เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 429 เข้ามาอยู่ในใจมาอยู่ในใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 429 เข้ามาอยู่ในใจมาอยู่ในใจ
เล่มที่ 15 ตอนที่ 429 เข้ามาอยู่ในใจ
ความจริงก่อนที่พี่เซิงเอ๋อร์จะจากไปได้ให้จดหมายนางไว้ฉบับหนึ่ง ทว่าในจดหมายยังมีกระเป๋าพกเล็กๆ ใบหนึ่งอยู่ด้วย ซึ่งสิ่งที่อยู่ภายในคือหยกห้อยเอวชิ้นนี้
แม้นางจะสงสัยเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอดว่าเหตุใดพี่เซิงเอ๋อร์จึงทิ้งหยกห้อยเอวชิ้นนี้ไว้ แต่ยามนี้นางอยากถามเพียงว่าเหตุใดพี่เซิงเอ๋อร์จึงมีของที่สำคัญเช่นนี้อยู่?
หยกห้อยเอวมีรูปทรงสี่เหลี่ยมโดยข้างหลังมีสัญลักษณ์พิเศษสลักไว้ ในยามนั้นนางยังสงสัยว่าหยกห้อยเอวที่พี่เซิงเอ๋อร์ทิ้งไว้เหตุใดจึงดูเหมือนตราออกคำสั่งบางสิ่ง มายามนี้ดูท่าพี่เซิงเอ๋อร์จะช่วยนางไว้อีกคราแล้ว!
“หรือนี่จะเป็นหยกออกคำสั่งของฉินเสียนถิง?” หนานกงอี้จือรู้สึกเพียงว่าแม้แต่สวรรค์เบื้องบนก็ยังล้วนช่วยเหลือพวกเขา
“อี้จือ!” หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินหยิบขึ้นมาพิจารณาก็ออกคำสั่ง “เอาของสิ่งนี้ล่วงหน้าไปที่เมืองหรงเฉิงเดี๋ยวนี้ จะต้องตามหาคนพวกนั้นให้เจอ และเคลื่อนกำลังทั้งหมดพากลับมาที่เมืองหลวง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อเป็นกองกำลังที่เจ้าเจ็ดชุบเลี้ยงไว้ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เขามอบให้เสด็จพ่อ!”
“พ่ะย่ะค่ะ อี้จือน้อมรับคำสั่ง!” หนานกงอี้จือใส่หยกออกคำสั่งไว้ในกระเป๋าที่อกเสื้อซึ่งปลอดภัยที่สุด “ญาติผู้พี่ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
สามวันหลังจากนั้น
หนานกงอี้จือที่ควบม้าเร็วห้อตะบึงไปที่เมืองหรงเฉิงส่งข้อความมาทางพิราบสื่อสาร ที่แท้เขาก็นำหยกออกคำสั่งไปยังตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหรงเฉิง และหาที่อยู่ของคนเหล่านั้นเจอได้อย่างง่ายดาย
เครื่องหมายออกคำสั่งที่พี่เซิงเอ๋อร์ทิ้งไว้เป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้ใช้เคลื่อนกองกำลังของพวกเขาจริงๆ หนานกงอี้จือเอาหยกออกคำสั่งไปเคลื่อนกำลังทหารนับสองหมื่นนาย ให้ทุกคนติดตามเขากลับมาที่เมืองหลวง
“ครานี้เป็นความพ่ายแพ้ของฉินเสียนถิงซึ่งหากขาดเสียนหวางไปคงไม่สำเร็จ เปิ่นหวางจื่อขอบคุณเสียนหวางมาก!”
หลังจากส่งจดหมายที่หนานกงอี้จือส่งมาทางพิราบสื่อสารให้ซูเช่ออ่าน ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยกแก้วขึ้นมาไหวไหล่ไปทางเขา ดื่มชาแทนเหล้าด้วยสีหน้ารู้สึกขอบคุณ
ในห้องตำราซึ่งมีบรรยากาศขมุกขมัว ซูเช่อที่นั่งอยู่หน้ากระดานหมากล้อมรับจดหมายไป หลังจากอ่านอย่างถี่ถ้วนก็ยกถ้วยชาขึ้นมา “องค์ชายรองเกรงใจกันเกินไปแล้ว ตั้งแต่กระหม่อมเลือกอยู่ฝั่งองค์ชายรองก็ได้วางแผนทั้งหมดไว้ แต่เปิ่นหวางแค่โชคดีที่ชนะเดิมพันเท่านั้น”
พูดเสียสวยหรูว่ายืนอยู่ข้างเขาแต่แท้จริงแล้วผู้ที่เสียนหวางช่วยก็คือหลิงมู่เอ๋อร์ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
แต่ในโลกของผู้ใหญ่มิใช่ว่าจำเป็นต้องพูดออกมาทุกคำพูด
“เสียนหวางเสียสละมากมายถึงเพียงนี้ แต่เจ้าวางใจเถอะ เปิ่นหวางจื่อจะใช้วิธีของข้าชดเชยให้เอง เพียงแต่…” ซั่งกวนเซ่าเฉินชะงักไปเล็กน้อย “เสียนหวางเกี่ยวดองกับแคว้นซีอวี้แล้วโดยการตบแต่งองค์หญิงแคว้นซีอวี้มาเป็นภรรยา ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับแคว้นซีอวี้ ไม่ทราบว่าเสียนหวางคิดเห็นเช่นไร?”
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขานั่งพูดคุยเปิดอกกันเรื่องปัญหาของแคว้นซีอวี้
ดวงตาทั้งสองข้างที่ใสกระจ่างของซูเช่อค่อยๆ มืดมัวลง ใบหน้าหล่อเหลาที่มีความยินดีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นอึมครึม
วันนี้ความจริงเขาได้รับคำเชิญจากองค์ชายรองให้มาที่ตำหนักองค์ชายรอง มาถึงก็นั่งดื่มชาเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องตำรา คำพูดขององค์ชายรองมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและรู้สึกผิดต่อเขา ทว่าสุดท้ายก็พูดจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาออกมา
“เจ้ามีอันใดก็ลองพูดออกมาตามตรงได้เลย”
สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดก็คือความอ้อมค้อม
“หากเจ้าต้องการตัดขาดกับแคว้นซีอวี้ข้าสามารถช่วยเจ้าได้” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินแม้จะเย็นชาแต่ก็มีความหนักแน่นจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
ซูเช่อที่กำลังดื่มช้าอย่างอ้อยอิ่งเงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยคิดว่าการตบแต่งภรรยาครั้งแรกในชีวิตของเขาจะมาถึงจุดสิ้นสุดในช่วงเวลาอันสั้นแค่เพียงในสามเดือน
เป็นความจริงที่เขาไม่มีความรู้สึกอันใดต่อมั่วจวินเหยา ไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะสร้างปัญหาในจวนก็ดีหรือจะแสร้งทำตัวว่าง่ายน่าสงสารก็ช่าง เขาล้วนไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา
การตบแต่งกับนางทั้งหมดก็เพื่อช่วยสนับสนุนหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ความรู้สึกของเขาต้องให้ผู้อื่นมาชี้นิ้วสั่งตั้งแต่เมื่อใด?
“ไม่จำเป็น”
ได้ยินซูเช่อปฏิเสธอย่างเย็นชา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ขมวดคิ้วแน่น “เรื่องในจวนของเสียนหวางเปิ่นหวางจื่อไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย แต่เจ้าน่าจะรู้จุดประสงค์เบื้องหลังที่อามู่เต๋อดึงดันจะให้มั่วจวินเหยาตบแต่งเข้ามา เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่เข้าใจ หากขวางไว้ได้ทันเวลาก็ย่อมเป็นผลดีแก่ตัวเจ้า”
ได้ยินคำพูดนี้มือที่ถือถ้วยชาของซูเช่อก็ชะงักไป
ถูกต้อง ความจริงสิ่งที่เขาพูดก็ไม่ผิด อาศัยเรื่องที่มั่วจวินเหยาสร้างเรื่องที่จวนอยู่หลายครั้งหลายครา เขาก็สามารถหาเหตุผลมาหย่าร้างกับนางได้โดยง่ายแล้ว ซึ่งย่อมดีกว่าการที่ในอนาคตแคว้นซีอวี้จะอ้างสถานะราชบุตรเขยของเขามาคุกคามสร้างอันตรายแก่เมืองหลวงมากนัก
แม้มั่วจวินเหยาจะตบแต่งให้เขาแล้วเป็นการตบแต่งเข้าแคว้นเทียนเฉา แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นราชบุตรเขยของแคว้นซีอวี้ เหตุใดอามู่เต๋อจึงยอมรับความอัปยศทั้งยังต้องการให้องค์หญิงผู้เป็นที่รักยิ่งของแคว้นซีอวี้ตบแต่งเข้ามาเล่า หากมิใช่เพราะเขาเพ่งเล็งตระกูลซูไว้แล้วจะเป็นอันใดไปได้?
จุดประสงค์ที่แท้จริงของอามู่เต๋อจะเป็นสิ่งใดเขาหาได้สนใจจะไปสอดส่อง แต่หากแคว้นซีอวี้คิดสร้างเรื่องก็มีแต่จะส่งผลร้ายต่อสถานะเสียนหวางของเขาเท่านั้น
“ช่วยกระหม่อมหรือ? ได้ ไม่ทราบว่าองค์ชายรองจะช่วยอย่างไรเล่า?” ซูเช่อยอมรับความหวังดีของเขา
แต่ไม่นานสายตาเย็นชาก็พุ่งเข้ามา “แม้จะกล่าวว่าองค์ชายเจ็ดถูกโค่นลงแล้ว แต่ภัยคุกคามที่มีต่อการขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นขององค์ชายรองก็ยังมิได้หายไปจนสิ้น ภายนอกองค์ชายหกอาจกำลังช่วยเหลือท่านแต่แท้จริงกลับวางแผนยืมมีดฆ่าคน เรื่องนี้ในใจท่านย่อมรู้ดีที่สุด! แต่ยังไม่ทันจะได้รับตำแหน่งนั้นแล้วองค์ชายรองจะช่วยเหลือเสียนหวางอย่างไรหรือ?”
หากอีกฝ่ายช่วยได้ก็คงไม่ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตกที่นั่งลำบากตั้งแต่แรก และเขาก็ย่อมไม่ต้องเสียสละตัวเองตบแต่งกับสตรีที่ไม่ได้รัก
“ข้าย่อมมีวิธีของข้า เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ตราบใดที่เจ้าไม่มีความเห็นต่าง เรื่องทั้งหมดนี้ก็ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินเงียบงันไปครู่หนึ่งก็มีสายตาแน่วแน่ขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูเช่อปฏิเสธอีกคราอย่างไม่ต้องคิด
“เพราะเหตุใด?”
เพราะข้าไม่อยากให้มู่เอ๋อร์ลำบากใจ
คำพูดเช่นนี้แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจพูดออกไปได้
หลิงมู่เอ๋อร์ตบแต่งให้อีกฝ่ายแล้ว หากเขายังมาพูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจนเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความคิดหลายรูปแบบขึ้นมา ซึ่งมีแต่จะนำพาเคราะห์ร้ายมาให้แม่นางน้อยผู้นั้นเท่านั้น และนั่นจะมิใช่ความรักที่มีต่อนางแต่จะเป็นการทำร้ายนางเสียมากกว่า
“เรื่องของเปิ่นหวางแต่ไหนแต่ไรก็มิชอบให้ผู้อื่นสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว มั่วจวินเหยาแค่คนเดียวกระหม่อมสามารถจัดการได้ ส่วนแคว้นซีอวี้…” ก้นบึ้งในดวงตาของซูเช่อฉายแววชั่วร้าย “หากเขากล้ามาเหยียบจมูกกระหม่อม กระหม่อมจะทำให้เขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบไปชั่วชีวิต!”
กัดฟันกล่าวทิ้งท้ายไม่กี่คำ ซูเช่อก็ดื่มชาในถ้วยรวดเดียวหมด ถ้วยชาอันประณีตถูกวางไว้บนกระดานหมากล้อม มองสถานการณ์ของกระดานหมากล้อมตรงหน้า หมากสีดำไร้หนทางถอยแล้ว แต่เขาครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก็เคลื่อนย้ายอย่างนุ่มนวลไปครึ่งก้าวจนพลิกสถานการณ์ได้
“องค์ชายรองออมมือแล้ว!”
“ทักษะการวางหมากของเสียนหวางแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังตรัสชื่นชมไม่ขาดปาก เป็นอย่างที่คาดจริงๆ” ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าให้เขา ยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้โดยมิได้รู้สึกเสียหน้า
“นี่ก็มืดแล้ว วันนี้ขอบพระทัยองค์ชายรองเป็นอย่างยิ่งสำหรับการต้อนรับพ่ะย่ะค่ะ” ซู่เช่อกล่าวจบก็ลุกขึ้น
“คดีขององค์ชายเจ็ดในเมื่อหนานกงซื่อจื่อหาเบาะแสพบแล้วก็มิมีเรื่องอันใดให้เปิ่นหวางจัดการอีก กระหม่อมช่วยเหลือพวกท่านก็นับเป็นการช่วยเหลือตัวเอง ขอในใจขององค์ชายรองอย่าได้คิดว่าติดค้างอันใด ส่วนเรื่องในจวนของเปิ่นหวาง องค์ชายรอวางใจเถิด เปิ่นหวางตัดสินใจเองได้พ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบซูเช่อก็ประสานมือทั้งสองข้างโค้งคำนับ ไม่รอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินรั้งตัว เขาก็หมุนกายจากไปแล้ว
ลงแรงไปมากมายถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ต้องการให้ซาบซึ้งในบุญคุณ นี่มันจะต่างอันใดกับการทำความดีโดยไม่ประสงค์จะออกนามเล่า?
ไม่ ยังมีความแตกต่างอยู่ตรงเรื่องที่ซูเช่อจัดการฉินเสียนถิงเพราะเคยเกือบตายอยู่ในทางลับของตำหนักองค์ชายเจ็ด
“มู่เอ๋อร์รู้ว่าวันนี้ข้าเชิญเจ้ามาที่ตำหนักจึงเตรียมมื้อเย็นไว้แล้ว ไม่สู้เสียนหวางอยู่กินอาหารด้วยกันก่อนจะดีกว่ากระมัง” คำพูดของซั่งกวนเซ่าเฉินมีความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีความเสแสร้งแม้แต่น้อย
ความจริงเขาก็โกรธเคืองที่มีผู้ที่ยังรักใคร่และคิดคำนึงถึงแม่นางน้อยของเขา แต่เขาก็หาใช่คนจิตใจคับแคบเช่นนั้น
“บังเอิญว่าหม้อไฟที่กินในตำหนักเมื่อไม่กี่วันก่อนกระหม่อมชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง เมื่อวานเปิ่นหวางจึงให้บ่าวมาหาเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเพื่อขอสูตรไปแล้ว วันนี้ก่อนออกจากจวนจึงสั่งบ่าวในจวนให้เตรียมไว้เป็นพิเศษ กระหม่อมชอบกินเนื้อวัวที่จุ่มลงไปในน้ำแกงรสเผ็ดพอดี ไม่ขอรบกวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของซูเช่อก็เหมือนย่างก้าวของเขาซึ่งก้าวเดินไปอย่างไร้เยื่อใยยิ่ง
เพียงแต่ยามที่เดินไปถึงประตูก็ราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้ “ฉินรั่วเฉินสามารถส่งคนลอบเข้าไปในคุกคุมขังนักโทษประหารได้ ทั้งยังสามารถคอยจับตามองฉินเสียนถิงที่เฉียบแหลมและรอบคอบโดยที่ไม่ถูกจับได้ ดูท่าเขาจะมีสายลับอยู่ในเมืองหลวงไม่น้อย แต่เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถเก็บผลประโยชน์ทั้งหมดไว้กับตัวเองได้ทว่าเหตุใดจึงต้องแบ่งให้ท่านครึ่งหนึ่งด้วย? องค์ชายรองทรงพระปรีชาย่อมรู้ดี”
“ขอบใจมาก!” ยามที่หมุนกายออกจากห้องไป ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กล่าวทิ้งท้ายไว้คำหนึ่ง
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์เตรียมโต๊ะอาหารเรียบร้อย และมาที่ห้องตำราก็เห็นซูเช่อออกมาจากห้องพอดี
“นี่ท่านจะไปแล้วหรือ?”
ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยความเย็นชาบนใบหน้าก็ไม่ทราบว่าหายไปตั้งแต่เมื่อใดทั้งยังแปรเปลี่ยนไปเป็นความยินดี
ยามที่ซูเช่อหันกลับไปก็เห็นสายตาสงสัยของหลิงมู่เอ๋อร์พอดี เขาหยักหน้า “มืดแล้ว”
“มิใช่บอกแล้วหรือว่าขอเลี้ยงอาหารท่าน?”
“คราก่อนมิใช่ว่าเคยเลี้ยงไปแล้วหรือ?” ซูเช่อถาม คิ้วและดวงตาที่โค้งราวกับจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าช่างน่ามองอย่างถึงที่สุด
“นั่นท่านก็กินไปเมื่อวานแล้ว วันนี้ท่านจะไม่กินหรือ? หาได้ยากที่เสียนหวางจะมาตำหนัก ข้าคิดค้นอาหารสูตรใหม่ขึ้นมาท่านจะไม่ลองชิมจริงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์พยายามใช้อาหารรสเลิศล่อลวงเขา
คาดไม่ถึงว่าซูเช่อจะไม่ตกหลุมพราง “หากเปิ่นหวางสามารถถูกชักจูงได้ด้วยอาหารสดใหม่เพียงไม่กี่อย่างก็หาใช่คุณชายอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแล้ว!”
กล่าวจบเขาก็คลี่พัดออก แม้แต่ค่ำคืนอันหนาวเหน็บของช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงก็ยังไม่อาจปิดบังความงดงามจากร่างของเขาได้
“เมื่อครู่บังเอิญพบจื่อถง เขาบอกข้าหมดแล้วว่าท่านมักจะเก็บตัวอยู่ในห้องตำราคนเดียว ถึงอย่างไรที่จวนเสียนหวางก็หาได้มีคนที่ท่านเฝ้ารอ ไม่สู้อยู่กินด้วยกันจะดีกว่ากระมัง คนยิ่งมากก็ยิ่งครึกครื้น” หลิงมู่เอ๋อร์โน้มน้าว
“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่มีผู้ที่เฝ้ารอเล่า?”
ซูเช่อตอบกลับโดยไม่ต้องคิด
เห็นสีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงอย่างกะทันหัน ซูเช่อก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ด้วยสายตาที่คลุมเครือ “เจ้ามีองค์ชายรองอยู่เป็นเพื่อนแล้ว เปิ่นหวางก็มีเสียนหวางเฟยของเปิ่นหวางเช่นกัน มิใช่หรือ?”
หากเขาไม่ยกเรื่องมั่วจวินเหยาขึ้นมาก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อยกขึ้นมาก้นบึ้งในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกแย่ไปเสียหมด
ในชีวิตนี้ผู้ที่นางรู้สึกติดค้างมากที่สุดก็คือซูเช่อ หากเขาตบแต่งกับภรรยาที่ดีก็แล้วไปเถอะทว่ากลับเป็นมั่วจวินเหยาผู้นั้น
เขาใช้ความสุขชั่วชีวิตของตัวเองมาแลกกับการสนับสนุนนาง เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็ไม่อาจชดเชยให้ได้
“ซูเช่อ ข้อเสนอที่จะให้ตัดสัมพันธ์กับแคว้นซีอวี้เป็นข้าที่เสนอขึ้นมาเอง ท่านจะไม่พิจารณาเสียหน่อยจริงหรือ?” ยามที่ซูเช่อหมุนกายไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบถาม ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเขาก็รู้ว่าข้อเสนอของซั่งกวนเซ่าเฉินคงล้มเหลวแล้ว
เป็นไปดังคาด ซูเช่อหยุดฝีเท้าลงก่อนจะหันกลับมา สายตายามที่มองนางมีความไม่พอใจอยู่หลายส่วน
ทันใดนั้นเขาก็หมุนกายสาวเท้ายาวเข้ามาใกล้นาง แขนทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาคิดจะคว้าไหล่ของนางทว่าคิดไปคิดมาก็ปล่อยแขนลง
“ข้าใช้คนแบกเกี้ยวแปดคนหามพาเสียนหวางเฟยตบแต่งเข้ามา ถ้ามาบอกว่าจะทิ้งก็สามารถทิ้งได้เลยหรือ?” สีหน้าของซูเช่อกลายเป็นเย้ยหยันตัวเองก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาโดยพลัน “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีบางคนเข้ามาอยู่ในใจแล้วก็ย่อมมอบใจให้ไปทั้งชีวิต! หากมาล้มเลิกยามนี้ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้จะไม่นับว่าสูญเปล่าหมดหรือ?”