เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 432 แก้แค้น
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 432 แก้แค้น
เล่มที่ 15 ตอนที่ 432 แก้แค้น
“อ๊าก! หากมีความสามารถก็ฆ่าข้าเสีย วีรบุรุษอันใดกันจึงมาทรมานคนเช่นนี้!” มือสังหารถูกตะปูตรึงเอาไว้ ในขณะที่พูดก็กระอักเลือดสดๆ ออกมา หากมิใช่เพราะมีกำลังภายในช่วยประคับประคองไว้เขาคงหมดสติไปแล้ว
“อี้จือ!” เสียงเย็นชาของซั่งกวนเซ่าเฉินดังออกมาจากริมฝีปากแดงเบาๆ
หลังหนานกงอี้จือได้ยินก็หิ้วน้ำแข็งเข้ามาเทใส่บนหัวของมือสังหารโดยไม่พูดอันใด
“อ๊าก!”
มือสังหารที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นรู้สึกถึงความเย็นเฉียบอันชุ่มฉ่ำ รู้สึกเพียงว่าทั่วทั้งตัวคนล้วนฟื้นคืนสติจากความง่วงงุนโดยพลัน บาดแผลที่สัมผัสน้ำแข็งแม้จะไม่ได้เจ็บปวดร้ายแรงถึงชีวิต แต่ถังน้ำแข็งที่เทจากศีรษะมาจนถึงเท้าก็ทำให้ชายอกสามศอกรู้สึกเย็นยะเยือกจนทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน
“ไว้ชีวิตข้า ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าไม่รู้สิ่งใดทั้งนั้น ข้าไม่รู้อันใดจริงๆ!”
มือสังหารรู้สึกหวาดกลัว ยามที่เห็นดวงตาแดงฉานของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยิ่งรู้สึกเกรงกลัวจนสั่นสะท้านจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ขอเพียงเจ้าบอกทุกสิ่งที่ข้าอยากรู้ ข้าก็จะละเว้นเจ้าไม่ให้ถึงตาย!”
แค่ละเว้นไม่ให้ถึงตายมิได้บอกว่าจะปล่อยเจ้า!
คำอ้อนวอนร้องขอชีวิตที่ผุดขึ้นมาในใจของมือสังหารเมื่อครู่ถูกทำลายโดยพลัน “ถุย! หากข้าไม่พูดก็ยังเอาตัวรอดได้ แต่หากข้าพูดก็คงไม่ได้เห็นตะวันในวันพรุ่งนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้ายังจะพูดได้หรือ?”
“จะไม่พูดก็ได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้บังคับ และส่งสายตาไปทางหนานกงอี้จืออีกครา
“วางใจได้ ข้าเข้าใจแล้ว!” หนานกงอี้จือตีหน้าอก ยามที่หมุนกายไปสีหน้าเอ้อระเหยก็แปรเปลี่ยนไปเป็นชั่วร้ายโหดเหี้ยม
เห็นเพียงเขาค่อยๆ เดินไปข้างเครื่องทรมานเลือกอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะหยิบตะปูเหล็กและค้อนออกมา
“เจ้าวางใจเถอะ ฝีมือของเปิ่นซื่อจื่อยอดเยี่ยมยิ่ง ตะปูเหล็กนี่ข้าจะพยายามตอกให้เข้าไปในคราเดียว เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักหรอกเพราะเจ้าจะรู้สึก…” น้ำเสียงของหนานกงอี้จือยิ่งชั่วร้ายมากขึ้น “อยู่-มิ-สู้-ตาย!”
กัดฟันพูดไม่กี่คำหนานกงอี้จือก็ไม่รอให้มือสังหารตอบสนอง ตะปูเหล็กในมือถูกตอกลงไปที่มือของเขาโดยพลัน
ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเสียดฟ้าคราหนึ่งราวกับจะเสียดแทงแก้วหูของมนุษย์
สีหน้าของมือสังหารเจ็บปวดจนซีดเผือดไร้เรี่ยวแรง เขารู้สึกเพียงว่าเลือดทั่วทั้งร่างล้วนเริ่มไหลย้อนกลับ
“ข้าจะบอก…”
ในห้องรับแขก
ยามที่พวกซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมาก็พบว่าสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงได้สติแล้ว และหลิงมู่เอ๋อร์ก็กำลังยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษ ข้าควรจะส่งคนไปคุ้มกันพวกเจ้ากลับไปให้มากกว่านี้ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ใดแต่จะต้องเกี่ยวข้องกับข้าเป็นแน่ พวกเจ้าวางใจเถอะ ร่างกายของพวกเจ้าข้าจะรักษาด้วยตัวเอง ส่วนคนพวกนั้นที่ทำร้ายพวกเจ้า ข้าจะต้องหาคำอธิบายมาให้พวกเจ้าแน่นอน!”
ซ่งอี้เฉิงได้ยินคำพูดนี้ก็ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลรีบร้อนหมายจะลุกขึ้น แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์กดตัวไว้เสียก่อน “อย่าขยับ เจ้าบาดเจ็บหนักที่สุด บาดแผลเพิ่งจะเย็บเสร็จหากไม่ระวังจนกระทบบาดแผลจะยิ่งลำบาก”
“ท่านอาจารย์นี่หาใช่ความผิดของท่านพ่ะย่ะค่ะ เป็นคนพวกนั้นที่มีความทะเยอทะยานโฉดชั่วทั้งยังมีความโหดเหี้ยมอำมหิต!” ซ่งอี้เฉิงรีบปลอบใจหลิงมู่เอ๋อร์ เพียงแค่นึกถึงมือสังหารที่เกือบจะตัดศีรษะเขา เขาก็กัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว
“เคราะห์ดีที่ท่านอาจารย์มีความสามารถหัตถ์เทพคืนวสันต์ หากไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์เกรงว่าพวกกระหม่อมคง…” ซ่งอี้เฉิงกล่าว เพราะขยับอย่างไม่ระวังจึงร้องครวญครางออกมาเสียงหนึ่งก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนไปเป็นสีตับหมูโดยพลัน
“กินสิ่งนี้ลงไปก่อนเถอะ!” หลิงมู่เอ๋อร์ส่งขวดยาขวดหนึ่งให้เขาทันที
ซ่งอี้เฉิงคิดว่าเป็นเพียงยาบำรุงธรรมดาแต่หลังจากกระแสน้ำอบอุ่นไหลเข้าสู้ร่างกาย เขาก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง “ไป่หลิงเซียน ความรู้สึกนี้ ความรู้สึกนี้หรือว่าจะเป็นไป่หลิงเซียน?”
แต่ไม่นานเขาก็ปฏิเสธความคิดของตัวเอง “เป็นไปไม่ได้ ไป่หลิงเซียนร้อยปีจะผลิบานสักคราหนึ่ง ร้อยปีจึงจะออกผลสักคราหนึ่ง ไหนเลยท่านอาจารย์จะโชคดีพบเจอ จะเป็นไปได้อย่างไร…”
คำพูดประโยคหลังของเขายังไม่ทันจบ ซ่งอี้เฉิงก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพลั้งปากไปจนทำให้ท่านอาจารย์ต้องอับอายแล้ว
“ยังมิต้องกล่าวว่านี่ไม่ใช่ผลของไป่หลิงเซียน ต่อให้ใช่ ยามนี้เจ้าเป็นผู้ป่วยของข้าแล้ว ข้าก็ย่อมมอบให้เจ้าได้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างจริงใจ “นี่คือสิ่งที่สกัดมาจากกลีบดอกของไป่หลิงเซียน พูดให้ถูกคือมันถูกปรับแก้ให้ดีขึ้นแล้ว แม้จะหาได้มีประสิทธิภาพเท่ากับผลของไป่หลิงเซียน แต่เทียบกับยาบำรุงอื่นแล้วยังเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในสิบส่วนของมันเลย”
ได้ยินคำพูดนี้ซ่งอี้เฉิงก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจจนหลั่งน้ำตา “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีดีอันใดจึงได้รับมันพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเจ้ายอมรับข้าเป็นอาจารย์ สูตรนี้ในอนาคตข้าย่อมบอกเจ้า แต่ด้วยความฉลาดเฉลียวและทักษะทางการแพทย์อันสูงส่งของเจ้าเชื่อว่าต้องคิดค้นด้วยตัวเองได้แน่ ข้าดูแล้วว่าเจ้ามีอนาคต” หลิงมู่เอ๋อร์ให้กำลังใจเขาหวังว่าเขาจะฮึกเหิมขึ้นมา
มองไปทางสงฉี่กวงอีกครา นางก็ส่งขวดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งให้เขาเช่นกัน “หลังจากกินมันลงไปความเจ็บปวดของบาดแผลจะดีขึ้นมาก บาดแผลนี้แม้จะไม่สาหัสแต่อย่างน้อยก็ต้องพักฟื้นไปสักพัก เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเถ้าแก่สงในการกลับไปยังร้านในเมืองผิงเฉิงมู่เอ๋อร์ละอายใจยิ่ง”
แม้ในแวดวงการค้าสงฉี่กวงจะเป็นพ่อค้าที่เจ้าเล่ห์ แต่นิสัยของเขากลับเป็นคนซื่อตรง ได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้เขาก็รีบโบกไม้โบกมือ “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองเกรงใจกันเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสามารถทำงานให้เจิ้งเฟยได้ก็นับว่าเป็นการส่งเสริมวาสนาของวงศ์ตระกูลแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นหาใช่คนของเจิ้งเฟยที่ทำร้ายกระหม่อม แต่เป็นคนเหล่านั้นที่เห็นชีวิตผู้อื่นเป็นผักปลา กระหม่อม หลังจากกระหม่อมรักษาบาดแผลแล้วจะต้องไปกราบทูลฝ่าบาทอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวอย่างมีโทสะ กล่าวจบก็ส่งยาลูกกลอนในมือกลับไปให้หลิงมู่เอ๋อร์ “ร่างกายของกระหม่อมค่อนข้างล่ำสันบาดแผลเหล่านี้ยังนับว่าทนได้ กลับกันเป็นพี่ซ่งที่ต้องการสิ่งนี้มากกว่า ยาครอบจักรวาลนี้เอาไปให้พี่ซ่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อค้าผู้มั่งคั่งอย่างสงฉี่กวงส่วนมากล้วนมีความหยิ่งยโสย่อมสูงเทียมฟ้าเชิดหน้าเอาจมูกมองคน แต่สงฉี่กวงกลับต่างออกไป อย่างน้อยนิสัยใจคอและสถานะทางสังคมของเขาก็ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่เพียงแต่มีเมตตายึดมั่นใจคุณธรรม แต่ยังพูดได้ว่าสวมควรแล้วที่เขามีความมั่งคั่ง!
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งรู้สึกชื่นชมนิสัยของเขา
“แม้บาดแผลของเจ้าจะไม่สาหัสแต่พลังชี่ก็ยังได้รับบาดเจ็บ ต้องรีบฟื้นฟูร่างกายให้ดีโดยเร็วที่สุดจึงควรกินมันลงไปเสีย ของเหล่านี้กินได้ตามสบาย เจ้ากินไปเพียงเม็ดเดียวข้าก็ยังมีอีกมากไม่จำเป็นต้องเสียดาย”
“เช่นนั้นกระหม่อมขอทำตามรับสั่งด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!” สงฉี่กวงกล่าวจบก็ฉวยเอายาลูกกลอนกลืนลงไปทั้งหมดจนเกือบจะสำลักเพราะกลิ่นฉุน
เห็นสีหน้าน่าขันของเขา หลิงมู่เอ๋อร์ที่เคร่งขรึมเพราะความรู้สึกผิดมาโดยตลอดก็ถูกทำให้ขบขัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินผลักประตูเข้ามาก็เห็นฉากนี้เข้าพอดี “พวกเจ้าสองคนรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ขอบพระทัยองค์ชายรองที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ โชคดีที่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองมีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง กระหม่อมทั้งสองคนจึงเคราะห์ดียังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ” สงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงพยักหน้าพากันกล่าวตอบ
แต่หลังจากหันมาเห็นซูเช่อ สงฉี่กวงก็มุ่งมั่นหมายจะลุกขึ้นมา “ข้าน้อย ข้าน้อยขอบพระคุณเสียนหวางอย่างสุดซึ้งที่ช่วยชีวิตขอรับ”
ซูเช่อมิได้รีบกดร่างเขาไว้เหมือนหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ส่งสัญญาณให้จื่อถงที่อยู่ข้างหลัง จื่อถงเข้าใจจึงขวางด้านหน้าเขาไว้โดยพลัน
“ร่างกายเจ้ายังบาดเจ็บอยู่ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป” ยามที่ซูเช่อปฏิบัติต่อผู้อื่นมักจะเย็นชาอยู่เสมอ
สงฉี่กวงกลับส่ายศีรษะ “ไม่ขอรับ ข้าน้อยล้วนได้ยินมาแล้วว่าเป็นหวางเย่ที่ส่งคนไปคุ้มครองพวกเราผู้ต่ำต้อย ข้าน้อยจะรู้บุญคุณแต่ไม่ตอบแทนได้อย่างไรขอรับ”
คำพูดของสงฉี่กวงรวดเร็วยิ่ง ไม่รอให้ซูเช่อได้ขัดจังหวะเขาก็พูดออกมาหมดในรวดเดียวแล้ว
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปทางซูเช่อโดยพลัน คิ้วได้รูปขมวดขึ้นมาเล็กน้อย
เป็นไปตามที่เขาคาดเดาจริงๆ
ซูเช่อเมินเฉยต่อสายตาร้อนแรงด้านข้าง เขายกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่ง “ได้ เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะตอบแทนบุญคุณที่เสียนหวางช่วยชีวิตอย่างไรหรือ?”
“นั่น…” สงฉี่กวงตกเข้าสู่ความกระอักกระอ่วนโดยพลัน
เดิมทีเขาคิดจะบอกว่านับจากนี้ตระกูลสงจะเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของเสียนหวาง แต่คิดไปคิดมาคำพูดเช่นนี้เหมือนจงใจดึงคนมาเป็นพวก ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็เหมือนเป็นตระกูลสงของพวกเขาที่เอาเปรียบคน
ทว่าเขาเป็นเพียงพ่อค้าไร้การศึกษาไม่รู้วรยุทธ์ทั้งยังมิได้ฉลาดเป็นพิเศษ และพูดไม่ออกว่าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้
ซูเช่อยิ้มและส่ายศีรษะ “เปิ่นหวางหาได้เคยช่วยเจ้า ต้องไปขอบใจผู้ที่ช่วยชีวิตเจ้าจริงๆ”
“แต่จอมยุทธ์อิ๋นถง…”
“เปิ่นหวางอยากถามเจ้าว่ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดลอบทำร้ายเจ้า?”
ถูกซูเช่อเบี่ยงเบนความสนใจได้สำเร็จ สงฉี่กวงเพียงแค่นึกถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของคนผู้นั้นก็กัดฟันอย่างโกรธแค้น
“หากมิใช่พรรคพวกขององค์ชายเจ็ดจะเป็นผู้ใดไปได้ขอรับ!”
เขาโกรธแค้น “วันนั้นพวกเรากำลังจะไปถึงเมืองผิงเฉิงแต่ผ่านไปครึ่งทางจู่ๆ ก็มีมือสังหารกว่าสิบคนปรากฏตัวขึ้น คนไม่กี่คนที่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองส่งมาคุ้มกันพวกเรามีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแต่กลับหาใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านั้น ข้ากับพี่สงล้วนไม่มีวรยุทธ์ระหว่างที่หนีจึงถูกจับได้ พวกมันถือตะขอเหล็กพยายามจะกระชากหัวใจของพวกเรา หากไม่ใช่เพราะเสียนหวาง…ฮึ่ม เสียนหวาง องค์ชายรอง เป็นพรรคพวกขององค์ชายเจ็ดที่หมายจะวางแผนสังหารพวกเราพ่ะย่ะค่ะ!”
สงฉี่กวงพูดอย่างหนักแน่นราวกับรายงานเรื่องในตระกูลให้อีกฝ่ายทราบ
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าเป็นคนขององค์ชายเจ็ด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินซักไซ้
“กระหม่อมสองคนหากกล่าวว่าที่เมืองผิงเฉิงทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่อภัยให้กันได้ แต่ที่เมืองหลวงหาได้รู้จักผู้ใดจะไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองจนหมายเอาชีวิตได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้กระหม่อมสองคนก็เพิ่งไปชี้ตัวองค์ชายเจ็ดมา หากมิใช่เขาแล้วจะเป็นผู้ใดได้พ่ะย่ะค่ะ?” สงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงสบสายตากัน ท่าทางของพวกเขายิ่งหนักแน่นขึ้น
“อย่ามัวอมพะนําอีกเลย ไปไต่สวนมือสังหารมาเป็นเช่นไรบ้างหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กังวลว่าสงฉี่กวงจะตื่นเต้นเกินไปจนกระทบกับบาดแผลที่เพิ่งเย็บไปเมื่อครู่ นางขัดจังหวะการซักไซ้ของซั่งกวนเซ่าเฉินโดยพลันและถามกลับไป
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เมื่อครู่ยังคิดอยากพูดอันใด ยามที่เห็นสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงก็ยังคิดจะปิดบังอยู่ ทว่าเมื่อตระหนักได้ว่าเขาสองคนเป็นเหยื่อก็ย่อมมีสิทธิ์รับรู้เรื่องนี้จึงมิได้พะว้าพะวังอีก “เป็นหมิ่นกุ้ยเฟย”
“ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นนาง!” หลิงมู่เอ๋อร์โกรธเกรี้ยวจนเส้นเลือดที่คอปูดออกมา
ยามที่เห็นสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงได้รับบาดเจ็บสาหัส นางก็คาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นฝีมือของหมิ่นกุ้ยเฟย แต่ในใจนางก็ยังโอบกอดความหวังสายหนึ่ง หวังว่าสตรีผู้นั้นจะไม่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
ยามนี้ดูท่าแล้วพิษร้ายที่สุดจะเป็นจิตในของสตรี!
“หมิ่นกุ้ยเฟย? ผู้ที่เป็นมารดาขององค์ชายเจ็ดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ซ่งอี้เฉิงนิ่งสงบกว่าสงฉี่กวงมากทั้งยังรู้เรื่องราวในราชสำนักมากกว่า
“ถึงอย่างไรพวกเราก็ทำให้พวกเจ้าสองคนเข้ามาพัวพันแล้ว หลังจากนี้ข้าจะจัดให้พวกเจ้าไปอยู่ที่ตำหนักองค์ชายรอง ช่วงนี้พวกเจ้าก็พักอยู่ที่เมืองหลวงอย่างสบายใจไปก่อน วางใจเถอะข้ากับองค์ชายรองจะต้องหาคำอธิบายอันน่าพอใจมาให้พวกเจ้าแน่นอน!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็ส่งสายตาให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน แสดงท่าทีให้พวกเขาออกไปพูดกันเสียหน่อย
สงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา ยิ่งรู้มากพวกเขาก็จะยิ่งมีอันตราย ล้างแค้นหรือ แค่พวกเขามาก็พอแล้ว
“รบกวนกัวเหล่าดูแลพวกเขาด้วย” ก่อนซูเช่อจะออกไปก็กำชับให้หมอตรวจดูอาการบาดเจ็บของพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกไปจากห้องรับแขก
ในห้องตำราของจวนเสียนหวาง
หลิงมู่เอ๋อร์ที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือก ดวงตาสีแดงฉานไม่อาจปิดบังความโกรธแค้นไว้ได้
“กล้ามาทำร้ายคนของข้า ข้าไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่ เซ่าเฉินข้าต้องแก้แค้น!”
เดิมทียังคิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นสถานการณ์ในยามนี้จะโน้มน้าวให้นางอดทนไว้ ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงประชวรหนักสามารถเป็นหรือตายได้ในชั่วข้ามคืน ยามนี้เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานหากมีเรื่องน้อยลงไปเรื่องหนึ่งย่อมเป็นการดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่หมิ่นกุ้ยเฟยจัดการยังเป็นเพียงสามัญชนสองคนเท่านั้น
แต่คำตอบของเขาก็ไม่เคยทำให้นางผิดหวัง
“บังเอิญทีเดียว เปิ่นหวางจื่อก็ไม่คิดจะปล่อยสตรีร้ายกาจผู้นั้นไป”
ยามนั้นผู้ที่ทำร้ายจนเสด็จแม่ของเขาตายก็คือหมิ่นกุ้ยเฟย!