เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 427 ของขวัญ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 427 ของขวัญ
เล่มที่ 15 ตอนที่ 427 ของขวัญ
“ไม่ทราบว่าองค์ชายรองแคว้นซีอวี้มีแผนจะช่วยข้าอย่างไร? จะไปฆ่าเขาหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“ฉินรั่วเฉินดูเหมือนจะธรรมดาแต่แท้จริงแล้วปิดบังความสามารถเอาไว้อยู่ เขาอาศัยการที่พื้นเพต่ำต้อยทำให้ไม่ได้รับความสนใจแอบทำเรื่องมากมายอยู่ในที่ลับ! ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเหตุใดเขาจึงมีหลักฐานว่าฉินเสียนถิงแอบซ่องสุมกองกำลังทหารได้เล่า? อีกทั้งเหตุใดเขาจึงสามารถส่งคนเข้าไปฆ่าคนในคุกได้?” อามู่เต๋อไม่สนใจการเหยียดหยามของนาง
ถูกนางดูถูกดูแคลนจนเขาชินเสียแล้ว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฉินเสียนถิงถูกเขาฆ่า?” หลิงมู่เอ๋อร์ตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน
มิใช่ว่านางไม่เคยสงสัยว่าฉินรั่วเฉินเป็นผู้ลงมือ แต่หากแม้แต่อามู่เต๋อก็ยังสามารถคาดเดาอย่างละเอียดได้ ก็แสดงว่าคนในวังหลวงจำนวนมากรวมถึงซั่งกวนเซ่าเฉินล้วนสามารถคาดเดาได้อย่างทะลุปรุโปร่งกระมัง?
“ไม่ใช่เขาแล้วจะให้เป็นข้าหรือ?”
อามู่เต๋อกำลังคิดจะยิ้มเยาะแต่ยามที่เห็นสายตาพิจารณาของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “เจ้าคงไม่ได้คิดว่าเป็นข้าจริงๆ กระมัง?”
“เจ้าเคยทำเรื่องไร้มโนธรรมมาน้อยเสียที่ไหน? จะเพิ่มมาอีกเรื่องก็ไม่นับว่ามากเกินไป” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว มือขวาล้วงเข้าไปในแขนเสื้ออีกครา
อามู่เต๋อย่อมสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของนางในสายตา แต่เขาหาได้สนใจ “เชื่อข้าเถอะ ฉินรั่วเฉินยังเป็นปัญหามากกว่าฉินเสียนถิงเสียอีก วิธีการของเขาโหดเหี้ยมยิ่งกว่าข้า คิดอยากจะจัดการเขาก็หาใช่เรื่องง่ายๆ มีเพียงข้าที่สามารถช่วยเจ้าได้”
“ข้าไม่เชื่อใจเจ้า!” หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองเขาคราหนึ่ง
“นอกเสียจากว่าเจ้าจะยืนนิ่งให้ข้าฆ่าเจ้าเสีย!”
กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ลงมือตามแผนที่คิดไว้ อามู่เต๋อแทบจะยกแขนขวาขึ้นมาต่อต้านตามสัญชาตญาณ
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าอย่ามาไม่รู้จักดีชั่วหน่อยเลย!”
“จื่ออวี้เกือบตายด้วยฝีมือเจ้า ชื่อเสียงของซูเช่อก็ถูกทำลายเพราะเจ้า เจ้าว่าใครกันแน่ที่ไม่รู้จักดีชั่ว!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับเขา เข็มเงินสามเล่มแทงเข้าไปที่แขนของเขาพร้อมกัน เขาทะยานร่างคิดจะโจมตีนาง แต่คาดไม่ถึงว่าไม่รอให้นางลงมือ คนตรงหน้าก็ล้มลงไปบนพื้นดัง ‘ปึง’ อย่างกะทันหัน
เข็มเงินของนางมิได้เคลือบยาพิษ เหตุใดคนผู้นี้จึงได้ล้มลงไปเล่า?
ยามที่เบนสายตาขึ้นไปก็เห็นเพียงข้างหลังตรงจุดที่เดิมทีอามู่เต๋อเคยยืนอยู่ เป็นซูเช่อกำลังเก็บฝ่ามือที่โจมตีกลับไปพอดี
“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” เห็นเขากลางดึกเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นสาวเป็นนางหลังจากนี้จะออกจากบ้านก็ระวังตัวหน่อย พยายามอย่าออกไปคนเดียว” น้ำเสียงของซูเซ่อฟังดูกลุ้มใจทั้งยังมีความเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน กล่าวจบเขาก็มองไปรอบด้านพลางบุ้ยคางชี้ไปทางรถม้าที่อยู่ไม่ไกล “จะให้ส่งเจ้ากลับไปที่ใด?”
“เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรกับเขาหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่อามู่เต๋อซึ่งนอนอยู่บนพื้น
“ที่นี่แม้จะเป็นตรอกรกร้างแต่บางครั้งก็มีแมวป่าหรือสุนัขป่าเดินผ่านบ้าง หากเคราะห์ร้ายจริงๆ ก็คงถูกคาบไปกินจนทำได้เพียงทอดถอนใจกับชะตาชีวิตที่โชคร้ายเท่านั้น” หลังจากซูเช่อพูดทิ้งท้ายอย่างติดตลกก็เดินนำไปข้างหน้าแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม ยามที่เดินผ่านก็ออกแรงเตะไปที่เขาคราหนึ่ง เห็นท่าทางราวกับหมูที่ตายแล้วของเขา นางก็สงสัยขึ้นมาอย่างแท้จริงว่าหากแมวป่าหรือสุนัขป่าผ่านมาจริงๆ ชายผู้นี้จะได้สติขึ้นมาหรือไม่
“แม้เขาจะทำให้เจ้าลำบากแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นองค์ชายของแคว้นวีอวี้ ด้วยสถานะของเปิ่นหวางยังไม่เพียงพอที่จะสามารถฆ่าเขาได้ตามอำเภอใจ” เสียงของซูเช่อที่ดังขึ้นมาจากด้านหน้านับเป็นการอธิบายเรื่องที่เขามิได้ออกหน้าเพื่อนาง
หลิงมู่เอ๋อร์รีบโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสียเพื่อข้าหรอกซูเช่อ…”
“เพื่อเจ้าแล้วไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น!”
ซูเช่อขัดจังหวะคำพูดของนางที่ยังพูดไม่จบ แม้สายตาจะเย็นชาแต่กลับแน่วแน่เป็นพิเศษ
แสงจันทร์ที่ตกกระทบไหล่ของเขาราวกับทั้งร่างของเขาถูกเคลือบด้วยแสงสว่าง และกลิ่นอายสูงศักดิ์ของเขาก็ราวกับส่องสว่างไปทั่วทั้งเส้นทางที่มืดทึบแห่งนี้
คู่ควรกับสถานะคุณชายอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แม้จะสวมชุดดำแต่บรรยากาศสูงศักดิ์ของเขาก็ยังเด่นชัด เมื่อนึกย้อนกลับไปช่วงสองสามปีที่รู้จักกับเขา ก็ราวกับเขามีส่วนใดเปลี่ยนไปแต่ก็ดูราวกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
“ดึกขนาดนี้เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่เส้นทางสายนี้ได้?” หลิงมู่เอ๋อร์พยายามทำลายความกระอักกระอ่วน
“หากข้าบอกว่าผ่านทางมาเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
ซูเช่อเงยหน้า สายตากลับเพียงแค่มองผ่านนางไปหาได้หยุดอยู่ที่นางนานเกินไป
ความจริงเขาผ่านทางมาแต่มิใช่เมื่อครู่ ทว่าเป็นเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน
ระหว่างทางที่เขาออกจากวังหลวงกลับไปยังจวนเสียนหวางก็เห็นนางวิ่งผ่านไปทางนี้อย่างร้อนรน เขาสงสัยว่าดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดนางจึงมาอยู่คนเดียว? ซั่งกวนเซ่าเฉินช่างไม่ห่วงที่แม่นางคนงามของเขามาอยู่เพียงลำพังเลย หากเปลี่ยนเป็นตนจะไม่ทำเช่นนี้แน่
เขาแอบเฝ้ามองมาตลอดต้องการปกป้องความปลอดภัยของนาง เห็นนางเข้าไปในสถานที่ที่มีการคุ้มกันก็เพิ่งตระหนักได้ว่านางไปหาพวกสงฉี่กวง เขารอมาโดยตลอดจนนางออกมาก็คิดจะคุ้มกันนางกลับไปที่จวนตระกูลหลิง แต่คาดไม่ถึงว่าอามู่เต๋อจะปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน
เดิมทีเขาคิดจะออกมาช่วยนางก่อน แต่อามู่เต๋อกลับพูดถึงเรื่องของฉินรั่วเฉินขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาถือโอกาสแอบฟังดูแต่คาดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะแสดงท่าทีใจร้อนอย่างถึงที่สุด คนชั่วอามู่เต๋อผู้นั้นก็ไม่คิดจะปล่อยคนไป คนไร้เหตุผลเช่นนี้ยังนับว่าเป็นบุรุษอยู่หรือ? เป็นการบังคับให้เขาต้องลงมือจริงๆ!
“ขึ้นรถม้าเถอะ มีของมาให้เจ้า” ซูเช่อเปิดม่านรถม้าอย่างเป็นสุภาพบุรุษ และใช้สายตาชี้ให้นางขึ้นไป
เห็นเขาดูมีลับลมคนในถึงเพียงนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็สงสัยจริงๆ จึงขึ้นรถม้าไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว
“การเคลื่อนไหวในช่วงหลายปีมานี้ของฉินรั่วเฉินหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
ยังจำได้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินขอให้หนานกงอี้จือไปตรวจสอบเรื่องนี้ หนานกงอี้จือรู้จักคนในยุทธภพมากมายแต่เขาก็ยังตรวจสอบไม่พบต้นสายปลายเหตุ ทว่าซูเช่อกลับเตรียมทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วหรือ?
“ความจริงฉินรั่วเฉินทำให้ข้าแปลกใจยิ่งจึงคิดว่าควรตรวจสอบเสียหน่อย คาดว่าพวกเจ้าก็คงต้องการสิ่งเหล่านี้เช่นกันจึงนำมาให้เจ้า” ซูเช่อแสดงท่าทีให้นางรับไปอย่างใจกว้างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์นับดูแล้วมีหนังสือสิบเล่มเต็มๆ นางเปิดดูลวกๆ ก็พบว่าเล่มหนึ่งล้วนมีจดบันทึกช่วงเวลารวมถึงการเคลื่อนไหวสำคัญ เห็นได้ชัดเป็นอย่างยิ่งว่าซูเช่อทุ่มเทกับงานนี้ไปมาก
“ซูเช่อ…”
“อย่า ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลถึงเพียงนั้นมองข้า หากต้องการขอบคุณข้าจริงก็เลี้ยงข้าวข้าสักมื้อก็พอ” ซูเช่อกล่าวอย่างสบายอารมณ์ หลังจากหยุดมองเขาอยู่หลายคราก็เบนสายตาออก
ดูเหมือนตั้งแต่ที่นางตบแต่งกับซั่งกวนเซ่าเฉิน ซูเช่อก็ไม่เคยมองนางอย่างรักใคร่อีก
เพราะความให้เกียรติเช่นนี้ ข้าวมื้อหนึ่งนางย่อมเลี้ยงได้
“ได้ยินว่ายามที่ฝ่าบาทพระราชทานจวนเสียนหวางให้ท่านก็ประทานพ่อครัวหลวงผู้หนึ่งให้ท่านด้วย ดูท่าเสียนหวางจะกินอาหารรสชาติโอชะจนเบื่อแล้ว ช่วงนี้ข้าเพิ่งคิดค้นอาหารใหม่ขึ้นมาอย่างหนึ่งพอดีไม่ทราบว่าเสียนหวางว่างวันไหนหรือ?”
“ตอนนี้ก็ว่างอยู่”
ไม่รู้ซูเช่อพูดเล่นหรือพูดจริง หลังจากเขาพูดจบมุมปากก็ยกขึ้นอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ กอปรกับดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างยิ่งทำให้น่ามองอย่างถึงที่สุด
“…ย่อมได้” หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดก่อนจะตอบรับอย่างสบายๆ
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยามที่ศาลาในสวนดอกไม้ของตำหนักองค์ชายรอง บนโต๊ะหินก็เต็มไปด้วยอาหารทุกชนิดทุกรูปแบบแต่ล้วนเป็นของดิบทั้งหมด ตรงกลางมีหม้อขนาดใหญ่หม้อหนึ่งวางอยู่โดยที่ล้อมรอบไปด้วยอาหารแต่ละประเภทซึ่งปากหม้อมีรูปทรงแปดเหลี่ยม ฝั่งหนึ่งเป็นน้ำแกงรสอ่อนซึ่งมีต้นหอมลอยอยู่ในน้ำสีขาวน้ำนม ส่วนอีกฝั่งเป็นน้ำแกงรสเผ็ดเต็มไปด้วยพริกซึ่งมีสีแดงฉาน
น้ำถูกต้มจนเดือดทำให้น้ำแกงส่งเสียงเดือดปุดๆ เป็นฟอง แม้ในหม้อจะยังไม่มีสิ่งใดแต่กลับมีกลิ่นหอมลอยออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
หนานกงอี้จือถูกดึงดูดทำให้อดรนทนไม่ไหวจนต้องกลืนน้ำลาย “ข้าก็ว่าเหตุใดจู่ๆ ก็อยากดื่มเหล้าขึ้นมากลางดึก? เปิ่นซื่อจื่อล้วนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวนอนแล้ว แต่นี่มันของกินอันใดกัน? เหตุใดเนื้อจึงยังดิบอยู่เล่า?”
หนานกงอี้จือขมวดคิ้วมุ่นทั้งสองข้าง เขาเป็นคนทางภาคใต้อย่างแท้จริงจึงกินของดิบไม่ได้แค่มองก็รู้สึกไม่อยากอาหารแล้ว
แต่หม้อแปดเหลี่ยมที่ดูสดใหม่นี้กลับรั้งให้เขาอยู่ต่อ
“หม้อไฟหากต้มจนสุกแล้วค่อยมากินเช่นนั้นจะไม่อร่อยแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ทำมือเป็นท่าทีเชิญชวนให้ทุกคนนั่งลง ทั้งยังส่งสัญญาณให้สาวใช้แจกตะเกียบและรินสุรา
“ในเมื่อไม่เคยกิน เช่นนั้นก็ลองชิมดู!”
หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้ว เห็นทุกคนล้วนมีท่าทีสงสัยนางก็เริ่มลงมือก่อน
ก่อนอื่นก็คีบเนื้อดิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาหลังจากจุ่มลวกขึ้นๆ ลงๆ ในน้ำแกงรสเผ็ดไม่กี่ครั้งก็ยัดเข้าปาก
เห็นท่าทางนางกินอย่างพึงพอใจราวกับเนื้อดิบเป็นอาหารอันโอชะยิ่ง “อื้ม อร่อย เหตุใดพวกท่านจึงไม่กินเล่า?”
ซั่งกวนเซ่าเฉิน หนานกงอี้จือรวมถึงซูเช่อ หลังจากทั้งสามคนพากันมองหน้ากัน คนแรกก็หยิบตะเกียบขึ้นมาปฏิบัติตามนางก่อนจะกินเข้าไปคำหนึ่ง
“เซ่าเฉินท่านไม่กินเผ็ดก็กินน้ำใสเถิด” หลิงมู่เอ๋อร์รีบกำชับ
“ได้” ความจริงซั่งกวนเซ่าเฉินกินของที่เผ็ดเกินไปไม่ได้ แต่เขาเห็นหลิงมู่เอ๋อร์กินอย่างเอร็ดอร่อยจึงคิดจะลองชิมดู ทว่าแม่นางน้อยกลับเตือนบางสิ่งขึ้นมาสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะจุ่มลงไปทางฝั่งที่ไม่มีพริก
“คาดไม่ถึงว่าเนื้อดิบจะทำมีรสชาติอร่อยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? มู่เอ๋อร์เจ้าคิดได้อย่างไรกัน?” สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพบกับของอร่อย
เขาไม่เคยกินของเช่นนี้แต่รสชาติกลับมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก
ได้ยินเขาพูดจบ หนานกงอี้จือและซูเช่อก็เพิ่งขยับตะเกียบ
เป็นไปดังคาด ต่อมาก็ได้ยินหนานกงอี้จือกล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก
“อร่อย จะอร่อยเกินไปแล้ว มู่เอ๋อร์ในหัวเล็กๆ ของเจ้ามีวิธีคิดที่แปลกใหม่เช่นนี้ได้อย่างไร ของสิ่งนี้หากเป็นเมื่อก่อนแม้แต่แตะข้ายังไม่แตะเลย แต่คาดไม่ถึงว่าจะอร่อยเช่นนี้!”
หนานกงอี้จือกินอย่างมีความสุข เอาเนื้อลงไปลวกไม่หยุด ผู้ที่แรกเริ่มรังเกียจมันที่สุดก็คือเขา แต่ผู้ที่กินอย่างเบิกบานใจที่สุดก็คือเขาเช่นกัน
“หม้อไฟต้องกินแบบเผ็ดจึงจะอร่อย หากกินคู่กับเบียร์ก็จะยิ่งอร่อย ทุกคนอยากลองหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบไหใบใหญ่ใบหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะอย่างมีลับลมคมใน
ทุกคนแปลกใจเมื่อพบกับเหล้าสีเหลืองในมือของนางก่อนจะพากันก้าวถอยหลังอีกครา ทว่าเมื่อหลิงมู่เอ๋อร์เริ่มเปิดฝาที่ปิดสนิทออกกลิ่นเหล้าที่หอมฟุ้งก็ลอยออกมา จนทั้งสามคนแทบจะแย่งกันส่งแก้วเหล้ามาให้
“ให้ข้าลองชิมหน่อย เร็วเข้า!” หนานกงอี้จือติดเหล้ามากที่สุด เขารีบชิงมาอยู่ข้างหน้าทั้งสองคน
หลิงมู่เอ๋อร์ก็หาได้เกรงใจเขาเช่นกัน “ถ้าชอบก็ดื่มให้มากหน่อยเถอะ แต่ถ้าดื่มเยอะแล้วท่านถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวก็ระวังกลางคืนอย่าให้แข็งตายอยู่ข้างทะเลสาบเล่า!”
“สตรีเช่นเจ้านี่ถึงอย่างไรก็ช่างใจ…” คำว่าใจร้ายยังไม่ทันกล่าวจบ หนานกงอี้จือก็ถูกสุราที่ไม่เคยดื่มมาก่อนปิดปาก เขาเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นดีใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเหล้านี้เรียกว่าอย่างไรนะ? เหตุใดข้าดื่มแล้วรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้?”
“เรียกว่าเบียร์ มันคือธัญพืช ของสิ่งนี้ทำจากธัญพืชย่อมมีรสชาติที่คุ้นเคยแต่หลังจากดื่มแล้วก็หาได้ธรรมดา ท่านเตรียมตัวให้ดี!”
ในขณะที่หม้อไฟเดือดจัด นางก็ยกแก้วเหล้าขึ้น “แม้คดีขององค์ชายเจ็ดจะมีเงื่อนงำแต่ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของพวกเราก็ถูกถอนรากถอนโคนไปอย่างหนึ่งแล้ว มู่เอ๋อร์ขอคารวะทุกท่าน!”
“เปิ่นซื่อจื่อก็บอกนานแล้วว่าต้องฉลองมื้อใหญ่ พวกเจ้าก็มักจะเอาแต่บอกว่าคดีของฉินเสียนถิงยังไม่จบ ชนแก้ว ชนแก้ว วันนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!” สิ่งที่หนานกงอี้จือชอบมากที่สุดคือการที่ทุกคนมาร่ำสุรากัน เขาเริ่มเงยหน้ากระดกเหล้ารวดเดียว
แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินและซูเช่อกลับหาได้สนใจ
“การตายของเจ้าเจ็ดมีเงื่อนงำ แต่เหตุใดเจ้าหกจึงยอมรับว่าเขาเป็นตัวการเล่า?”