เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 414 ยอมรับโทษ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 414 ยอมรับโทษ
เล่มที่ 14 ตอนที่ 414 ยอมรับโทษ
ฉินเสียนถิงครุ่นคิดจนสุดท้ายก็ตัดสินใจได้ หลังจากเขาเหลือบมองซั่งกวนเซ่าเฉินก็มองตรงไปทางฮ่องเต้
“ทูลเสด็จพ่อ ลูกมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”
เขาที่ต่อต้านมาโดยตลอดจู่ๆ กลับคุกเข่ายอมรับความผิดอย่างกะทันหัน การกระทำนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงตะลึงงัน ทว่ายังทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตกตะลึงไปด้วยเช่นกัน
“หืม? เจ้ามีความผิดอันใดหรือ?” ฮ่องเต้ก็รู้สึกสงสัยเช่นเดียวกัน
ฉินเสียนถิงทำเพียงแค่ก้มศีรษะ “ทูลเสด็จพ่อ ลูก ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่ลูกกล่าวต่อหน้าเสด็จพ่อว่าไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหอวีรบุรุษ ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่โกหกเสด็จพ่อ แต่ แต่ลูกมีความลำบากใจอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินคำพูดนี้ของฉินเสียนถิง หลิงมู่เอ๋อร์ก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว รู้อยู่แล้วว่าฉินเสียนถิงผู้นี้หาใช่คนที่จะรับมือได้โดยง่าย แต่นางที่กำลังคิดจะเปิดปากกล่าวอันใด กลับถูกซั่งกวนเซ่าเฉินห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไร ละครจะเริ่มต่อจากนี้ รอดูการแสดงของเขาก่อนเถอะ” ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวปลอบใจ
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์คิดใคร่ครวญก็ทำได้เพียงเอาคำพูดที่อยากพูดกลืนลงไปในท้อง
“เสด็จพ่อ ความจริงลูกรู้เรื่องหอวีรบุรุษพ่ะย่ะค่ะ แต่ในคราแรกที่ลูกไม่ยอมรับเป็นเพราะ…เพราะยามที่เคยนำทัพไปปราบปรามพวกโจรเคยถูกผู้นำหอวีรบุรุษทำให้บาดเจ็บ ทว่าถึงอย่างไรลูกก็เป็นองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ องค์ชายผู้องอาจที่ร่ำเรียนวิชาต่อสู้มาตั้งแต่เยาว์วัยกลับไม่อาจรับมือกลุ่มคนธรรมดากลุ่มหนึ่งได้จึงรู้สึกเสียศักดิ์ศรี ดังนั้น ดังนั้นด้วยเหตุนี้…”
กล่าวจบฉินเสียนถิงก็มองไปทางหมิ่นกุ้ยเฟยโดยพลัน
หมิ่นกุ้ยเฟยที่ได้รับสัญญาณจากโอรสก้าวออกมาโดยพลัน “ฝ่าบาท ความจริงถิงเอ๋อร์ก็มีเรื่องลำบากใจเพคะ! พระองค์ก็ทรงทราบว่ายามนั้นถิงเอ๋อร์ทำผิดจึงถูกลดตำแหน่งให้ไปที่เมืองผิงเฉิง องค์ชายผู้หนึ่งถูกลดตำแหน่งทั้งยังไม่อาจเอาชนะพวกกลุ่มโจรได้ ในใจของเขาจะรับได้อย่างไรเพคะ? ดังนั้นจึงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ ขอฝ่าบาททรงรู้สึกเห็นใจถิงเอ๋อร์ของพวกเราด้วยเถิดเพคะ”
เดิมได้ยินคำพูดของฉินเสียนถิง ฮ่องเต้ก็ยังคิดจะระเบิดโทสะว่าเหตุใดฉินเสียนถิงรู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำ ทว่าหลังได้ยินเสียงร่ำไห้ของหมิ่นกุ้ยเฟย คำพูดที่เขาคิดอยากตำหนิก็ทำใจแข็งพูดออกไปไม่ได้
“เมืองเล็กๆ อย่างเมืองผิงเฉิงกลับมีกลุ่มโจรปรากฏตัวขึ้นมา เจ้าในฐานะองค์ชายไม่เพียงแต่ไม่รายงานเรื่องนี้แต่ยังปิดบังมาตลอด เจ้าเจ็ดหนอเจ้าเจ็ด หากเจ้าไม่ได้นำทัพไปปราบปรามพวกโจรตั้งแต่แรก วันนี้เจิ้นคง…แค่ก แค่ก…”
คำพูดตำหนิยังพูดไม่ทันจบฮ่องเต้ก็ไออย่างรุนแรง แต่เป็นเพราะเสียงกระแอมไอเสียงนี้ทำให้ราวกับหัวข้อนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ฮ่องเต้เงยหน้ามองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของเฉินเอ๋อร์ได้แล้ว แต่เจ้าเพียงแค่พาคนสองคนที่สามารถยืนยันการมีอยู่ของหอวีรบุรุษมา แล้วจะพิสูจน์ว่าเฉินเอ๋อร์บริสุทธิ์ได้อย่างไร? หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ทรยศความเชื่อใจของเจิ้นที่มีต่อเจ้า!”
ประโยคสุดท้ายฮ่องเต้กล่าวอย่างเคร่งขรึมราวกับพูดได้ว่า หากยังไม่เปิดเผยความจริงอีกนางก็จะได้รับโทษเช่นกัน
หลิงมู่เอ๋อร์กลับไม่รีบไม่ร้อนแม้แต่น้อย “ฝ่าบาท มู่เอ๋อร์พูดตั้งแต่ยามที่มาถึงท้องพระโรงแล้วเพคะว่าผู้ที่กำลังแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารคือองค์ชายเจ็ด ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้มู่เอ๋อร์ถวายหลักฐานเพคะ”
ได้ยินคำว่าหลักฐานหมิ่นกุ้ยเฟยก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมาโดยพลัน ร่างกายโน้มเอียงจนแทบล้มลง
ฉินเสียนถิงรีบจับนางไว้แสดงท่าทีให้นางไม่ต้องเครียด เขาจะจัดการเอง
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เห็นทั้งหมดอยู่ในสายตา นางยิ้มเยาะเสียงหนึ่งหลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ นางก็ตะโกนเสียงดัง “เอาเข้ามา!”
หนานกงอี้จือและซูเช่อหามร่างไร้วิญญาณของหลิ่วฉางอวี้ รวมถึงซากของรถม้าเดินเข้ามา
ถูกต้อง หลังจากเขาฝ่าการปิดล้อมที่แน่นหนาเข้ามาในวังหลวงได้แล้ว หนานกงอี้จือและซูเช่อก็เร่งรุดมารวมกลุ่มกับพวกเขาได้ทันเวลา เห็นร่างของซูเช่อไร้บาดแผล ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกผิดน้อยลงบ้าง
“ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้คือใต้เท้าหลิ่วหรือหลิ่วฉางอวี้ผู้เป็นข้าหลวงท้องถิ่นประจำเมืองผิงเฉิง ซึ่งไม่กี่วันก่อนได้มายืนยันความบริสุทธิ์ให้องค์ชายเจ็ดเพคะ ระหว่างทางที่เขาออกจากเมืองหลวงได้ถูกคนลอบสังหาร ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะว่าเพราะเหตุใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปทางร่างไร้วิญญาณของหลิ่วฉางอวี้พลางถาม
ฮ่องเต้ได้ยินก็กล่าวว่า “สามหาว! เจ้าหามศพเข้ามาแต่กลับมาถามเจิ้นว่าเพราะเหตุใด เจ้า…”
“ถูกต้องหลิงมู่เอ๋อร์ วันนี้ไม่เพียงแต่เป็นพิธีแต่งตั้งครั้งใหญ่ของข้า แต่เจ้ากลับหามศพเข้ามาเป็นการจงใจนำเคราะห์ร้ายเข้ามาใช่หรือไม่ เจ้ารีบเอาศพเหม็นเน่านี่ออกไปเสีย!” หมิ่นกุ้ยเฟยปิดจมูก ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจและโกรธเกรี้ยว
“หากนำออกไปก็จะไม่มีหลักฐานแล้ว” เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง นางไม่เพียงแต่ไม่พาร่างนั้นออกไป แต่ยังถึงขั้นยกผ้าดิบที่คลุมร่างไร้วิญญาณนั้นเปิดออก ทำให้ทุกคนมองเห็นร่างของหลิ่วฉางอวี้ได้อย่างชัดเจน
ยามที่ทุกคนเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย รอบด้านก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นมา
ถึงอย่างไรทุกคนก็ล้วนเป็นสหายร่วมงานกัน
“ฝ่าบาท ดูภายนอกแม้จะเหมือนรถม้าของใต้เท้าหลิ่วตกหน้าผาจนเสียชีวิต แต่มู่เอ๋อร์ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่าสาเหตุการตายแท้จริงของใต้เท้าหลิ่วคือถูกวางยาพิษเพคะ อีกทั้งรถม้าคันนี้ยังมิได้ตกหน้าผาไปอย่างกะทันหันเพราะความบังเอิญ แต่เป็นเพราะม้าถูกคนวางอุบายไว้ให้ตกใจจึงวิ่งห้อตะบึงไปอย่างไร้สติ และรถม้าได้ถูกคนตัดขาดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วทำให้ม้าหลุดจากบังเหียนจนตกหน้าผา สรุปได้ว่าการเสียชีวิตของใต้เท้าหลิ่วหาใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นการฆาตกรรมเพคะ!”
ยามที่คำว่าฆาตกรรมถูกกล่าวออกมาก็เกิดเสียงอื้ออึงดังมาจากผู้คนรอบด้านอีกครา
“ใต้เท้าหลิ่วผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างสุจริตมาตลอดชีวิต เหตุใดจึงมาถูกคนฆาตกรรมได้?”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนใต้เท้าหลิ่วยังมาที่ท้องพระโรงเพื่อช่วยผู้ใดอยู่เลยมิใช่หรือ? ตายแล้วจริงหรือ?”
ได้ยินการสนทนาของขุนนางใหญ่สองคน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ้มและหันกลับไป “เรียนใต้เท้าท่านนี้ เป็นความจริงที่ใต้เท้าหลิ่วตายไปแล้ว และผู้ที่เขาช่วยเป็นพยานให้ในครั้งก่อนที่ท้องพระโรงก็คือองค์ชายเจ็ด!”
คาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะหาร่างไร้วิญญาณของหลิ่วฉางอวี้พบ เห็นนางใช้ศพของหลิ่วฉางอวี้มาชี้ความผิดของตนเอง ฉินเสียนถิงก็วางแผนการในใจโดยพลัน
“พี่สะใภ้รอง เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าใต้เท้าหลิ่วเป็นพยานให้ข้าแต่เหตุใดเขาจึงตายเล่า? หรือว่าถูกเจ้าฆ่ากันแน่!” ฉินเสียนถิงกล่าวอย่างมีโทสะ
หมิ่นกุ้ยเฟยตระหนักถึงบางสิ่งได้อีกครา เสียงแหลมสูงของนางดังขึ้นมา “ถูกต้อง! ครั้งก่อนเจ้าใส่ความถิงเอ๋อร์ของพวกเรา ใต้เท้าหลิ่วผู้นี้เป็นผู้ที่ยืนยันความบริสุทธิ์ของถิงเอ๋อร์ แต่กลับเสียชีวิตระหว่างเดินทางออกจากเมืองหลวง มิใช่ว่าถูกคนของเจ้าลอบสังหารเอาหรือ? แต่เจ้ากลับมาจงใจใส่ความถิงเอ๋อร์ของพวกเรา!”
ได้ยินคำพูดนี้สายตาของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ก็มองไปที่ร่างของหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา
“การอธิบายนี้ย่อมเข้าใจได้ก็จริง แต่ทุกท่านอย่าลืมว่าใต้เท้าหลิ่วผู้นี้เป็นผู้ที่ข้าพามาเมืองหลวงตั้งแต่แรก!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวประเด็นสำคัญของเรื่องก่อน
นางไม่สนใจสายตาและแววตาของเหล่าขุนนาง นางสนใจแค่ว่าฮ่องเต้คิดเห็นเช่นไรเท่านั้น
“ฝ่าบาท ใต้เท้าหลิ่วตายเพราะเหตุใดเพคะ ข้าหลวงท้องถิ่นของเมืองผิงเฉิงตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง พูดตามเหตุผลแล้วจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อผู้ใดได้เพคะ แต่เขาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางออกจากเมืองหลวง มู่เอ๋อร์สามารถกล้าคาดเดาได้ใช่หรือไม่เพคะว่าเป็นเพราะเขาทำหน้าที่พยาน หลังจากถูกคนใช้ประโยชน์เรียบร้อยแล้วจึงถูกคนฆ่าปิดปากเพคะ!”
สิ้นคำพูดนี้ก็นับเป็นการชี้ให้เห็นว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือฉินเสียนถิง
ฉินเสียนถิงแทบอยากจะบีบคอหลิงมู่เอ๋อร์ให้ตายด้วยมือเปล่า แต่เขารู้ว่าเขาไม่อาจบุ่มบ่ามได้
“เสด็จพ่อ ขอโปรดฟังลูกพูดก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ พี่สะใภ้รองกล่าวว่าเป็นลูกที่ฆ่าใต้เท้าหลิ่ว แต่นางมีหลักฐานอันใดที่บอกว่าฆาตกรคือลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ? บางทีใต้เท้าหลิ่วผู้นี้ยามอยู่ที่เมืองผิงเฉิงอาจทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองเข้า หรืออาจบังเอิญพบโจรเรียกค่าไถ่เข้าก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง คำพูดทั้งหมดขององค์ชายเจ็ดล้วนถูกต้อง แต่ผู้ใดกันที่หลังจากฆ่าหลิ่วฉางอวี้แล้วยังไปฆ่าครอบครัวของเขาด้วย นี่ไม่ใช่เพื่อปกปิดบางสิ่งหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ใช้สายตาส่งสัญญาณให้ซ่งอี้เฉิงโดยพลัน ซึ่งซ่งอี้เฉิงก็ลุกขึ้นในทันใด
“กระหม่อมซ่งอี้เฉิงขอกราบทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมขอพูดความจริงอย่างมิปิดบัง กระหม่อมและใต้เท้าหลิ่วมีความสัมพันธ์อันดีเป็นการส่วนตัวต่อกัน หนึ่งวันก่อนที่กระหม่อมจะมาเมืองหลวงได้เคยไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของใต้เท้าหลิ่ว แต่คาดไม่ถึงว่าครอบครัวของใต้เท้าหลิ่วจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ วงศ์ตระกูลของกระหม่อมเป็นแพทย์ทุกคนต่างทราบดีพ่ะย่ะค่ะ คืนนั้นกระหม่อมถูกเชิญให้ไปตรวจอาการ แต่ยามที่กระหม่อมเร่งรุดไปถึงกลับพบว่าครอบครัวของใต้เท้าหลิ่วถูกคนสังหารไปเสียแล้ว ในยามนั้นมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่สามารถยืนยันได้ ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ซ่งอี้เฉิงกล่าวจบ หลิงมู่เอ๋อร์ก็มองไปทางฉินเสียนถิงโดยพลัน “ขอบังอาจถามองค์ชายเจ็ดว่าเหตุใดใต้เท้าหลิ่วจึงเสียชีวิตหลังจากไปเป็นพยานให้เจ้า แม้แต่ครอบครัวของเขาเองก็ยังประสบกับเคราะห์ร้ายไปด้วย! เจ้ากล้าสาบานจริงหรือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า?”
ถึงอย่างไรฉินเสียนถิงก็คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะหาครอบครัวของหลิ่วฉางอวี้ที่ถูกสังหารไปพบ
สมควรตายนัก พวกผู้ใต้บังคับบัญชาก็พูดอย่างชัดเจนว่าจัดการอย่างแนบเนียนสมบูรณ์แบบแล้ว!
“พี่สะใภ้รอง ขอบังอาจถามว่าเหตุใดข้าต้องฆ่าครอบครัวของเขาด้วย?”
“แน่นอนว่าเพื่อปกปิดหลักฐานเรื่องหอวีรบุรุษ รวมถึงเรื่องที่แอบชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวด้วย!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวตามตรง “เจ้าคงคิดว่าเจ้าจัดการทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ร่องรอยแล้ว แต่เจ้าลองดูเถอะว่าสิ่งนี้คืออันใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเอกสารออกมาจากอกอย่างมีลับลมคมใน และส่งไปให้ขันที
ขันทีส่งถึงมือของฮ่องเต้ด้วยตัวเอง หลังจากฮ่องเต้เห็นก็ตะคอกออกมาเสียงดังอย่างเดือดดาล “สารเลว ต่ำช้า!”
ฉินเสียนถิงไม่รู้ว่าฮ่องเต้เห็นสิ่งใด รู้เพียงว่าเสด็จพ่อโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ในใจเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาเช่นกัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินก้าวออกไปในจังหวะที่เหมาะเจาะ “ทูลเสด็จพ่อ คราแรกที่ลูกไปปราบปรามการจลาจลที่เมืองผิงเฉิง น้องเจ็ดที่อยู่เมืองหลวงกลับทำหนังสือเกี่ยวกับลูกประกาศว่าลูกแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารส่วนตัว ทั้งยังใส่ความว่าลูกวางแผนก่อกบฏ! ขอบังอาจถามเสด็จพ่อว่าหากลูกมีความคิดเช่นนั้นเหตุใดจึงต้องรอคอยมานานหลายปีเช่นนี้ ทั้งยังเลือกสร้างความวุ่นวายลับหลังน้องเจ็ดด้วยพ่ะย่ะค่ะ? เมื่อครู่สิ่งที่มู่เอ๋อร์ส่งให้พระองค์คือคำให้การของเสนาธิการหลิวแห่งหอวีรบุรุษ ในบันทึกมีรูปลักษณ์ของผู้นำหอวีรบุรุษที่เขาเคยเห็นด้วยตัวเองบันทึกเอาไว้ซึ่งเหมือนกับน้องเจ็ดมากทีเดียว ขอเสด็จพ่อทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนพ่ะย่ะค่ะ!”
ได้ยินคำพูดนี้ร่างของฉินเสียนถิงก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงทั้งยังแค้นเคือง
ถึงอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าไอ้แก่ตายยากผู้นั้น ก่อนตายจะเอาเรื่องของเขาไปเปิดโปงจริงๆ
แต่เขาไม่อาจยอมรับได้เด็ดขาด!
“เสด็จพี่รองคำพูดของคนตายจะเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร? หากเขาใส่ความเปิ่นหวางจื่อจงใจปั้นเรื่องรูปลักษณ์ของเปิ่นหวางจื่อขึ้นมาเล่า นี่นับว่าเป็นหลักฐานได้ด้วยหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับยิ้ม “ข้ายังมิได้บอกว่าคนเป็นใคร แล้วน้องเจ็ดรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นี้ตายแล้ว?”
สิ้นคำพูดนี้ สีหน้าของฉินเสียนถิงก็แปรเปลี่ยนไปเป็นซีดเผือด!
เห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของเหล่าขุนนางรอบข้างทั้งยังมีแววตาวิพากษ์วิจารณ์ เขาก็มองไปทางมหาเสนาบดีโดยพลันแสดงท่าทีว่าถึงเวลาที่เขาควรลงมือแล้ว
เมื่อคืนมหาเสนาบดีเฒ่ายืนยันกับเขาอย่างชัดเจนว่ามีเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ยี่สิบกว่าคนที่ไปเข้าร่วมกับซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว ตราบใดที่เขาเอาหนังสือลงนามเข้าร่วมของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ออกมา เสด็จพ่อจะต้องถูกเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจไปเป็นแน่
แต่ยามที่สายตาของเขามองไปกลับพบว่ามหาเสนาบดีเฒ่าไม่มองเขาแม้แต่คราเดียว ราวกับจงใจหลบเลี่ยงอันใด!
สมควรตายนัก ตาเฒ่านี่วางแผนจะทิ้งเขาในช่วงวิกฤตที่สำคัญที่สุดหรือ?
“เสด็จพ่อ…”
ฉินเสียนถิงยังคิดจะพูดอันใด แต่ทันใดนั้นก็มีบ่าวรับใช้เดินมาข้างหลังของเขาอย่างเงียบเชียบ และกระซิบข้างหูของเขา “เหยีย แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เกิดเรื่องที่ตำหนักจู่ๆ ที่ตำหนักก็เกิดเพลิงไหม้ อีกทั้งเจิ้งเฟยขององค์ชายเจ็ดยังขังเซิงเอ๋อร์เช่อเฟยไว้ในคุก ได้ยินว่ายามนี้แม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้ อีกทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงทารกในท้องของนาง พระองค์ทรงเห็นว่า…”
นี่มันเวลาใด คาดไม่ถึงว่าบ่าวรับใช้จะมารายงานเรื่องหยุมหยิมที่ไม่สำคัญเช่นนี้แก่เขาจนสร้างความรำคาญใจให้เขา
ฉินเสียนถิงตะคอกอย่างเดือดดาลโดยพลันอย่างไม่ต้องคิด “ไสหัวไป!”
ชีวิตเขายังยากจะรักษาไว้ได้จะยังมีใจไปสนใจความเป็นความตายของผู้อื่นได้อย่างไร?
มองไปทางฮ่องเต้อีกคราซึ่งถูกเสียงตะคอกด้วยความเดือดดาลอย่างกะทันหันของเขาทำให้สีหน้าแปรเปลี่ยนไปนานแล้ว เขาแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้วก่อนจะเปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง “เสด็จพ่อ โปรดฟังคำลูกก่อนพ่ะย่ะค่ะ”