เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 431 รถม้าที่ชโลมไปด้วยเลือด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 431 รถม้าที่ชโลมไปด้วยเลือด
เล่มที่ 15 ตอนที่ 431 รถม้าที่ชโลมไปด้วยเลือด
“หรือจะเป็นอย่างที่พวกเจ้าคาดเดา หลังจากเสียนหวางคิดดูแล้วจึงวางแผนจะให้พวกเราช่วยยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นซีอวี้?” บนรถม้า หนานกงอี้จือคาดเดาสาเหตุที่ซูเช่อเชิญพวกเขาไปที่จวนอย่างกล้าหาญ
“เป็นไปไม่ได้!” ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
ทั้งสองคนมองหน้ากันโดยพลันแต่หาได้มีความแปลกใจหรือความไม่พอใจ กลับสบสายตาและยิ้มให้กันที่ต่างฝ่ายต่างใจตรงกันอย่างมีความสุข
เพราะพวกเขารู้นิสัยของซูเช่อดี เรื่องที่เขาสามารถทำได้แต่ไหนแต่ไรก็จะไม่รบกวนผู้อื่น เพราะนั่นมิใช่นิสัยของเขา
“นายท่าน ถึงที่หมายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนบังคับรถม้าจอดรถม้านิ่ง
ซั่งกวนเซ่าเฉินลงรถม้าไปก่อน แต่หลังจากทั้งสามคนลงมาจากรถม้าแล้วก็เพิ่งตระหนักได้ว่าที่หน้าจวนเสียนหวางก็มีรถม้าจอดอยู่เช่นกัน แต่รถม้าสองคันนั้นสภาพร่อแร่เป็นอย่างมากราวกับเพิ่งถูกปล้นไปจนไม่เหลือชิ้นดี และหลิงมู่เอ๋อร์ที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สังเกตเห็นว่าบนตัวรถม้าและบนแท่นเหยียบมีคราบเลือดที่ยังใหม่ๆ เปื้อนอยู่
“เซ่าเฉิน?” สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มโดยพลัน
หนานกงอี้จือและซั่งกวนเซ่าเฉินเดินเข้าไปโดยพลัน ใช่นิ้วตรวจสอบคราบสีแดงสดนั้น เมื่อยืนยันได้ว่าเป็นเลือดของมนุษย์สีหน้าของทั้งสองคนก็แปรเปลี่ยนไป
หนานกงอี้จือกำลังคิดจะเข้าไปตรวจสอบในรถม้า จื่อถงที่ได้ยินข่าวก็เร่งรุดมาเสียก่อน “ซื่อจื่อโปรดช้าก่อนขอรับ”
“ในจวนเกิดเรื่องอันใดขึ้น? นี่มัน…?” หนานกงอี้จือชี้ไปที่รถม้าซึ่งมีสภาพไม่สมบูรณ์ข้างหลังด้วยสีหน้าตึงเครียดทั้งยังเคร่งขรึม
หลังจากจื่อถงทำความเคารพทุกคนแล้วเขาก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “เรื่องนี้ไม่อาจอธิบายให้ชัดเจนได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ข้าน้อยเกรงว่าซื่อจื่อจะตกใจจนถูกฝันร้ายรบกวนในยามค่ำคืนแล้วจะไม่เป็นการดี ดังนั้นซื่อจื่ออย่าได้ขึ้นไปจะดีกว่าขอรับ”
เขาหมุนกายมองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ “นายท่านรออยู่นานแล้ว ขอเชิญท่านทั้งสามพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าซูเช่อตกอยู่ในอันตรายเช่นไร ซั่งกวนเซ่าเฉินจูงมือหลิงมู่เอ๋อร์ ในขณะที่หนานกงอี้จือตามมาด้านข้างติดๆ ทั้งสามคนเร่งรุดเข้าไปในจวนเสียนหวาง
“พวกเจ้าสามคนมาทำอันใดที่จวนของข้า?” เพิ่งเข้าประตูมาก็พบกับมั่วจวินเหยาซึ่งกำลังออกมา
ถึงอย่างไรก็เป็นเสียนหวางเฟยการแต่งองค์ทรงเครื่องจึงล้วนดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง เห็นข้างหลังนางพาซิ่วเถาซึ่งเป็นสาวใช้มาด้วยเท่านั้นซึ่งดูท่าแล้วคงกำลังออกไปเดินเล่น หลิงมู่เอ๋อร์หาได้สนใจอีกทั้งหากพูดด้วยไปก็เสียเวลาเปล่า “พวกเราต้องไปพบเสียนหวางก่อน” นางคิดจะพาทั้งสองคนเดินอ้อมอีกฝ่ายไป
“หยุด!”
มั่วจวินเหยาจะปล่อยโอกาสในการทำให้หลิงมู่เอ๋อร์อับอายไปได้อย่างไร นางกางแขนออกตรงหน้าของทั้งสามคนขวางทางเดินเอาไว้ “หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าก็เป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรองแล้วยังจะมาที่จวนเสียนหวางของพวกเราเพื่ออันใด? ทำไมเล่า หรือกินในชามแล้วยังมองในหม้อ [1] เห็นได้ชัดว่าตบแต่งไปแล้วแต่กลับยังมาคิดถึงสามีของผู้อื่นอยู่หรือ? ช่างไร้ยางอายเสียจริง!”
“คาดไม่ถึงว่าเสียนหวางเฟยตบแต่งเข้ามาไม่กี่เดือนแม้แต่ภาษาถิ่นและสุภาษิตก็เรียนรู้หมดแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้จักวิธีใช้ ไม่เข้าใจความหมายจนเลือกใช้คำผิดๆ จึงมีแต่จะทำให้จวนเสียนหวางต้องเสียหน้า!”
หลิงมู่เอ๋อร์ชนนางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“โอ๊ย!” มั่วจวินเหยาถูกชนจนเจ็บปวด “กล้านักนะหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายข้า ให้คนมาจับตัวนางเสีย!”
“หยุด” จื่อถงกล่าว เหล่าบ่าวรับใช้ที่พุ่งเข้ามาก็ถอยกลับไปที่เดิมโดยพลัน
มองมั่วจวินเหยาที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวอีกครา จื่อถงก็ถอนหายใจ “หวางเฟย เป็นหวางเย่ที่เชิญพวกองค์ชายรองมาเพื่อจัดการเรื่องสำคัญ ขอหวางเฟยอย่าได้ทำให้หวางเย่เสียเวลาเลยขอรับ”
“ไอ้สุนัขรับใช้! เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นบ่าวของจวนเสียนหวางแต่กลับช่วยผู้อื่นรังแกข้าที่เป็นฮูหยินของจวนหรือ? จื่อถงเจ้าจะกล้าดีเกินไปแล้ว!” มั่วจวินเหยาความโกรธปะทุขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะออกหน้าแทนจื่อถงแต่จื่อถงกลับก้าวออกมาเสียก่อน “ขอรับ ข้าน้อยมีสถานะต่ำต้อยไม่มีค่าพอจะมายืนอยู่ตรงหน้าหวางเฟย แต่หวางเย่กล่าวไว้แล้วว่าหากกล้ามาขัดขวางเรื่องของหวางเย่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดให้ฆ่าก่อนรายงานทีหลัง!”
“เจ้า!”
มั่วจวินเหยาถูกทำให้ตกใจกลัวจนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน
แต่นางจะยอมถูกทำให้เสียหน้าต่อหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ได้อย่างไร?
นางเชิดคอยืดตัวตรง “ข้าเป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงประทานสมรสพระราชทานให้มาเป็นหวางเฟยด้วยพระองค์เอง คำพูดนั้นของหวางเย่จะพูดกับผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องก็แล้วไปเถอะ แต่เจ้าจะกล้าลงมือกับเปิ่นหวางเฟยหรือ? ดี ข้าก็อยากรู้นักว่าเจ้ามีกี่ชีวิตจึงกล้าจะมาทำร้ายข้า? เข้ามาเลย!”
กล่าวจบมั่วจวินเหยาก็จงใจชนจื่อถง
จื่อถงหลบเลี่ยงแต่มั่วจวินเหยาก็ราวกับวัวกระทิงนักสู้ที่ถูกยั่วยุ หันกลับมาพุ่งเข้าชนอีกคราประหนึ่งว่าต้องการทดสอบความอดทนของเขา
จื่อถงถูกนางทำให้อับอายอยู่หลายคราก้นบึ้งในใจก็มีไฟโทสะสุมอยู่ กอปรกับก่อนหน้านี้นายท่านเคยมีรับสั่งเช่นนี้ต่อเขาจริง เขากล่าวจบหนึ่งประโยคว่า ‘หวางเฟยโปรดอย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ’ ยามที่มั่วจวินเหยาพุ่งเข้ามาอีกคราเขาก็หันไปหลบเลี่ยงในจังหวะเดียวกัน ย่างก้าวมีเพียงเสียงสายลมหลังจากนั้นเพียงชั่วพริบตามั่วจวินเหยาก็ล้มลงไปกับพื้นราวกับสุนัขเล่นโคลน
“เจ้าบ่าวผู้นี้ช่างกล้านักนะ เปิ่นหวางเฟยจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
มั่วจวินเหยาทุบพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของหนานกงอี้จือนางก็ไม่สนใจอันใดอีกต่อไป พุ่งเข้าไปชักดาบข้างเอวขององครักษ์ข้างกายผู้หนึ่งออกมาและแทงไปทางจื่อถง
แม้จื่อถงจะกล้าสั่งสอนหวางเฟยแต่ก็มิกล้าฟาดฟันดาบใส่นางจริงๆ
หลังจากเขาถอนหายใจก็รีบตะโกนขึ้นมา “หวางเฟยมิได้สงสัยหรือว่าเหตุใดหวางเย่จึงเรียกพวกเจิ้งเฟยขององค์ชายรองมา รถม้าที่หน้าจวนคือคำอธิบาย เหตุใดหวางเฟยจึงมิไปดูด้วยตาตัวเองเล่าขอรับ?”
“เหอะ นับว่าเจ้ายังรู้จักอ่านสถานการณ์!”
เห็นจื่อถงรู้จักประมาณตน มั่วจวินเหยาก็วางดาบลงโดยพลัน
เมื่อครู่นางทำเช่นนี้ไปเพราะความโกรธ ทว่าจำต้องรู้ว่าจื่อถงเป็นคนสนิทที่ซูเช่อไว้ใจที่สุด หากเมื่อครู่พวกเขามีเรื่องกันจริงจนเขาได้รับบาดเจ็บ นางเชื่อว่าซูเช่อต้องเต็มใจจะปกป้องบ่าวผู้นี้โดยที่ไม่แม้แต่จะปกป้องนางเป็นแน่
ดังนั้นหลังจากจื่อถงขึ้นบันไดไปนางก็เดินลงไปโดยพลัน นางก็กำลังสงสัยอยู่พอดีว่าเหตุใดซูเช่อจึงต้องให้หลิงมู่เอ๋อร์มาหาถึงที่จวนด้วย
แต่นางที่ขึ้นรถม้าไปอย่างมีความสุขหลังจากเห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา
“อ๊า!!!”
เห็นเพียงมั่วจวินเหยาซึ่งสวมชุดหรูหรารีบกระโดดออกมาจากรถม้า มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นกระโดดไปมาอยู่บนพื้นราวกับตกใจกลัวอย่างรุนแรง “เลือด เลือดเยอะมากทำข้าตกใจแทบตาย ข้าตกใจแทบตายแล้ว!”
มองไปทางจื่อถงอย่างหมดความอดทนอีกครา นางก็กัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้สุนัขรับใช้ คอยดูเถอะเปิ่นหวางเฟยจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เห็นมั่วจวินเหยาหนีไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเพราะความหวาดกลัว หลิงมู่เอ๋อร์ก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “จวนเสียนหวางปกติก็ครึกครื้นเช่นนี้หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ เพราะหวางเย่ชอบเก็บตัวอยู่ในห้องตำราหรือที่จวนอื่นพ่ะย่ะค่ะ” จื่อถงพยักหน้าทำมือเป็นท่าทางเชิญชวนให้พวกเขาตามตนเข้าไปในห้องรับแขก
เมื่อออกมาจากลานหน้าจวน เดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวสายหนึ่งไปจึงรู้สึกได้ถึงกลิ่นเลือดจางๆ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่จวนเสียนหวางหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“มิใช่ที่จวนเสียนหวางพ่ะย่ะค่ะ” จื่อถงราวกับเอ่ยไปตามสัญชาตญาณ เห็นสายตาของทั้งสามคนที่มองมาอย่างสงสัยมากขึ้น เขาก็เปิดประตูห้องรับแขกพลางอธิบาย “องค์ชายรอง เจิ้งเฟยขององค์ชายรอง รวมถึงหนานกงซื่อจื่อเชิญเข้าไปดูก็จะเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาทนรอไม่ไหวอยู่นานแล้ว พูดตามตรงคือพวกเขาล้วนสงสัยว่าซูเช่อได้รับบาดเจ็บสาหัส
ถึงอย่างไรผู้ที่ปิดบังกายอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีก็เผยตัวอย่างกะทันหัน องค์ชายหกเป็นผู้ที่มีความคิดลึกซึ้ง การจะวางอุบายลงมือทำร้ายเสียนหวางที่แข็งแกร่งก็หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่หลังจากพวกเข้าเข้าไปในห้องรับแขกและเห็นทุกอย่างก็เพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาคิดผิด
“สงฉี่กวง?”
หันกลับไปยังมีชายอีกผู้หนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงซึ่งหายใจรวยรินยิ่งกว่าสงฉี่กวง “ซ่งอี้เฉิง?”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบวิ่งเข้าไป ในยามนี้ซูเช่อกำลังยืนอยู่ข้างเตียงของซ่งอี้เฉิง มองดูหมอกำลังทำการรักษาเขาด้วยความเคร่งเครียด
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
ขณะที่พูดหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไปนั่งอยู่ในมุมไร้ผู้คนหยิบกล่องยาออกมา ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงของซ่งอี้เฉิงและกล่าวกับหมออย่างเป็นมิตร “ให้ข้าจัดการต่อเถอะ”
หมอของจวนเสียนหวางรู้จักหลิงมู่เอ๋อร์ทั้งยังรู้เรื่องทักษะแพทย์ของนางเช่นกัน จึงมิได้โกรธเคืองที่นางไล่เขาออกมา
หมอผู้นั้นพยักหน้าหันกลับไปที่ข้างเตียงของสงฉี่กวง
“พวกเขามิใช่ว่าออกจากเมืองหลวงไปแล้วหรือ? หากคำนวณตามเวลาควรจะถึงเมืองผิงเฉิงนานแล้ว เหตุใดจึงมานอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่จวนเสียนหวางได้?” ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าถามซูเช่อ
“เป็นเรื่องบังเอิญ” ซูเช่อกล่าวอย่างรวบรัด
เขามายืนอยู่หน้าเตียงสายตาเคร่งขรึมมองอย่างเย็นชา เห็นหลิงมู่เอ๋อร์เลิกเสื้อผ้าของซ่งอี้เฉิงเปิดออก ดวงตาที่นิ่งสงบไร้คลื่นอารมณ์ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นเย็นยะเยือก
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์เปิดเสื้อผ้าของซ่งอี้เฉิงจนเผยให้เห็นหน้าอกกว้าง เขาก็ระงับโทสะย่อกายลงไปกดแขนนางไว้ “กัวเหล่าตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขาหมดแล้วแม้จะดูเหมือนสาหัสแต่มิได้ร้ายแรงถึงชีวิต หากเจ้าไม่เชื่อจะให้กัวเหล่าตรวจสอบอีกคราก็ย่อมได้”
กัวเหล่าเป็นหมอที่ถูกนางทำให้ถอยออกไปเมื่อครู่ เป็นหนึ่งในผู้ที่ซูเช่อเชื่อใจซึ่งหาได้ยาก
“ทักษะแพทย์ของกัวเหล่ายอดเยี่ยมจริงๆ แต่ซ่งอี้เฉิงเขาถูกพิษ” หลังจากประโยคหลังสิ้นสุดลง หลิงมู่เอ๋อร์ก็เปิดเสื้อผ้าของเขาโดยมิได้สนใจการคัดค้านของซูเช่อ เป็นไปดังคาด ข้างล่างหน้าอกของซ่งอี้เฉิงห่างลงมาสามนิ้วกลายเป็นสีดำไปแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใด หันกลับไปใช้สายตาส่งสัญญาณให้กัวเหล่า หลังอีกฝ่ายเงียบงันไปสามวินาทีก็เปิดเสื้อผ้าของสงฉี่กวงจึงพบว่าผิวหนังบริเวณเดียวกันเปลี่ยนไปเป็นสีดำเช่นกัน
“นี่มัน…” กัวเหล่าส่ายศีรษะ “ละอายใจแล้ว ละอายใจแล้ว ทักษะแพทย์ของคนเฒ่าเช่นข้าแม้จะยอดเยี่ยมแต่คาดไม่ถึงว่าจะหาใช่คู่มือของแม่นางเซียนแพทย์ คนเฒ่าเช่นข้ารู้สึกเลื่อมใสจริงๆ”
“กัวเหล่าเกรงใจกันเกินไปแล้ว อาจเป็นเพราะข้ายังอายุน้อยจึงทำให้สายตาดีอยู่บ้างเท่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากกล่องยาและเริ่มตรวจพิษ
ซูเช่อยังคิดจะพูดอันใดแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงทอดถอนใจพลางยืนขึ้น เบนสายตาไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน
“เมื่อสิบวันก่อนกระหม่อมได้รับคำสั่งให้ไปจัดการปัญหาน้ำท่วมที่เมืองหมิงสุ่ย เมืองหมิงสุ่ยอยู่ห่างจากเมืองหลวงค่อนข้างมาก กระหม่อมให้อิ๋นถงล่วงหน้าไปจัดการก่อน แต่ผลคือระหว่างทางอิ๋นถงพบกลุ่มคนกำลังต่อสู้กัน เดิมทีอิ๋นถงคิดว่ามีโจรมาขวางทางปล้นชิงแต่เมื่อมองดูอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าเป็นสองคนนี้ หากมิใช่เพราะอิ๋นถงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาคงตายไปแล้ว”
ถือเป็นการอธิบายว่าเหตุใดสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงจึงมาอยู่ที่จวนเสียนหวาง
“เช่นนั้นรอยเลือดที่อยู่บนรถม้าข้างนอกก็ล้วนเป็นของพวกเขาหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถาม
“ถูกต้อง ยังดีที่อิ๋นถงพาคนไปค่อนข้างมากจึงจับตัวมือสังหารมาได้คนหนึ่งซึ่งถูกกระหม่อมขังไว้ที่คุกใต้ดิน องค์ชายรองต้องการไปไต่สวนด้วยตัวเองหรือไม่?”
“แน่นอน!”
กล่าวจบซั่งกวนเซ่าเฉินหมุนกายเดินนำหน้าไปก่อน
หลังจากสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงไปเป็นพยานชี้ตัวฉินเสียนถิงก็นับว่าเป็นคนของเขาแล้ว ผู้ใดขวัญกล้าเทียมฟ้าถึงขั้นกล้ามาลอบสังหารพวกเขาระหว่างทางออกจากเมืองหลวงกัน!
แม้ซูเช่อจะบอกว่าอิ๋นถงช่วยพวกเขาไว้ แต่เหตุใดจึงบังเอิญมากถึงขนาดที่ถูกคนของเสียนหวางพบเข้าได้ หรือเสียนหวางแอบช่วยเหลือพวกเขามาโดยตลอด?
ใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินเต็มไปด้วยความเย็นชาและโทสะ สีหน้ามืดครึ้มซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ทั่วทั้งร่างแผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกออกมาราวกับสัตว์ร้ายที่เงยศีรษะขึ้นมาในค่ำคืนอันมืดมิด
เชิงอรรถ
[1] กินในชามแล้วยังมองในหม้อ หมายถึง คนหลายใจ