับไป แต่ไม่เป็นอันใดแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินอธิบายอย่างเข้าใจง่าย
“ไม่ไปหาหมอหรือ?”
“มู่เอ๋อร์เป็นหมอ”
“นางเป็นหมอแล้วอย่างไร?” หนานกงอี้จือยิ้ม บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ราวกับผ่อนคลายลงชั่วขณะ “ข้าว่าที่แท้ญาติผู้พี่ก็มีช่วงเวลาที่ทึ่มเช่นนี้ด้วยหรือ? นางจะไม่ไปหาหมอ ท่านก็ไม่ให้นางไปหาหมอหรือ? ท่านไม่รู้เหตุผลที่หมอรักษาตัวเองไม่ได้จริงหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมีสีหน้ามืดครึ้ม
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร เมื่อวานหลังกลับมาที่ตำหนักเขาก็เสนอว่าจะเรียกหมอหลวงมา แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยืนกรานไม่เห็นด้วย บอกว่าแค่พักผ่อนก็ไม่เป็นอันใดแล้ว แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็หลับไปโดยที่จับมือเขาไว้ตลอดไม่ให้ไปไหน เขาตัดใจปล่อยมือนางเองไม่ได้จึงอยู่เป็นเพื่อนนางมาจนถึงยามนี้
คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ถึงช่วงฟ้าสาง
แน่นอนว่าช่วงนี้ท้องพระโรงช่วงเช้าย่อมสำคัญ แต่เรื่องใดก็ล้วนไม่สำคัญเท่าการอยู่เป็นเพื่อนภรรยาของเขา
“เช้านี้ที่ท้องพระโรงเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถามอย่างเฉยเมย
“ก็หาได้มีเรื่องอันใด แต่ฉินรั่วเฉินถวายฎีกาเรื่องไท่จื่อ” หนานกงอี้จือก็เรียนแบบท่าทางไม่ยินดียินร้ายและน้ำเสียงของเขา ราวกับผู้ที่รีบร้อนราวฟ้าจะถล่มเมื่อครู่หาใช่เขาไม่
“พูดภาษาคน!” ซั่งกวนเซ่าเฉินโกรธเกรี้ยวยิ่ง
หนานกงอี้จือถูกทำให้กลับสู่โฉมหน้าเดิมโดยพลัน สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน “เมื่อเช้าที่ท้องพระโรงองค์ชายหกถวายฎีกาเสนอให้ปลดไท่จื่อออกจากตำแหน่ง และเสนอชื่อท่านให้เป็นไท่จื่อ!”
บึ้ม
หินก้อนใหญ่ในใจราวกับถูกประโยคนี้ของเขาทำให้ระเบิดโดยพลัน
“เช้านี้เป็นวันที่เสด็จพ่อมาเข้าประชุมที่ท้องพระโรงช่วงเช้าเป็นครั้งแรกหลังจากประชวรหนักใช่หรือไม่?”
“ใช่ ข้าว่าฉินรั่วเฉินผู้นี้จะต้องจงใจเป็นแน่!” หนานกงอี้จือโกรธเกรี้ยว ในใจยิ่งรู้สึกดูแคลนองค์ชายหกมากยิ่งขึ้น
“เพราะเหตุนั้นเขาจึงบอกว่าการแสดงนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“ว่าอย่างไรนะ? ญาติผู้พี่ท่านพูดอันใด?”
“เสด็จพ่อเล่า? เห็นด้วยหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถูกดึงกลับจากความคิด ก่อนจะเร่งรีบซักถาม
“สถานการณ์ของฝ่าบาทเลวร้ายยิ่ง เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงก็เพิ่งมีสติมาเข้าร่วมการประชุมอย่างยากลำบาก แต่หลังจากฉินรั่วเฉินเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ฝ่าบาทก็กระอักเลือดออกมาและหมดสติไป แม้จะมิได้ตอบรับแต่ก็มิได้ปฏิเสธ” นี่คือส่วนที่หนานกงอี้จือกังวลมากที่สุด
“ญาติผู้พี่ยามนี้ควรทำเช่นไรดีขอรับ? เดิมทีพวกเรามิได้ตั้งใจจะช่วงชิงตำแหน่งไท่จื่อ แต่ฉินรั่วเฉินทำเช่นนี้พวกเราย่อมกลายเป็นฝ่ายลงมือ กับตำหนักไท่จื่อเดิมมิได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันนักแต่ก็หาได้ห่างเหิน เป็นเช่นนี้พวกเราต่างฝ่ายย่อมต่างกลายเป็นศัตรูต่อกัน! ฉินรั่วเฉินช่างใช้ธนูดอกเดียวยิงนกสองตัวได้อย่างงดงามจริงๆ!” หนานกงอี้จือยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
เขาแทบทนไม่ไหวจนอยากพุ่งไปที่ตำหนักองค์ชายหกแล้วคว้าคอเสื้อของเขามาถามว่า แม่เจ้าที่ตายไปรู้หรือไม่ว่าเจ้าอำมหิตถึงเพียงนี้?
“เตรียมม้า เจ้าไปที่ตำหนักไท่จื่อเสีย” ซั่งกวนเซ่าเฉินตัดสินใจโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ขอรับ ข้าจะไปเตรียมม้าเดี๋ยวนี้” หนานกงอี้จือได้ยินคำพูดของเขาไม่ชัดเจน จนกระทั่งตัวเองเดินถึงหน้าประตูแล้วจึงมีการตอบสนอง เขาหันกลับมาชี้ที่หน้าตัวเอง “ท่านให้ข้าไปตำหนักไท่จื่อหรือ?”
“ไม่เช่นนั้นหรือจะให้เป็นมู่เอ๋อร์ที่กำลังป่วยอยู่เล่า” ซั่งกวนเซ่าเฉินทำท่าทีจะกลับไปที่ห้อง
เขาออกมาได้หนึ่งก้านธูปแล้วจึงกังวลว่าอาการของหลิงมู่เอ๋อร์จะแย่ลง
“ผู้ที่องค์ชายหกเสนอชื่อคือท่านหาใช่ข้า ผู้ที่ควรไปอธิบายกับไท่จื่อมิควรเป็นท่านหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นข้าไปแล้วจะทำอันใดได้ มันคงดูไม่จริงใจกระมัง” หนานกงอี้จือไม่อยากไปเป็นตัวรับดาบ
วันนี้ญาติผู้พี่ไม่ได้ไปเข้าร่วมการประชุมที่ท้องพระโรงช่วงเช้า แต่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่ายามที่ฉินรั่วเฉินเสนอชื่อจบ สีหน้าของไท่จื่อก็มืดครึ้มลงโดยพลัน อีกทั้งในดวงตายังมีไอสังหารเข้มข้นอีกด้วย
หากเขาวิ่งโร่ไปที่ตำหนักไท่จื่อเพื่ออธิบายแทนญาติผู้พี่ ไท่จื่อจะไม่เอาเขาไปเป็นตัวรับดาบแล้วระบายความโกรธทั้งหมดมาที่เขาหรือ?
เขาอึดอัดใจยิ่ง
“ฉินรั่วเฉินกำลังสร้างความบาดหมางอยากจะเห็นข้ากับไท่จื่อสู้รบตบมือกัน เขาจะได้นั่งรอรับผลประโยชน์อยู่เฉยๆ แม้ไท่จื่อจะเป็นพวกเดินทางสายกลางแต่ก็หาได้โง่ทึมทื่อ เขาย่อมสามารถมองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนได้เป็นแน่! ข้าให้เจ้าไปเพื่อแสดงให้คนบางคนเห็นก็เท่านั้น จำไว้ว่าในเมื่อเขาอยากดูเรื่องสนุก พวกเราก็จะสร้างละครฉากใหญ่ให้เขาเสีย!”
“ละครอันใด? แสดงอย่างไรหรือ?”
หนานกงอี้จือไม่เข้าใจความหมายของซั่งกวนเซ่าเฉินไปชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังกล่าวจบในสมองก็ผุดภาพหนึ่งขึ้นมาโดยพลัน เขาพยักหน้าอย่างลำพองใจ “อ๋อ..ข้าเข้าใจแล้ว ท่านคิดจะแสร้งทำเป็นแตกหักกับไท่จื่อ แล้วดูว่าฉินรั่วเฉินคิดจะทำอันใด ญาติผู้พี่ ท่านเรียนรู้เรื่องที่ไม่ดีไปเสียแล้ว”
“สิ่งที่ฉินรั่วเฉินทำได้ก็มีเพียงการสร้างความแตกหักให้กับความสัมพันธ์ของพวกข้าสองคน แต่สิ่งที่ทำให้ข้ากังวลมากที่สุดคือเสด็จพ่อ”
เชิงอรรถ
[1] ห้าเกิง หมายถึง เวลาช่วงตีสามถึงตีห้า