เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 416 ชัยชนะ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 416 ชัยชนะ
เล่มที่ 14 ตอนที่ 416 ชัยชนะ
ไม่มีหลักฐาน ต่อให้พวกเขาจะมีวาทศิลป์แต่เสด็จพ่อจะทำอันใดเขาได้?
ฉินเสียนถิงคิดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นออกมา
คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีเสียงอันคุ้นเคยสายหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“ในเมื่อน้องเจ็ดต้องการหลักฐาน ช่างบังเอิญที่ข้ามีอยู่”
ยามที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าต้นตอของเสียงคือผู้ใด ก็เห็นเพียงองค์ชายหกเดินออกมาจากฝูงชนอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปเบื้องหน้าฮ่องเต้ด้วยสีหน้าสุขุม “เสด็จพ่อ นี่เป็นจดหมายลับที่เขาเขียนส่งไปที่เมืองผิงเฉิงและเมืองหรงเฉิง ซึ่งเขียนส่งให้หอวีรบุรุษรวมถึงพวกกองกำลังที่เขาแอบชุบเลี้ยงไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าจะสามารถใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าน้องเจ็ดมีแผนคิดก่อกบฏได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เสียงของฉินรั่วเฉินแม้จะไม่ดังแต่กลับมีความชั่วร้ายแทรกซึมอยู่หลายส่วน ทว่าสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนจับจ้องมากที่สุดคือแววตาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างลึกล้ำของเขา
หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปสบสายตากับซั่งกวนเซ่าเฉินโดยพลัน ฝ่ายหลังส่งสายตาให้นางใจเย็นอย่าวู่วามคราหนึ่ง
ยามที่ฉินเสียนถิงหันกลับไปก็สัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายของฉินรั่วเฉินเข้าพอดี มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นเป็นหมัดด้วยแรงโทสะ
แต่ไหนแต่ไรก็คาดไม่ถึงว่าเสด็จพี่หกที่สงบปากสงบคำจะกลายมาเป็นศัตรูของเขา!
ในท้องพระโรงไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าพี่หกมีความมักใหญ่ใฝ่สูงต้องการตำแหน่งไท่จื่อมาโดยตลอด แต่ภูมิหลังของเขาต่ำต้อยที่ผ่านมาจึงไม่ได้รับความสนใจจากเสด็จพ่อ ปกตินอกจากต่อต้านเขาเป็นบางคราแล้วก็หาได้เคยแสดงท่าทีอันใด
ไม่มีความสามารถเป็นพิเศษ หาได้เคยสร้างผลงานอันใดที่ทำให้คนยกย่อง แต่คนเช่นนี้เริ่มเพ่งความสนใจมาที่เขาตั้งแต่เมื่อใดกัน?
เหตุใดเขาจึงมีจดหมายเหล่านั้นได้?
ไม่ บางทีนั่นอาจมิใช่จดหมายของเขา!
“เสด็จพ่อ ลูกไม่รู้ว่าพี่หกให้เสด็จพ่อดูสิ่งใด แต่นั่นไม่มีทางเป็นจดหมายของลูกพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินเสียนถิงกล่าวกำลังคิดจะคุกเข่าลง
คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะโยนจดหมายลงไปฟาดใบหน้าของเขา “สารเลว! เจ้า เจ้าหยิบมันขึ้นมาลองอ่านอย่างละเอียดเสีย มันเป็นลายมือของเจ้ามิใช่หรือ! เรื่องมาถึงขั้นนี้เจ้ากลับยังไม่รู้จักสำนึกผิด ถิงเอ๋อร์เจ้าทำให้เจิ้นผิดหวังยิ่งนัก!”
หลังสิ้นคำพูดนี้รอบด้านก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น รวมถึงหลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินก็ตกตะลึงเช่นกัน
หากเป็นไปได้นางก็อยากพุ่งเข้าไปลองอ่านดูว่าใช่ลายมือขององค์ชายเจ็ดหรือไม่ แต่หลังจากนางเห็นสีหน้าซีดเผือดของฉินเสียนถิงในใจก็มีคำตอบแล้ว
หันกลับไปมองฉินรั่วเฉิน องค์ชายหกผู้ไม่เคยได้รับความสนใจ องค์ชายที่ชื่อของเขาราวกับฝุ่นผงนอกสายตา ใครจะคิดว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นฟางเส้นเดียวที่ฆ่าอูฐได้ [1]?
“นี่…มันเป็นไปได้อย่างไร…” ฉินเสียนถิงหยิบจดหมายเหล่านั้นขึ้นมา ยามที่อ่านเนื้อหาข้างในเขาก็มองไปทางฉินรั่วเฉินอย่างตกตะลึงโดยพลัน
แต่กลับเห็นเพียงฉินรั่วเฉินที่มีรอยยิ้มอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ “ทำไมหรือ คงมิใช่ว่าน้องเจ็ดจำไม่ได้แม้แต่ลายมือของตัวเองกระมัง?”
“เหตุใดข้าจะ…” ฉินเสียนถิงกำลังคิดจะโต้ตอบว่าเหตุใดจะจำไม่ได้ แต่เขารู้ว่ายามนี้ไม่อาจยอมรับได้
“นี่ไม่ใช่ลายมือข้า นี่ นี่เป็นพวกเจ้าที่ใส่ร้ายข้า!”
ปัง!
ไม่รอให้ทุกคนเปิดปาก หมัดของฮ่องเต้ก็ทุบลงไปบนโต๊ะด้วยแรงโทสะแล้ว
“ฉินเสียนถิง เรื่องมาถึงขั้นนี้ให้ตายเจ้าก็ยังไม่ยอมรับ! พวกเขาฝ่ายหนึ่งจะใส่ร้ายเจ้าก็แล้วไปเถอะ ทว่าแต่ละคนกลับพากันเอาหลักฐานออกมายืนยันเจ้ากลับยังคิดแก้ตัวอีกหรือ? เจ้า…เจ้า…” ฮ่องเต้ที่โกรธเกรี้ยวจนกระอักเลือดออกมาโดยพลัน
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปกำลังจะตรวจชีพจรของเขา
ขันทีตกตะลึงอย่างถึงที่สุด “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองอย่าได้เสียมารยาท”
“นี่มันเวลาใด มิใช่ว่าพระวรกายของฝ่าบาทสำคัญที่สุดหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธการขัดขวางของขันที พุ่งเข้าไปข้างบัลลังก์เพื่อตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้อย่างเด็ดเดี่ยว แต่โชคดีที่ฮ่องเต้เพียงแค่มีโทสะมากเกินไปเท่านั้น “ยังดีที่มิได้ร้ายแรงอันใด หลังจากข้าฝังเข็มแล้วแค่พักผ่อนอีกเสียหน่อยก็จะดีขึ้น”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว ทุกคนจึงเพิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก
มีเพียงฉินเสียนถิงและหมิ่นกุ้ยเฟยที่หัวใจราวกับถูกยกขึ้นมาติดอยู่ในลำคอ
“ฝ่าบาท ถิงเอ๋อร์บริสุทธิ์จริงๆ เพคะ ไม่ว่านี่จะเป็นจดหมายอันใด เขียนเรื่องไร้สาระอันใดไว้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับถิงเอ๋อร์จริงๆ เพคะ!” หมิ่นกุ้ยเฟยอ้อนวอนคุกเข่าลงบนพื้นโดยพลัน
“เสด็จพ่อทรงพระปรีชา ถิงเอ๋อร์หาได้เคยทำเช่นนี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพ่อโปรดทรงไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินเสียนถิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นคุกเข่าลงข้างกายหมิ่นกุ้ยเฟย
ฉินรั่วเฉินกลับยิ้ม “น้องเจ็ด เรื่องมาถึงขั้นนี้แทนที่เจ้าจะต่อต้านไม่สู้ยอมรับอย่างใจกว้างจะดีกว่ากระมัง เสด็จพ่อทรงพระปรีชาบางทีอาจยังให้อภัยเจ้า! แต่น่าเสียดายจะทำเช่นไรดีเล่า เจ้าไม่เพียงแค่ซ่องสุมกองกำลังทหารทั้งยังกดขี่ราษฎร จดหมายเหล่านี้ก็เป็นลายมือเจ้าที่เขียนไว้เอง ข้าเชื่อว่าเจ้าย่อมไม่มีทางจำไม่ได้! หากข้าเป็นเจ้าคงจะขอร้องให้เสด็จพ่อยกโทษให้เสียเดี๋ยวนี้แล้ว”
“ฉินรั่วเฉิน!” ฉินเสียนถิงกัดฟันอย่างแค้นเคือง หากเขาคาดเดาได้ว่าผู้ที่จะมาจู่โจมคนของเขาหาใช่ซั่งกวนเซ่าเฉินแต่เป็นฉินรั่วเฉินผู้นี้ เขาคงจะเตรียมการรับมือไว้ก่อนแล้ว “เจ้า ในเมื่อเจ้ามีจดหมายเหล่านี้เหตุใดจึงเพิ่งเอาออกมาในยามนี้? เจ้ายังกล้าบอกว่ามิได้ใส่ร้ายข้าอีก”
“จิ๊ๆๆ”
ฉินรั่วเฉินทำเพียงแค่ส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจ “หากข้าได้รับมานานแล้วก็คงเอาออกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เหตุใดจะต้องมองดูเจ้ามีท่าทีหยิ่งผยองเช่นนี้ด้วยเล่า น้องเจ็ด ขอพูดความจริงอย่างมิปิดบัง จดหมายเหล่านี้ความจริงข้าเพิ่งได้รับมาเมื่อรุ่งสางยังมิได้เร่งสอบสวน หากมิใช่ว่าเจ้ายืนกรานว่าเสด็จพี่รองใส่ความเจ้าข้าย่อมไม่ไร้ไมตรีถึงเพียงนี้ เจ้าคงยอมรับแล้วกระมัง”
ฉินรั่วเฉินกล่าวคำพูดนี้อย่างใจกว้างราวกับการยอมรับผิดเรื่องนี้หาใช่เรื่องใหญ่อันใด
แต่หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินรับรู้ได้ถึงความหมายแฝงของเขา
ฉินรั่วเฉินจงใจพูดเช่นนี้คือจงใจจะแสดงไมตรีต่อพวกเขาหรือ?
“เกิดอันใดขึ้นกับฉินรั่วเฉินผู้นี้ เขาไปได้หลักฐานมาก่อนหน้านี้โดยบังเอิญได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเขามีหลักฐานที่พวกเราหาตั้งนานแต่กลับหาไม่พบได้อย่างไร? เซ่าเฉิน…” หลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปใกล้ซั่งกวนเซ่าเฉินและพูดสิ่งที่สงสัยในใจออกไป
“เกรงว่าเขาคงเป็นตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง [2] เขารอให้พวกเราต่อสู้กันมาโดยตลอดและนั่งรอรับลาภลอยอยู่ข้างหลัง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้องจึงจงใจช่วยเหลือพวกเราโดยหยิบยื่นไมตรีให้ข้า น้องหกผู้นี้ทุกคนต่างบอกว่าเขามีความทะเยอทะยาน ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าจะประเมินเขาต่ำเกินไป” ซั่งกวนเซ่าเฉินกดเสียงลง ใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนตอบกลับ
แม้แต่คนอย่างซั่งกวนเซ่าเฉินยังประเมินคนต่ำเกินไป ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าคนผู้นี้มีฝีมือที่ล้ำลึกทีเดียว!
เป็นไปดังคาด ในวังหลวงหาได้มีผู้ใดที่โง่งม มีเพียงต่างฝ่ายต่างหลอกลวงกันบ่อยครั้งจนยากจะป้องกัน
“เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ…” ฉินเสียนถิงไม่คิดจะถกเถียงกับฉินรั่วเฉินอีก เขามองไปทางฮ่องเต้พยายามแก้ต่างให้ตัวเองอีกครา
“หุบปาก!” ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง “ทหาร องค์ชายเจ็ดฉินเสียนถิงวางแผนคิดก่อกบฏมีหลักฐานชัดเจน จับกุมเขาไปไว้ที่คุกคุมขังนักโทษประหารหลังจากทำการไต่สวนแล้วให้ทำการลงโทษเสีย!”
ฮ่องเต้รับสั่งคราหนึ่ง องครักษ์ก็พุ่งมาพาตัวฉินเสียนถิงออกไป ไม่ว่าเขาคิดจะพูดอันใดสุดท้ายก็หาได้มีประโยชน์ เขาถูกบังคับพาตัวออกไปต่อหน้าเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลาย
หมิ่นกุ้ยเฟยตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน หลังจากร่างของนางซวนเซไปหลายก้าวก็รีบอ้อนวอนฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ถิงเอ๋อร์เขา…”
“เงียบเสีย! ฉินเสียนถิงไม่เพียงแต่คิดก่อกบฏทว่ายังใส่ร้ายพี่ชายตัวเอง แม้สองความผิดนี้อาจเลี่ยงโทษตายได้แต่โทษเป็นก็ยากจะเลี่ยง หากเจ้ายังอยากให้ลูกชายสุดที่รักของเจ้ามีชีวิตอยู่ก็กลับตำหนักเจ้าไปปิดประตูคิดใคร่ครวญดูเสีย ยามนี้เจิ้นไม่อยากเห็นเจ้า!”
สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งก่อนฮ่องเต้จะลุกขึ้นหมุนกายจากไปอย่างไร้เมตตา
ราวกับเมื่อครู่ท้องฟ้าที่ค้ำจุนอยู่พังทลายลง
หมิ่นกุ้ยเฟยไม่อยากจะเชื่อว่าพิธีแต่งตั้งหวางโฮ่วที่ทำให้ตนหัวเราะแม้แต่ในฝันกลับต้องจบลงเช่นนี้
เดิมทีนางวางแผนกับโอรสไว้ว่าขอเพียงนางกลายเป็นหวางโฮ่วก็จะชักจูงให้ฮ่องเต้แต่งตั้งเขาเป็นไท่จื่อ แต่คาดไม่ถึงว่านอกจากจะไม่ได้รับตำแหน่งไท่จื่อแล้ว คนยังต้องเข้าไปในคุกคุมขังนักโทษประหารด้วย!
“ฝ่าบาทเพคะ ตำแหน่งหวางโฮ่วของหม่อมฉัน…”
“เรื่องนี้ถือเป็นโมฆะ!”
ยามที่เสียงอันเย็นชาอย่างถึงที่สุดของฮ่องเต้ดังขึ้น ก็เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างของหมิ่นกุ้ยเฟยปิดลงก่อนจะหมดสติไป
พิธีแต่งตั้งหวางโฮ่วอันแสนยิ่งใหญ่ถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน ทั้งยังทำให้ทุกคนได้ดูละครฉากใหญ่ซึ่งองค์ชายถูกจับกุมโดยไม่คิดเงิน ที่ท้องพระโรงครึกครื้นอย่างที่เรียกได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งหลังจากนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
เห็นเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊กระซิบกระซาบพากันจับกลุ่มพูดคุยกันโดยหาได้หลีกเลี่ยงหัวข้อในวันนี้ หลิงมู่เอ๋อร์กลับรู้สึกไม่มีความสุข
จากระยะไกล แม้องค์ชายหกจะอยู่เฉียงจากนาง แต่บางครั้งก็ส่งสายตามาให้นางและพยักหน้าให้แสดงท่าทีเป็นมิตร ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่เห็นดวงตาทั้งสองข้างของฉินรั่วเฉินที่แฝงความชั่วร้ายอยู่ นางก็ตัวสั่นเทาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ญาติผู้พี่ มู่เอ๋อร์มีอันใดหรือ? ผลลัพธ์ของวันนี้ก็ดียิ่งแล้วเหตุใดจึงดูไม่มีความสุขเลยเล่า?” หนานกงอี้จือไม่เข้าใจ พวกเขาได้รับชัยชนะแล้วแต่เหตุใดทั้งสองคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงยังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่
“ข้าว่าพวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว แม้จะบอกว่าญาติผู้พี่กลับออกมาจากความตายแต่ฉินเสียนถิงย่อมต่างออกไป แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังทรงมีรับสั่งว่าเขาไม่อาจเลี่ยงโทษเป็นได้ ครานี้เขานับว่าหมดหวังไปแปดส่วนแล้ว! ความแค้นที่มีมาอย่างยาวนานได้รับการชำระหนี้แค้นแล้วช่างยอดเยี่ยมนัก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้วันนี้จวนหนิงกั๋วโหวของข้าขอเป็นเจ้าภาพ เชิญทุกท่านมาเป็นแขก ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร?”
หนานกงอี้จือกล่าวออกมาด้วยตัวเองโดยที่ไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นดีใจบนใบหน้าได้
“ใต้เท้าหนิงกั๋วโหวจะจัดงานเลี้ยง ในเมื่อเป็นเช่นนี้เปิ่นหวางย่อมต้องทำตาม” ซูเช่อยิ้มตอบรับเป็นคนแรก “จวนเสียนหวางยังมีเรื่องสำคัญ หลังจากนี้เปิ่นหวางจะไม่ไปช้าแน่นอน” กล่าวจบเขาก็พยักหน้าให้คนสองสามคนก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างผ่าเผย
หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมิได้แสดงท่าทีอันใดอยู่นานจนทำให้หนานกงอี้จือไม่พอใจ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกท่านสองคนกันแน่? คงมิใช่กังวลว่าฉินเสียนถิงจะถูกปล่อยตัวออกมาจริงๆ ใช่หรือไม่? พวกท่านวางใจเถอะ ข้ากล้ารับรองได้เลยว่าเขาจะไม่ได้ออกมาแน่!” หนานกงอี้จือตีหน้าอกพลางกล่าว
“ข้าเชื่อการรับรองของเจ้า” เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชา เก็บสายตากลับมาจากร่างของฉินรั่วเฉิน
“ข้ากับเซ่าเฉินหาได้กังวลเรื่องของฉินเสียนถิง แต่เป็นองค์ชายหก”
“ใครนะ?” ยามนี้เองที่หนานกงอี้จือเพิ่งเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว เขากำลังคิดจะมองหาร่างขององค์ชายหกแต่กลับถูกซั่งกวนเซ่าเฉินขวางไว้เสียก่อน
“เหตุใดเขาจึงมีหลักฐานการก่อกบฏของเจ้าเจ็ด ทั้งยังบังเอิญเพิ่งเอาออกมาในวันนี้เพื่อจงใจหยิบยื่นไมตรีให้ข้า? ตกลงเขาคิดจะทำอันใดกันแน่? อี้จือ ดูท่าจะมีคนผู้หนึ่งที่พวกเราประมาทมากที่สุดมาหลายปีแล้ว” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินลึกล้ำ
หนานกงอี้จือหาใช่คนโง่ ได้ยินทั้งสองคนเคร่งขรึมถึงเพียงนี้ก็ใคร่ครวญคาดเดาว่าเกิดอันใดขึ้นอย่างถี่ถ้วน
แต่เขายังไม่อยากทำลายอารมณ์อันดีในวันนี้ “ช่างเขาเถิด คนที่มีชีวิตอยู่บนโลกไม่อาจเอาเรื่องที่ยังไม่เกิดมาสร้างผลกระทบกับปัจจุบันได้ สิ่งที่ควรเกิดไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเกิด พวกเรากังวลไปก็หาได้มีประโยชน์มิใช่หรือ?”
เห็นพวกเขาทั้งสองคนยังไม่วางใจ หนานกงอี้จือก็ได้แต่ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “พวกท่านสองคนที่เป็นคนสบายๆ กลายเป็นคนคิดมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด! วันนี้พวกเราเอาชนะศัตรูได้ก็ควรค่าแก่การฉลอง! ส่วนเรื่องที่จะเกิดในอนาคต ในเมื่อศัตรูมาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ค่อยจัดการปัญหานั้นหลังดื่มเสร็จเถอะ ไปเถอะพวกเรากลับไปดื่มเหล้าที่จวนกัน?”
หนานกงอี้จือใช้มือทั้งสองข้างดึงแขนทั้งสองคนบังคับพาพวกเขาเดินไป แต่ทั้งสามคนเพิ่งหมุนกายฉินรั่วเฉินก็สาวเท้ายาวเดินมาทางพวกเขาแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ฟางเส้นเดียวที่ฆ่าอูฐได้ หมายถึง ปัจจัยเล็กๆ อย่างสุดท้ายที่ทำให้เรื่องราวพลิกผันหรือพังทลาย เปรียบได้กับอูฐที่รับน้ำหนักของฟางได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอดแต่วันหนึ่งเมื่อมีการเพิ่มปริมาณฟางเข้าไปเพียงเล็กน้อยอาจทำให้อูฐล้มลง หรือตายเพราะน้ำหนักของฟางเกินขีดจำกัดที่อูฐจะรับไหวแล้ว
[2] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง หมายถึง ผู้ไร้วิสัยทัศน์ที่มองแต่ผลลัพธ์ระยะสั้นโดยไม่ระวังผลลัพธ์ระยะยาว หรือผู้ที่จ้องจะจัดการอีกฝ่ายโดยที่ลืมไปว่าตัวเองก็ถูกจ้องจะจัดการอยู่เหมือนกัน