เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 419 ปรอท
เล่มที่ 14 ตอนที่ 419 ปรอท
หลิงมู่เอ๋อร์คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ในตำหนักขององค์ชายเจ็ดมีการสร้างคุกไว้ก็ช่างเถอะ ในคุกยังมีกลไกอาวุธลับอีก
ถ้าไม่ใช่เพราะซั่งกวนเซ่าเฉินเอาตัวนางออกไปทัน เกรงว่าทั้งแส้และลูกธนูพวกนั้นก็คงจะฟาดและยิงใส่นางไปแล้ว
ข้างหูมีเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาของเซิงเอ๋อร์ดังมาไม่หยุด
เบื้องหน้าเป็นแส้ยาวโบกสะบัดนับไม่ถ้วน แม้จะเพียงชั่วพริบตา แต่เซิงเอ๋อร์ราวกับผ่านการทรมานที่โหดร้ายยิ่งกว่าความตาย
“สารเลว หลินเล่อเซิงเจ้าหาที่ตาย!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่านางก็เป็นผู้หญิงตั้งครรภ์เช่นกัน เหตุใดจึงทำร้ายผู้หญิงที่ตั้งครรภ์เหมือนกันเช่นนี้?
ตอนนี้ไม่มีเวลาไปห่วงเรื่องอื่นอีก นางพุ่งเข้าหาหลินเล่อเซิงทันที ต่อให้บีบคอนางจนตาย ก็ไม่เพียงพอที่จะระงับเพลิงโทสะในใจได้
ส่วนหลินเล่อเซิงเสมือนได้ค้นพบบางสิ่ง นางมองไปบางทิศทางอย่างคลุ้มคลั่ง ร้องตะโกนเสียงดังว่า “เสด็จแม่ช่วยข้า เสด็จแม่ช่วยเล่อเซิงด้วยเพคะ!”
“หยุดมือ ล้วนหยุดมือให้เปิ่นกง!”
เมื่อเสียงร้องตะโกนของหมิ่นกุ้ยเฟยจบลง กลไกทั้งหมดในห้องก็หายไป ส่วนเซิงเอ๋อร์นั้นได้ถูกทรมานอย่างน่าสยดสยองจนไม่อาจทนดูได้แล้ว
“ยังตะลึงอะไรอยู่อีก ปล่อยคนสิ!” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนใส่ทหารยาม
ทหารยามเมื่อเห็นเช่นนี้ก็รีบพุ่งเข้าไปเปิดประตูคุก เสี่ยวหลันกับหลิงมู่เอ๋อร์แบกเซิงเอ๋อร์ที่อ่อนแรงออกมาซ้ายขวาคนละข้าง
“หากมีสิ่งเลวร้ายใดเกิดขึ้นกับพี่เซิงเอ๋อร์และเด็กในครรภ์แล้วละก็ ข้าจะให้เจ้าตายตามไปด้วย!”
ในตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์เดินผ่านหน้าของหลินเล่อเซิง ก็พูดข่มขู่อย่างไม่เกรงใจ
ไม่อาจไม่ยอมรับว่า หลินเล่อเซิงถูกคำพูดนี้ทำให้ตกใจแล้ว นางรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าหมิ่นกุ้ยเฟย “เสด็จแม่ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ เสด็จแม่ นี่มิใช่เล่อเซิงอำมหิต แต่เป็นเซิงเอ๋อร์ เป็นนางหญิงสารเลวผู้นี้จะทำร้ายหม่อมฉันก่อนเพคะ”
“นายหญิงของข้าไม่ได้ทำเพคะ!”
ในที่สุดเสี่ยวหลันก็ทนไม่ไหวแล้ว หลังจากที่นางวางเซิงเอ๋อร์ราบลงบนพื้นอย่างมั่นคง ก็เดินไปเบื้องหน้าของหมิ่นกุ้ยเฟยอย่างกล้าหาญ “หมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ นายหญิงถูกพระชายาเอกทรมานและหยามหมิ่นมาโดยตลอด นางข่มขู่นายหญิงของข้าไม่อนุญาตให้พบเหยีย ไม่เพียงเท่านี้ นางยังวางแผนทำร้ายนายหญิงด้วย ขอเหนียงเหนียงทรงโปรดมอบความเป็นธรรมให้นายหญิงด้วยเถิดเพคะ”
“นางกล่าวเหลวไหล!” หลินเล่อเซิงโต้กลับ
เกรงว่าหมิ่นกุ้ยเฟยจะเชื่อคำพูดของข้ารับใช้ผู้หนึ่ง นางหยิกต้นขาของตนครั้งหนึ่งให้น้ำตาหยดลงมา ด้านหนึ่งร่ำไห้ดั่งดอกไม้ในสายฝน อีกด้านวิงวอนอย่างน่าสงสาร “เสด็จแม่ พระองค์ต้องทรงเชื่อคำพูดของเล่อเซิงจึงจะถูกสิเพคะ เล่อเซิงไม่มีทางโป้ปดพระองค์เพคะ เป็นเซิงเอ๋อร์ เป็นเซิงเอ๋อร์ เมื่อครู่ไม่เพียงผลักหม่อมฉันล้มลง ยังวางยาในน้ำชาที่หม่อมฉันดื่มด้วย นางต้องการทำร้ายพระนัดดาน้อยที่ยังไม่ถือกำเนิดของหม่อมฉัน ดังนั้นเล่อเซิงจึงได้สั่งสอนนางเยี่ยงนี้เพคะ ขอให้เสด็จแม่ทรงมอบความเป็นธรรมให้แก่เล่อเซิงด้วย!”
กล่าวจบ หลินเล่อเซิงก็โขกศีรษะอย่างแรง น้ำตายิ่งไหลลงมาราวกับไข่มุกไม่ขาดสาย ทำให้ใครเห็นก็อดที่จะเวทนาสงสารไม่ได้
เซิงเอ๋อร์ที่ถูกป้อนยาลูกกลอนก็รู้สึกว่าพลังปราญและเลือดได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย ราวกับคว้าชีวิตกลับมาได้ชีวิตหนึ่งก็ไม่ปาน
มองใบหน้าที่น่ารังเกียจของหลินเล่อเซิง นี่เป็นครั้งแรกที่นางพยายามต่อต้าน “มิใช่เพคะ ความจริงมิได้เป็นเช่นที่นางกล่าว หม่อมฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายนางมาก่อน เป็นนางต้องการให้หม่อมฉันตายจึงจงใจสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา ขอเสด็จแม่ทรงโปรดเชื่อหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“เพ้ย เจ้าเป็นเพียงหญิงรับใช้ต่ำต้อย ที่มีชาติกำเนิดชั้นต่ำผู้หนึ่งเท่านั้น เหยียยกย่องเจ้าจึงได้แต่งตั้งเจ้าเป็นชายารอง คำว่าเสด็จแม่นี้ก็เป็นคำที่เจ้าเรียกได้ด้วยหรือ?” หลินเล่อเซิงตัดบทคำพูดของเซิงเอ๋อร์ ทั้งยังเหยียดหยามชาติกำเนิดของเซิงเอ๋อร์ต่อหน้าหมิ่นกุ้ยเฟยอีกด้วย
หมิ่นกุ้ยเฟยที่เดิมยังมีความเวทนาต่อเซิงเอ๋อร์อยู่เล็กน้อย ก็นึกถึงชาติกำเนิดของเซิงเอ๋อร์ขึ้นมา จากนั้นมองไปยังหลินเล่อเซิงที่ประดุจดอกสาลี่ภายใต้หยาดฝนอีกครั้ง สุดท้ายเลือกที่จะเชื่อฝ่ายหลัง
“ไร้เหตุผลสิ้นดี ถึงกับมีคนคิดจะทำร้ายพระราชนัดดาที่ยังไม่ประสูติของข้า!” หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าว ยามนี้ได้หมุนกายกลับมาแล้ว “เซิงเอ๋อร์ เจ้าควรมีความผิดเยี่ยงไร!”
ตนใกล้จะตายแล้ว ยังถูกใส่ร้ายเช่นนี้อีก เซิงเอ๋อร์รู้สึกเพียงว่า ความรู้สึกเช่นนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่อยู่มิสู้ตายจริงๆ
เหยียเล่า เหยียของนางอยู่ที่ใดกัน เหตุใดแม้แต่หมิ่นกุ้ยเฟยก็ปรากฏกายแล้ว แต่เหยียกลับไม่ทรงออกมาช่วยนาง?
“เสด็จแม่! หม่อมฉันยอมรับว่าตนเองมีฐานะต่ำต้อย แต่ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นสตรีของเหยีย หม่อมฉันได้ทุ่มเททั้งดวงใจต่อเหยียเพียงผู้เดียว ทรงมองไม่ออกจริงๆ หรือเพคะ? หม่อมฉันชื่นชมเหยีย ชอบเหยีย แล้วจะทำร้ายลูกของพระองค์ได้อย่างไร?” เซิงเอ๋อร์ร้องตะโกน ราวกับได้ใช้พลังงานไปจนหมดสิ้น
หลินเล่อเซิงเกรงว่าหมิ่นกุ้ยเฟยจะเชื่อคำพูดของเซิงเอ๋อร์ จึงรีบกล่าวเสริมว่า “เช่นนั้น ที่วันนี้เจ้าวางยาข้า จะอธิบายอย่างไร?”
“ข้าไม่เคยวางยาท่านมาก่อน!”
“หึ หากมิใช่เจ้า? หรือจะเป็นข้าเองหรืออย่างไร?” หลินเล่อเซิงเย้ยหยัน
แต่ในยามที่สายตาย้อนกลับมายังเบื้องหน้าของหมิ่นกุ้ยเฟย นางก็กลายเป็นผู้ถูกกระทำที่อ่อนแอน่าสงสารอีกครั้ง “เสด็จแม่ ทรงเห็นเล่อเซิงเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก เล่อเซิงจะเป็นคนชั่วร้ายที่วางแผนใส่ร้ายผู้อื่นได้อย่างไรกันเพคะ? นอกจากนี้ ข้าถึงขั้นยอมอดทนให้เซิงเอ๋อร์แต่งกับเหยียได้แล้ว แล้วยังจำเป็นจะต้องทำร้ายนางอีกหรือ? ต่อให้ต้องการทำร้ายนางก็คงลงมือนานแล้ว เหตุใดจึงต้องรอจนถึงเวลานี้ด้วย? เป็นเพราะครั้งนี้นางทำเกินไปจริงๆ ถึงกับกล้าลงมือกับพระราชนัดดา ดังนั้นเล่อเซิงจึงได้สั่งสอนนางเพคะ เสด็จแม่ต้องทรงให้ความเป็นธรรมกับเล่อเซิงนะเพคะ!”
เห็นท่าทางร้องไห้กระซิกๆ ของหลินเล่อเซิง หมิ่นกุ้ยเฟยก็รู้สึกสงสารอย่างประหลาด
เมื่อหันสายตากลับมามองเซิงเอ๋อร์ ขณะนางคิดจะสั่งการให้คนนำตัวนางไปสั่งสอน หลิงมู่เอ๋อร์ก็แย่งเอ่ยปากก่อน
“ที่แท้เป็นผู้ใดคิดทำร้ายผู้ใด เพียงตรวจสอบก็รู้แล้ว ในเมื่อพระชายาขององค์ชายเจ็ดมั่นใจว่าเซิงเอ๋อร์ทำร้ายท่าน เยี่ยงนี้ก็เชื่อว่าท่านคงไม่กลัวคนตรวจสอบกระมัง”
ได้ยินคำพูดนี้ของหลิงมู่เอ๋อร์ หลินเล่อเซิงสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บก่อน เพราะสายตาและน้ำเสียงของนางเย็นเยียบเกินไปจริงๆ ทว่านางจะยอมรับว่าตนหวาดกลัวได้อย่างไร
“แน่ แน่นอน!”
“ดีมาก” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าเซิงเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว นางจึงเดินไปด้านหน้าของหมิ่นกุ้ยเฟย “หมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง เชื่อว่าเมื่อครู่พระองค์ก็ทรงเห็นแล้ว และก็ทรงได้ยินแล้วว่า พวกนางทั้งสองต่างบอกว่าตนเป็นผู้ถูกทำร้าย แต่ที่แท้ผู้ใดพูดเรื่องจริง ผู้ใดพูดโกหกกันแน่ จะต้องใช้หลักฐานมากล่าวกัน ถูกต้องหรือไม่เพคะ?”
หมิ่นกุ้ยเฟยไม่รู้ว่าที่แท้หลิงมู่เอ๋อร์คิดกล่าวสิ่งใดกันแน่ แต่ถึงแม้นางจะไม่ชอบเซิงเอ๋อร์ แต่เด็กในท้องของนางก็เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
“เจ้ามีวิธีใดกัน?”
“ง่ายมาก เมื่อครู่พระชายาเอกมิใช่เพิ่งกล่าวว่าพี่เซิงเอ๋อร์วางยานางหรือ เช่นนั้นขอถามว่า ใช้ยาพิษตัวใด และวางยาท่านเวลาใดกัน? ตั้งแต่ยามฟ้าสาง พี่เซิงเอ๋อร์ก็ถูกท่านคุมขังอยู่ที่นี่ แล้วนางวางยาพิษท่านอย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของหลินเล่อเซิงก็เปลี่ยนจากเขียวเป็นขาวทันที
นางกำลังคิดจะเอ่ยปากหาข้ออ้างแก้ต่างให้ตน แต่ก็ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ขัดลง
“ไม่ต้องไปสนใจก่อนว่าพี่เซิงเอ๋อร์จะวางยาพิษท่านอย่างไร อาศัยเพียงเมื่อครู่ที่นางถูกกลไกที่พุ่งออกมาทำร้าย นางได้เสี่ยงชีวิตปกป้องเด็กในท้อง คนที่ใกล้ตายแล้วผู้หนึ่งยังคิดใช้ความหวังสุดท้ายคุ้มครองบุตรที่ยังไม่เกิด นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่า ความรักของแม่ที่นางมีนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แล้วผู้ที่ให้ความสำคัญต่อชีวิตของเด็กทารกเช่นนี้ จะทำร้ายทารกในครรภ์ของท่านได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลินเล่อเซิงก็ไร้คำพูดไปทันที
สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์มองไปยังหมิ่นกุ้ยเฟยอีกครั้ง “กุ้ยเฟยเหนียงเหนีง ล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ชายเจ็ดเช่นเดียวกัน หรือทรงไม่คิดว่าเรื่องนี้ควรจะตรวจสอบให้ดีเพคะ?”
ในเสี้ยววินาทีนั้น หมิ่นกุ้ยเฟยก็ตกอยู่ในความลำบากใจทั้งสองฝ่าย นางไม่ต้องการเชื่อคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่น้อย แต่พระราชนัดดาเป็นผู้บริสุทธิ์ นั่นเป็นลูกของถิงเอ๋อร์เลยนะ
“ใครเข้ามา ตรวจสอบ!”
“เสด็จแม่!” หลินเล่อเซิงตกตะลึงอย่างยิ่งแล้ว อย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า เสด็จแม่จะถูกคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ยุยงเอาได้ นางกำลังคิดจะกล่าวให้ร้ายหลิงมู่เอ๋อร์ แต่น่าเสียดายเมื่อนางเอ่ยปากอีกครั้ง
“แน่นอนว่าต้องตรวจสอบ แต่หากข้าเป็นท่านแล้วละก็ จะเริ่มหาจากเรือนของพระชายาเอกก่อน”
“คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” คำพูดนี้จุดประกายความไม่พอใจของหลิงเล่อเซิงได้สำเร็จ “หลิงมู่เอ๋อร์ ข้าเคารพที่เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายรอง บางเรื่องจึงไม่เอาความกับเจ้า แต่ความหมายของเจ้าคือข้าจะทำร้ายตนเองอย่างนั้นหรือ?”
“คำพูดนี้เป็นท่านพูดเองนะ” หลิงมู่เอ๋อร์โค้งริมฝีปากอย่างชั่วร้าย มอบเพียงรอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมายให้นางเท่านั้น
หลินเล่อเซิงหวาดกลัวยิ่งแล้ว หากคนของหลิงมู่เอ๋อร์ไปตรวจสอบจริงๆ ละก็ เช่นนั้นทุกสิ่งก็คงจบสิ้นแล้ว
เดิมนางคิดจะทำให้เซิงเอ๋อร์ตายอย่างง่ายๆ เสียเลย ทว่าเมื่อใคร่ครวญแล้ว คิดว่าผู้ใหญ่คนหนึ่งหากตายขึ้นมาจะอธิบายกับเหยียได้ไม่ง่าย ดังนั้นหลังจากดับเพลิงแล้วนางจึงนึกแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ วางยาพิษลงในน้ำชาที่ตนดื่ม จากนั้นใส่ความว่าเซิงเอ๋อร์เป็นคนทำ ถึงเวลานั้นเมื่อเหยียถามขึ้นมา นางก็จะนำหลักฐานออกมาให้เหยียทรงยอมรับทั้งปากและใจ
ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์กับเสด็จแม่มาอย่างกะทันหัน ของพวกนั้นนางยังไม่ทันได้กำจัดทิ้ง…
“เสด็จแม่ ถึงอย่างไรเล่อเซิงก็เป็นพระชายาเอกแห่งจวนองค์ชายเจ็ด ห้องของเล่อเซิงจะอนุญาตให้คนชั้นต่ำพวกนั้นไปค้นได้อย่างไรกันเพคะ ในห้องมีสิ่งของของพระราชนัดดามากมาย หากบังเอิญถูกทำให้สกปรกแล้วละก็…” หลินเล่อเซิงวางแผนจะให้หมิ่นกุ้ยเฟยช่วยนาง…
“เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อแม่มาแล้ว ก็ย่อมจะมอบความเป็นธรรมให้เจ้าแน่” หมิ่นกุ้ยเฟยตบไหล่ของนางอย่างปลอบประโลม แต่เมื่อคิดถึงการกระทำเมื่อครู่ของเซิงเอ๋อร์ ในยามที่แส้และลูกธนูทั้งหมดพุ่งเข้าไป นางได้กอดท้องไว้แน่นจริงๆ นั่นเป็นสัญชาตญาณของสตรีและมารดาผู้หนึ่ง
สตรีที่ทุ่มเทกายใจให้ทารกเช่นนี้ นางไม่เชื่อว่านางจะเป็นคนที่ชั่วร้าย
“ไปตรวจสอบ”
เมื่อได้ยินสองคำนี้ บ่าวรับใช้ก็พุ่งออกไปทันที ส่วนหลินเล่อเซิงก็ตะลึงงันไปในเสี้ยววินาทีแล้ว
“เสด็จแม่ เหตุใดจึงทรงเชื่อหลิง…”
“บังอาจ” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนขัดคำพูดที่ยังกล่าวไม่จบของนาง “ตัวข้านั้นเป็นพระชายาขององค์ชายรอง พี่สะใภ้รองของเจ้า เจ้ารู้ถึงผลลัพธ์ที่เจ้าไม่เคารพข้าหรือไม่?”
“ข้า…”
หลิงเล่อเซิงยังคิดจะกล่าวสิ่งใดอีก แต่หมิ่นกุ้ยเฟยได้จากข้างกายของนางไป และเดินไปอยู่ข้างกายของเซิงเอ๋อร์แล้ว
“เสด็จ…เสด็จแม่?” ในยามที่เห็นหมิ่นกุ้ยเฟยเข้ามาใกล้ เซิงเอ๋อร์ที่เพิ่งดีขึ้นเล็กน้อยก็อดตัวสั่นไม่ได้ ราวกับคนผู้นี้คือยมทูตขาวดำที่จะมาเอาชีวิตของนาง
“เหอะ เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าจะมาช่วยเจ้า ตอนนั้นที่ถิงเอ๋อร์พาเจ้าเข้ามาข้าก็ไม่เห็นด้วย หากมิใช่เพราะเขาใช้แผนการ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมรับฐานะของเจ้าหรือ?” หมิ่นกุ้ยเฟยแค่นเสียงเย็น “แต่ว่า เจ้าบอกเปิ่นกงมาตามจริง เจ้าได้ทำหรือไม่”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำ!” ราวกับเป็นการส่ายหัวตอบตามสัญชาตญาณ
แม้จะเป็นคำพูดเรียบง่ายเพียงสามคำ แต่สำหรับหมิ่นกุ้ยเฟย นี่ก็เพียงพอแล้ว
“ทูลเหนียงเหนียง พบสิ่งนี้ในที่พำนักของพระชายาเอกเพคะ…” มัวมัวประจำกายค้นพบบางสิ่งและได้นำกลับมาแล้ว
หมิ่นกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินเข้าไปทันที ในยามที่นางกำลังสงสัยว่ากลิ่นที่เหม็นอย่างยิ่งในห่อผ้านี้คืออะไร เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ดังขึ้น “นั่นเป็นปรอทที่สามารถทำให้คนแท้งได้ ทั้งยังเพิ่มส่วนผสมพิเศษด้วย พระชายาเอกขององค์ชายเจ็ด ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่?”
ถูกคนหาหลักฐานพบและเปิดโปงการกระทำต่อหน้า หลินเล่อเซิงรู้สึกเพียงว่าใบหน้าไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้ในยามนี้ก็คือเป็นตายไม่ยอมรับ
“นี่ไม่ใช่ของของข้า นี่ไม่ใช่ของข้า หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าให้ร้ายข้า!”
“ตั้งแต่แรกจนจบข้ายืนอยู่ที่นี่ จะไปให้ร้ายเจ้าได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขบขัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเล่อเซิงก็รีบเปลี่ยนทิศทางทันที “เป็นเซิงเอ๋อร์ เป็นนางสารเลวผู้นี้ทำร้ายข้า ของสิ่งนี้จะต้องเป็นของนาง เป็นนางนำไปใส่ไว้ในห้องข้า!”
“แต่เมื่อครู่เจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า เป็นนางวางยาพิษทำร้ายเจ้า ในเมื่อเป็นการลอบวางยาพิษย่อมไม่อาจถูกเจ้าค้นพบได้ แล้วนางจะนำยาพิษห่อใหญ่เช่นนี้ไปวางไว้ในห้องของเจ้าเพื่อเหตุใด? อย่างไรกัน หรือว่าก่อนจะวางยาเจ้า ยังต้องเตือนเจ้าให้ระวังก่อนอีก?”
หลิงมู่เอ๋อร์มอบสายตาว่าปัญญาอ่อนให้นางครั้งหนึ่ง เมื่อมองหมิ่นกุ้ยเฟยอีกครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็หัวเราะหยันออกมา “หมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ยามนี้ก็ควรจะรู้แล้วว่า ผู้ใดคือคนชั่วร้ายที่แท้จริงกันแน่”