เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 421 ติดสินบน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 421 ติดสินบน
เล่มที่ 15 ตอนที่ 421 ติดสินบน
“ทหาร ทหาร ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ!”
“หากพวกเจ้าไม่ไปกราบทูลให้ข้า รอให้ถึงวันที่เปิ่นหวางจื่อออกไปได้จะตัดหัวพวกเจ้าทุกคนทิ้ง และประหารพวกเจ้าเก้าชั่วโคตร รีบไปกราบทูลให้ข้าเสีย!”
“สมควรตายนัก ไม่ได้ยินคำสั่งของเปิ่นหวางจื่อหรือ? ไม่กี่วันก่อนผู้ใดเป็นคนตกรางวัลให้พวกเจ้ากัน พวกเจ้ามันพวกเนรคุณ!”
“เปิ่นหวางจื่อยินดีจะตอบรับความต้องการอันใดของพวกเจ้า จะให้ทรัพย์สินเงินทองมากพอที่จะทำให้พวกเจ้าใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารอีกดีหรือไม่?”
เสียงประณามด้วยความโกรธเสียงแล้วเสียงเล่าค่อยๆ กลายเป็นคำวิงวอน ฉินเสียนถิงแม้แต่ฝันก็ยังไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เขาตกต่ำลงจนมีสถานะต่ำต้อยเช่นนี้ ทั้งยังต้องมาขอร้องพวกผู้คุมนักโทษที่ต่ำต้อยเหล่านี้ แต่คนพวกนี้กลับทำเป็นหูทวนลมราวกับไม่ได้ยินและมีท่าทีหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้า…”
“พอเสียทีองค์ชายเจ็ด” สุดท้ายผู้คุมนักโทษคนหนึ่งก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาคาบตะเกียบไว้ในปากพลางส่ายศีรษะอย่างหมดความอดทน “เพ้ย ที่ยังเรียกท่านว่าองค์ชายเจ็ดก็นับเป็นให้เกียรติท่านแล้ว เกรงว่าท่านคงลืมไปแล้วกระมังว่าที่นี่คือที่ใด?”
แค่คุกคุมขังนักโทษประหารจะนับเป็นเรื่องใหญ่อันใด?
ฉินเสียนถิงตำหนิอยู่ในใจ หากเป็นเมื่อวาน ไม่สิ เกรงว่าหากเป็นเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนต่อให้พวกเขามีความกล้ามากมาย คนพวกนี้ก็ยังไม่กล้าพูดกับเขาเช่นนี้
ดี เขาจดจำเอาไว้แล้ว
“ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นอย่างไร?” ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเด็ดเดี่ยว และมีท่าทีจริงใจเป็นอย่างมาก
เห็นผู้คุมนักโทษตกตะลึงไปครู่หนึ่งก็รู้ว่าเขาจี้ถูกจุดแล้ว เขาฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน [1] โดยพลัน “ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ขอเพียงเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้สำเร็จหลังจากข้าได้ออกไปแล้วจะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าทันที คนในครอบครัวของเจ้าก็จะได้รับพระราชทานรางวัลไปตามลำดับ เจ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนจะเป็นการดีที่สุด”
“จริงหรือ?” ในขณะเดียวกันผู้คุมนักโทษแปลกใจระคนดีใจจึงไม่ระวังจนทำตะเกียบหล่นจากปาก เขายื่นมือออกไปโดยพลัน “จะเอาทองคำมาให้ก่อนหรือ? ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องเป็นทองคำ ขอเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินทั้งหมด”
บนโลกนี้มีผู้ใดไม่อยากได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางได้เข้าเฝ้าอำมาตย์ [2] บ้าง แต่องค์ชายเจ็ดเป็นผู้ใด ยามนี้สถานะตกต่ำกลายเป็นนักโทษที่ต้องมาขอร้องเจ้าและจะตกรางวัลให้เจ้า หากได้ออกไปจริงไม่แน่คงได้ฆ่าเจ้าตายกระมัง ดังนั้นเทียบระหว่างเงินและตำแหน่งแล้ว ขอเพียงให้เงินมากพอแน่นอนว่าย่อมเป็นเงินที่เชื่อถือได้มากกว่า
เห็นมือของผู้คุมนักโทษยื่นออกมา ฉินเสียนถิงก็ขมวดคิ้ว “ข้าเข้ามาอย่างกะทันหันบนตัวมีเงินมากมายถึงเพียงนั้นเสียที่ไหน หลังจากออกไปแล้วข้าจะให้เจ้า”
“ถุย ไม่มีเงินแล้วจะแสร้งมาทำเป็นยิ่งใหญ่อันใด!” ผู้คุมนักโทษมีโทสะ ขากน้ำลายออกมาและถ่มทั้งหมดไปที่หน้าอกของฉินเสียนถิง
รู้สึกได้ถึงบรรยากาศโกรธเกรี้ยวที่แผ่ออกมาตรงหน้า ผู้คุมนักโทษก็ตกใจกลัวจนลมหายใจติดขัด ร้อนรนจนกำลังจะยอมรับผิด แต่เมื่อตระหนักได้ว่าเขาถูกคุมขังอยู่ในห้องขังไร้หนทางจะทำอันใดได้ ในใจผู้คุมนักโทษจึงค่อยๆ ทอดถอนใจอย่างคลายกังวล
“แต่ในเมื่อไม่มีหนึ่งหมื่นตำลึงจะให้หนึ่งพันตำลึงก่อนก็ย่อมได้” ผู้คุมนักโทษยื่นมือออกมาอีกคราราวกับให้โอกาสเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ดวงตาทั้งสองข้างของฉินเสียนถิงจ้องเขม็ง เขาข่มกลั้นโทสะครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นในยามปกติเขาคงยื่นมือออกไปปลิดชีวิตของอีกฝ่ายแล้ว แต่ในยามนี้ยังต้องใช้อีกฝ่ายอยู่
“เปิ่นหวางจื่อออกมาข้างนอกหาได้พบเงินมาด้วย แต่เปิ่นหวางจื่อพูดแล้วไม่คืนคำ ขอเพียงเจ้าช่วยข้า ข้าจะไม่ถือสาความไร้มารยาทของเจ้าที่มีต่อข้าในวันนี้ ส่วนเรื่องเงินหนึ่งหมื่นตำลึงจะขอเพิ่มก็ย่อมได้และจะไม่ลดแน่นอน แต่เจ้าต้องไปส่งข่าวให้ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” เสียงของฉินเสียนถิงเย็นชาไร้ปรานีแต่ดังกังวานเป็นอย่างยิ่ง
มีครู่หนึ่งที่ผู้คุมนักโทษเกือบแสดงสีหน้าออกมา
“ไม่มีเงินหรือ?” เขายิ้มเยาะ “ฟังสิ่งที่เจ้าพูดมาช่างทำข้าเสียเวลานัก ถุย!”
ถ่มน้ำลายมาบนร่างของฉินเสียนถิงอีกครา แม้ฉินเสียนถิงจะหลบเลี่ยงได้ทันแต่สิ่งสกปรกนั้นก็ยังโดนชุดของเขา
องค์ชายเจ็ดผู้ผ่าเผยกลับถูกบ่าวเหยียบย่ำเช่นนี้ ตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงวันนี้ไหนเลยจะเคยได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้?
แววตาของฉินเสียนถิงเต็มไปด้วยไอสังหาร ฝ่ามือแอบรวบรวมกำลังภายในคิดจะฉวยโอกาสที่ผู้คุมนักโทษเดินผ่านมาข้างๆ บีบคอเขาจนตาย ใครจะรู้ว่าชายคนนั้นจะเตรียมระวังตัวอยู่แล้วจึงหนีไปไกลก่อนที่เขาจะลงมือ
ไม่มีคนช่วยเขาส่งข่าวเขาก็ไร้หนทางจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ และไม่อาจพูดโน้มน้าวให้ตาเฒ่าเชื่อและปล่อยเขาออกไปได้
ถูกจับมาขังอย่างกะทันหันเช่นนี้เขาจึงยังมิได้เตรียมการหรือออกคำสั่งใดไว้ ยามนี้ควรทำเช่นไรดี?
“ทหาร ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่สิ ข้าต้องการเข้าเฝ้าหมิ่นกุ้ยเฟย ไปส่งข่าวแทนข้าเสียว่าข้าต้องการเข้าพบหมิ่นกุ้ยเฟย!” ฉินเสียนถิงตะโกน เดิมกำลังภายในของเขาก็แกร่งกล้าอยู่แล้ว การตะโกนคราหนึ่งก็ราวกับจะดังไปทั่วทั้งคุกคุมขังนักโทษประหาร
“ทหาร ทะ…!”
“หยุดตะโกนได้แล้ว” เสียงอ่อนแอสายหนึ่งดังมาจากในมุมขัดจังหวะการตะโกนอย่างเดือดดาลของฉินเสียนถิง
ฉินเสียนถิงเงยหน้ามองไปทางฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชา เห็นผู้คุมนักโทษผู้หนึ่งที่มีความกล้าเพียงเล็กน้อยยืนอยู่ไม่ไกล มีท่าทางคิดจะเข้าใกล้แต่กลับไม่กล้า ในใจเขาก็ยินดียิ่ง “ข้ายังเป็นองค์ชายเจ็ด แม้จะถูกจับเข้ามาอยู่ในคุกคุมขังนักโทษประหารแต่สักวันหนึ่งย่อมต้องได้ออกไป ขอเพียงเจ้ายอมช่วยข้า ข้าต้องตอบแทนเจ้าแน่ เจ้าจะยอมช่วยหรือไม่?”
ผู้คุมนักโทษผู้ขี้ขลาดหดคอมองไปข้างหลังด้วยเกรงว่าจะมีคนเห็นการกระทำของตน เมื่อยืนยันแล้วว่ารอบด้านไม่มีคนเขาก็กลืนน้ำลาย เดินไปข้างหน้าสามก้าวอย่างระมัดระวังแต่กลับยังถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว
“ท่าน ตั้งแต่วินาทีที่ท่านก้าวเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารก็ย่อมไม่อาจออกไปได้อีกแล้ว ทั้งยังหาใช่องค์ชายอีกต่อไป ท่านควรรู้ตัวได้แล้ว” ผู้คุมนักโทษกล่าวอย่างสั่นเทา
“ใครบอก เปิ่นหวางจื่อไม่เพียงแต่เป็นองค์ชายแต่ในอนาคตยังจะได้เป็นไท่จื่อด้วย!” ฉินเสียนถิงเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก ยังจำเมื่อห้าปีก่อนที่เขาถูกลดตำแหน่งไปอยู่ที่เมืองผิงเฉิงได้ เขาเคยทำนายดวงชะตาอยู่คราหนึ่ง แม้ผลจะออกมาว่าชีวิตนี้ไม่มีชะตาจะได้เป็นไท่จื่อแต่เขาไม่เคยเชื่อเรื่องเช่นนี้
สายตามองไปทางผู้คุมนักโทษที่ขี้ขลาดอีกครา ไม่รู้ว่าคนขี้ขลาดเช่นนี้เหตุใดจึงมาทำงานในคุกคุมขังนักโทษได้ แต่ตราบใดที่มีคนเช่นนี้ก็ย่อมถูกเขาโน้มน้าวได้ นี่เป็นความหวังสุดท้ายของเขา
“ข้าเดาว่าในครอบครัวเจ้าย่อมมีผู้อาวุโสทั้งยังมีเด็ก หากเจ้าอยากให้ครอบครัวเจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้นมีเพียงข้าที่สามารถช่วยเจ้าได้!” ฉินเสียนถิงกล่าว “ฝ่าบาทคงไม่พบข้าอีกแล้ว แต่หมิ่นกุ้ยเฟยจะต้องคิดหาทางมาเป็นแน่ เอาเช่นนี้เถอะ เจ้าไปจัดการเรื่องนี้แทนข้า ในอนาคตหากข้าออกไปได้เสด็จแม่ก็จะดูแลเจ้าเช่นกัน เป็นอย่างไร?”
จำต้องยอมรับว่าเป็นเงื่อนไขที่ดึงดูดคนเป็นอย่างมากจริงๆ
หมิ่นกุ้ยเฟยเป็นผู้ใด? คนผู้นั้นคือผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทในช่วงนี้ ทั้งยังได้ยินว่ากำลังจะถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นหวางโฮ่วอีกด้วย หากเขาช่วยองค์ชายเจ็ดตรงหน้าได้จริง หมิ่นกุ้ยเฟยจะไม่รู้สึกขอบคุณเขาและเลื่อนตำแหน่งให้เขาเลยหรือ?
ผู้คุมนักโทษผู้ขี้ขลาดราวกับเขียนสิ่งที่คิดไว้บนใบหน้า ฉินเสียนถิงพบเจอคนมานับไม่ถ้วนจึงมองออกอย่างชัดเจน
“เจ้าวางใจเถอะข้าย่อมทำตามที่พูดแน่นอน และเสด็จแม่ย่อมรู้สึกขอบคุณเจ้า” กล่าวจบเขาก็กวักมือเรียกผู้คุมนักโทษ เวลาของเขามีไม่มากจะต้องคว้าโอกาสทุกนาทีทุกวินาทีเอาไว้ ไม่เช่นนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ คนสารเลวทั้งสองคนนั้นที่อยู่ข้างนอกจะต้องคิดวิธีมาฆ่าเขาให้เร็วที่สุดเป็นแน่
เขาจะตายไม่ได้หากยังทำสิ่งที่หมายมั่นไม่สำเร็จ ตำแหน่งไท่จื่ออยู่ตรงหน้าแล้วจะมาพลาดก้าวสุดท้ายในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ไม่ได้
“ท่านพูดจริงหรือ?” ผู้คุมนักโทษคล้อยตาม เขาลองหยั่งเชิงด้วยการเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง
ฉินเสียนถิงไม่ได้พูดอันใดและพยักหน้าอย่างจริงใจ
“ได้ ท่านหาวิธีเขียนสิ่งที่ต้องการจะพูดลงในกระดาษแผ่นนี้ ข้าจะเอาไปส่งที่ตำหนักของหมิ่นกุ้ยเฟยแทนท่านเอง” ผู้คุมนักโทษราวกับมีความกล้ามากขึ้น เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกและส่งไป
ฉินเสียนถิงที่ร้อนใจจะหาความช่วยเหลือมิได้ตระหนักว่าสถานการณ์นั้นถูกต้องหรือไม่ เขารีบรับกระดาษไปหยิบถ่านบนพื้นขึ้นมาและเขียนลงไปสองประโยคอย่างรวดเร็ว
“จะต้องมอบให้ถึงมือหมิ่นกุ้ยเฟยด้วยตัวเองเท่านั้น” กล่าวจบฉินเสียนถิงก็ม้วนจดหมายพูดพลางยื่นส่งไปให้ผู้คุมนักโทษที่จ้องมองไม่วางตา
คาดไม่ถึงว่าผู้คุมนักโทษจะเปิดประตูคุกโดยไม่พูดอันใด
ยามที่ฉินเสียนถิงที่ยื่นแขนยาวออกไป ยามที่เงยหน้าขึ้นก็ปะทะเข้ากับสายตาดุร้ายโหดเหี้ยมเข้าพอดี
ยังคงเป็นใบหน้าไร้เดียงสาดูไม่มีพิษมีภัย ทั้งยังเป็นผู้คุมขี้กลัวคนเมื่อครู่ แต่เพียงชั่วพริบตาดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นั้นก็ราวกับถูกวิญญาณดวงอื่นเข้าครอบงำ เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นที่ต่างจากเดิม แต่สายตานั้นช่างดูโหดเหี้ยมและหยิ่งผยอง ไม่รอให้เขาได้ตอบสนองผู้คุมนักโทษคนนั้นก็ยื่นมือมาบีบคอเขา…
“ตายเสียเถอะ”
ณ ตำหนักองค์ชายรอง
ซั่งกวนเซ่าเฉินสืบสวนทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงรีบกลับมา “เตรียมการเรียบร้อย พรุ่งนี้สามารถพาเซิงเอ๋อร์ไปเจอฉินเสียนถิงได้แล้ว”
“ขอบคุณเซ่าเฉิน” เมื่อรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินสามารถเข้าไปในคุกคุมขังนักโทษประหารได้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ลุกขึ้น “ข้าจะส่งคนไปแจ้งให้พี่เซิงเอ๋อร์ทราบเดี๋ยวนี้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้านั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เพื่อรอนาง หลังจากนางจัดการให้ซางจือไปทำงานเรียบร้อย เขาก็จับมือนางไว้อย่างอ่อนโยน “ท่านป้ายังรอแสดงความยินดีกับพวกเราอยู่ที่จวน หากไม่อยากไปข้าจะส่งคนไปแจ้ง”
“เรื่องมงคลเช่นนี้เหตุใดจะไม่อยากไปเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม ประสานนิ้วทั้งสิบกับเขาจับจูงกันไป ทั้งสองคนออกจากตำหนักองค์ชายรองนั่งรถม้าไปที่จวนหนิงกั๋วโหว
ข่าวที่องค์ชายเจ็ดถูกจับเข้าคุกคุมขังนักโทษประหาร หลังจากหนึ่งชั่วยามก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว แม้จะนั่งอยู่ในรถม้าก็ยังได้ยินเหล่าราษฎรพูดคุยเรื่องนี้กัน
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเสียงกล่าวว่าไม่อยากจะเชื่อ ถึงอย่างไรในปีนี้ที่ฉินเสียนถิงกลับมาเมืองหลวงเขาหาได้ทำเรื่องอันใดนอกจากแต่งงาน อีกทั้งยังมิได้ทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะเอาการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อของเหล่าองค์ชายขึ้นมาเป็นเหตุผล และในบรรดานั้นยังมีไม่น้อยที่กล่าวโทษองค์ชายรอง
“หยุดรถ…” หลิงมู่เอ๋อร์ทนฟังต่อไปไม่ได้จริงๆ นางอยากลงจากรถม้าไปประกาศความจริงให้ผู้คนรู้
“ไม่ต้องหรอก” ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับปฏิเสธ
จ้องมองใบหน้าโกรธเคืองของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็บีบอย่างเอ็นดู “ความจริงอยู่ในใจของประชาชน หากเจ้าออกไปยามนี้เหล่าประชาชนก็จะรู้สึกเพียงว่าพวกเราแค่พยายามแก้ตัวซึ่งยิ่งอธิบายก็จะยิ่งไม่ดี รอให้เสด็จพ่อลงโทษฉินเสียนถิงและเปิดเผยความจริงต่อเหล่าประชาชนก็พอ เหตุใดจะต้องรีบร้อนด้วยเล่า?”
“แต่พวกเขาจะมาสร้างความอัปยศให้ท่านได้อย่างไร! เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ท่านเป็นเพียงเหยื่อเท่านั้น”
“มีเจ้าปวดใจแทนก็พอ คนอื่นจะมองอย่างไรแล้วเกี่ยวข้องอันใดกันเล่า?”
วันนี้ดูเหมือนซั่งกวนเซ่าเฉินจะอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง แม้จะได้รับความไม่เป็นธรรมก็ยังยิ้มออกทั้งยังมากเป็นพิเศษยามที่มองนาง ด้วยสายตาที่ราวกับสามารถเปล่งประกายได้
“พี่ใหญ่…” หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะออดอ้อน ทั้งยังทนสายตาที่เร่าร้อนถึงเพียงนี้ของเขาไม่ไหว
“มู่เอ๋อร์ เจ้าอุ้มครรภ์มังกรให้ข้าดีหรือไม่?” ซั่งกวนเซ่าเฉินยื่นมือไปอุ้มนางมาไว้บนตักโดยพลัน ริมฝีปากฝังอยู่ที่ซอกคอของนางด้วยลมหายใจที่หนักหน่วง
ถูกเขาหยอกเย้าจนขนทั้งร่างหายลุกชัน หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะหลบเลี่ยงแต่เขายิ่งเพิ่มแรงขึ้น “เหตุใดจึงต้องการครรภ์มังกรอย่างกะทันหันเช่นนี้?”
“โอรสของไท่จื่อกับไท่จื่อเฟยอายุครบหนึ่งปีแล้ว ลูกของหลิงจือเซวียนและเจาหยางก็ใกล้คลอดเต็มที แม้แต่พี่เซิงเอ๋อร์ของเจ้าก็ยังตั้งครรภ์มาห้าเดือนแล้ว เจ้ากับข้าก็ตบแต่งกันมาสักพักแล้ว…” เสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินแหบพร่าขึ้นเรื่อยๆ จงใจพ่นลมหายใจออกมาราวกับจะสื่อความนัยอันใด
ปัญหาใหญ่ได้รับการแก้ไขแล้วจึงคิดจะลงหลักปักฐานหรือ?
ชายผู้นี้ลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้ที่ท้องพระโรงมีคู่ต่อสู้ที่ยากจะคาดเดาผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา?
“แต่เรื่องนี้ยังจัดการไม่เรียบร้อย”
“ข้าจะปกป้องพวกเจ้าแม่ลูกให้ดี”
เชิงอรรถ
[1] ตีเหล็กตอนยังร้อน หมายถึง เมื่อมีโอกาสก็ฉวยโอกาสนั้นไว้และรีบลงมือ หรือน้ำขึ้นให้รีบตัก
[2] ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางได้เข้าเฝ้าอำมาตย์ หมายถึง ได้รับการสนับสนุนอุ้มชูจากผู้เป็นเจ้านายทำให้หน้าที่การงานก้าวหน้า