เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 413 หลักฐานชี้ตัว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 413 หลักฐานชี้ตัว
เล่มที่ 14 ตอนที่ 413 หลักฐานชี้ตัว
ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนและหยาดเยิ้มของหมิ่นกุ้ยเฟย ก็มิแปลกใจที่ในบรรดาสนมงามที่วังหลังจำนวนมากมายฮ่องเต้กลับทรงเลือกให้นางได้รับตำแหน่งหวางโฮ่ว แม้ว่าเมื่อหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงสตรีผู้นี้แล้วจะรู้สึกแค่เพียงราวกับกระดูกแทบเปราะก็ตาม
สตรีวัยกลางคนผู้มีเสน่ห์อย่างอธิบายไม่ได้ผู้นี้ น่าเสียดายที่วันนี้หลิงมู่เอ๋อร์มาที่นี่เพื่อตีนางให้แตกกระเจิง!
“หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? องค์ชายรองยังคงเป็นโอรสของฝ่าบาท เหตุใดจึงกลายเป็นผู้ที่ไม่สำคัญได้เล่า?”
เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ดังแต่กลับมีพลังในการทะลุทะลวงเป็นอย่างยิ่ง หลังสิ้นเสียงสุดท้ายนางก็ยังส่งคำพูดเย็นชาพุ่งไปด้วยทำให้หมิ่นกุ้ยเฟยตกใจกลัวตัวสั่นเทา
ยามที่เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิดไปก็กลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้เข้าใจตัวเองผิดจนโกรธเคือง หมิ่นกุ้ยเฟยรีบอธิบาย “เปิ่นกงเผลอพลั้งปากไปแต่หาได้ตั้งใจจะทำให้องค์ชายรองเสียหายแน่นอน เพียงแต่พิธีเข้ารับตำแหน่งดำเนินมาครึ่งทางแล้วจะมายุติกลางทางได้อย่างไร? เปิ่นกงรู้ว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรองร้อนใจต้องการพลิกคดีเพื่อองค์ชายรอง แต่ทุกเรื่องก็ล้วนต้องทำตามลำดับก่อนหลังมิใช่หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์รอประโยคนี้ของนางอยู่ “ในเมื่อหมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงก็ยังกล่าวว่าเรื่องต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับลำดับก่อนหลัง เช่นนั้นหมิ่นกุ้ยเฟยมิทราบหรือว่าเรื่องการหาหลักฐานมาพลิกคดีขององค์ชายรอง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งไว้ก่อนเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งของท่าน? สิบวันก่อนฝ่าบาททรงสัญญาว่าจะให้เวลามู่เอ๋อร์สิบวัน ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของระยะเวลาสิบวันนั้น หากข้าจำไม่ผิดฝ่าบาททรงรับปากเรื่องการแต่งตั้งเหนียงเหนียงหลังผ่านไปสองวันของระยะเวลาสิบวันนั้น เช่นนั้นขอเชิญเหยียงเหนียงถอยไปด้วย”
กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญ
ความสุภาพเช่นนี้ทำให้หมิ่นกุ้ยเฟยมีไฟโทสะอยู่เต็มท้องอย่างหาเหตุผลมาระบายออกไม่ได้
ฉินเสียนถิงข่มกลั้นโทสะในใจไว้ไม่ไหว “บังอาจหลิงมู่เอ๋อร์ แม้เจ้าจะเป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรองแต่กลับวางแผนสร้างความวุ่นวายในงานพิธีแต่งตั้งหวางโฮ่ว เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่!”
ถูกคนชี้จมูกต่อว่าทั้งยังต่อหน้าเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊มากมายเช่นนี้อีก?
ทำไม หรือนางไม่ต้องการรักษาเกียรติของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองแล้ว?
“คำถามนี้ควรเป็นข้าที่ถามองค์ชายเจ็ดจึงจะถูก องค์ชายเจ็ดแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารไว้ เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่!”
หลิงมู่เอ๋อร์เสียงดังยิ่งกว่าเสียงตะคอกของเขาทั้งยังมีพลังอำนาจทะลุทะลวงมากกว่า
กล่าวจบนางก็คุกเข่าลงบนพื้นโดยพลัน มือทั้งสองข้างประสานมองไปทางฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันหาหลักฐานเพียงพอที่จะสามารถล้างมลทินให้องค์ชายรองได้แล้วเพคะ อีกทั้งยังเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าองค์ชายเจ็ดคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังจากแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารส่วนตัวไว้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งยังสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขอฝ่าบาททรงยุติการแต่งตั้งตำแหน่งหวางโฮ่วไว้ชั่วครู่ และโปรดฟังคำพูดของหม่อมฉันเสียหน่อยเถิดเพคะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างรวดเร็วทั้งยังด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่มีร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในหัวยังรู้สึกเลือนรางก็เบิกตากว้างอย่างกะทันหัน หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งริมฝีปากบางซีดก็เปิดออก และกล่าวเพียงหนึ่งคำ “ได้!”
หลิงมู่เอ๋อร์ยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางยืนขึ้นโดนพลันและปรบมือกลางอากาศ ราวกับส่งสัญญาณลับบางอย่าง
เพียงพริบตาเดียวก็เห็นเพียงคนสามคนค่อยๆ เดินเข้ามาในท้องพระโรง เป็นธรรมดาที่ผู้ที่เดินนำมาจะเป็นองค์ชายรองซั่งกวนเซ่าเฉินซึ่งถูกคนตราหน้าว่าเป็นผู้วางแผนคิดก่อกบฏมาโดยตลอด
“ลูกขอถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ซั่งกวนเซ่าเฉินคุกเข่าลงไปบนพื้นก่อน
ผู้ที่สวมชุดเรียบง่ายยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนก็คุกเข่าเช่นกัน “สามัญชนสงฉี่กวง / ซ่งอีเฉิงถวายพระพรฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”
พิธีแต่งตั้งที่เดิมทีรื่นเริงและเพียบพร้อมจู่ๆ ก็มีคนสามคนเดินเข้ามา อีกทั้งสองคนในนั้นยังเป็นเพียงสามัญชนทำให้หมิ่นกุ้ยเฟยหัวเราะเยาะขึ้นมาโดนพลัน
“เหอะ หลิงมู่เอ๋อร์ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าคิดว่าหาสามัญชนสองคนมาสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วจะสามารถพิสูจน์ได้หรือว่าองค์ชายรองมิได้วางแผนก่อกบฏ? ข้าแนะนำว่าเจ้าควรพอได้แล้ว ฝ่าบาททรงพระปรีชาในเมื่อให้ทั้งโอกาสและเวลาเพื่อให้เจ้าไปพิสูจน์ เจ้าก็ไปพิสูจน์อย่างเชื่อฟังสิ แต่เจ้ากลับวางแผนจะใช้อุบายตื้นๆ มาหลอกลวงฝ่าบาททั้งยังมาขัดขวางการแต่งตั้งของข้า เจ้า…เจ้าช่างใจกล้าเสียจริง!”
รู้ว่าหมิ่นกุ้ยเฟยย่อมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็หาใช่พวกไม่สู้คน
“หมิ่นกุ้ยเฟยเอาแต่ยกเรื่องส่งผลกระทบต่อการแต่งตั้งตำแหน่งขึ้นมาพูด ขอบังอาจถามเหยียงเหนียงว่าเหตุใดต้องรีบร้อนอยากได้รับการแต่งตั้งถึงเพียงนี้? ตำแหน่งหวางโฮ่วเป็นของท่าน จะช้าเร็วก็ย่อมเป็นของท่าน หรือท่านกลัวสิ่งใดอยู่?”
“เจ้า…” หมิ่นกุ้ยเฟยถูกทำให้พูดไม่ออก
“พี่สะใภ้รองพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? จู่ๆ เจ้าก็โผล่เข้ามาใส่ความเปิ่นหวางจื่อรวมถึงเสด็จแม่ ทั้งยังให้เสด็จพี่รองพาชาวบ้านธรรมดาสองคนเข้ามา นี่เรียกว่าเป็นหลักฐานได้หรือ?” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของฉินเสียนถิงดังขึ้นมาจากข้างหลัง
ยามที่หลิงมูเอ๋อร์หันกลับไป เขาก็ยืนอยู่ข้างหมิ่นกุ้ยเฟยแล้ว
เห็นสายตาอันตรายยามที่ฉินเสียนถิงจ้องมองพวกสงฉี่กวง ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไป
บังเอิญเสียจริง นางก็ไม่คิดจะให้โอกาสฉินเสียนถิงอีกคราเช่นกัน!
“องค์ชายเจ็ดไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แม่ว่าทั้งสองคนนี้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่พวกเขาเป็นผู้ที่สามารถลบล้างมลทินขององค์ชายรองได้!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็มองไปทางฮ่องเต้อีกครา “ทูลฝ่าบาท สงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงเป็นผู้ที่เกิดและโตที่เมืองผิงเฉิงเพคะ ตั้งแต่เกิดก็หาได้เคยออกจากเมืองผิงเฉิง พวกเขาสามารถยืนยันได้ว่าเมื่อห้าปีก่อนในเมืองผิงเฉิงเกิดกลุ่มที่มีชื่อว่าหอวีรบุรุษขึ้นมาจริงเพคะ อีกทั้งห้าปีมานี้ที่เมืองผิงเฉิง หอวีรบุรุษยังกดขี่ราษฎรและทำเรื่องต่ำช้าไม่หยุดหย่อน แต่เมื่อสิบวันก่อนยามที่องค์ชายรองถูกคนใส่ความ มู่เอ๋อร์ได้เคยเปิดโปงเรื่องหอวีรบุรุษแล้ว ทว่าเจ้าเมืองของเมืองผิงเฉิงในคราแรกอย่างองค์ชายเจ็ดกลับไม่ยอมรับเรื่องนี้ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดเพคะ!”
“หอวีรบุรุษหรือ?” ได้ยินชื่อนี้อีกคราฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้ว เขายืดคอมองพิจารณาทั้งสามคนที่คุกเข่าอยู่ข้างล่าง “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”
มองไปทางชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่อยู่บ้างอีกครา เขาชี้จมูกอีกฝ่ายพลางกล่าว “เจ้าลุกขึ้นมาตอบคำถามเจิ้น เรื่องทั้งหมดที่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองพูดเป็นความจริงหรือไม่?”
คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะถูกฮ่องเต้ชี้จมูกถาม สงฉี่กวงก็รู้สึกเพียงว่าได้ส่องแสงสว่างให้บรรพบุรุษแล้ว!
แม้รอบด้านจะมีสายตามาดร้ายจ้องมองมาที่ตัวเองอยู่ตลอด แต่เขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสามารถยืนยันได้ว่าทุกคำพูดของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเมื่อครู่เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ!”
“สามหาว!”
ได้ยินคำพูดนี้ของสงฉี่กวง ฉินเสียนถิงก็ก้าวออกมาโดยพลัน “เจ้าเป็นแค่ชาวบ้านคนหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากพูดจาเลอะเทอะสร้างหลักฐานปลอมจะมีผลอันใดตามมา? ตามกฎเกณฑ์ของราชวงศ์จะต้องถูกลากออกไปตัดหัวที่ประตูหน้าวังหลวง ถึงขั้นถูกประหารเก้าชั่วโคตร เจ้าจะรับผิดชอบได้หรือ?”
รู้ว่าฉินเสียนถิงจะต้องคุกคามสงฉี่กวงเป็นแน่
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังกังวลว่าสงฉี่กวงจะหลบเลี่ยงด้วยความกลัว คาดไม่ถึงว่าท่าทีของเขาจะทำให้ตนต้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
“องค์ชายเจ็ด พระองค์อยู่ที่เมืองผิงเฉิงมาหลายปี กระหม่อมเคยพบพระองค์อยู่หลายครา ความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ของพระองค์ทำให้กระหม่อมเลื่อมใสยิ่ง แต่ยามที่กระหม่อมได้ยินว่าพระองค์ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องหอวีรบุรุษก็ผิดหวังยิ่งพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายผู้สูงส่งเหตุใดจึงไปช่วยเหลือพวกโจรทั้งยังไม่ยอมรับการมีอยู่ของพวกมันพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่าพวกโจรกลุ่มนั้นเป็นคนขององค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ?”
“บังอาจ!”
ฉินเสียนถิงตะคอกอย่างเดือดดาล อ้าปากยังคิดจะพูดอันใดแต่กลับถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยวเสียก่อน
“หุบปากกันไปให้หมดเสีย!”
ทั่วทั้งร่างของฮ่องเต้ปรากฏไอเย็นยะเยือกน่าเกรงขาม ยามที่ดวงตาลึกล้ำมองลงไปที่ทุกคนก็ทำให้ทุกคนเงียบปากอย่างเชื่อฟัง ถูกต้อง เขากำลังสับสนอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เจ้าเจ็ดยืนยันว่าไม่มีหอวีรบุรุษอยู่บนใต้หล้านี้ เหตุใดจู่ๆ จึงมีคนมายืนยันการมีอยู่ของหอวีรบุรุษได้?
ยิ่งไปกว่านั้น…
“หลิงมู่เอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าหาหลักฐานมาล้างมลทินของเฉินเอ๋อร์พบแล้ว แต่เจ้ารวมถึงคนที่เจ้าพามาเอาแต่ยกเรื่องของหอวีรบุรุษขึ้นมาพูด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอันใดอยู่?” ฮ่องเต้มีสีหน้าพิโรธแล้วผู้ใดจะไม่เกรงกลัวเล่า?
แต่หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าหากวันนี้ไม่พูดเรื่องทั้งหมดให้ชัดเจนก็จะไม่มีโอกาสจัดการฉินเสียนถิงอีกแล้ว!
“ทูลฝ่าบาท คราแรกที่เซ่าเฉินถูกคนใส่ความว่าแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารส่วนตัวจนถูกจับไปขังในคุกคุมขังนักโทษประหาร พระองค์ได้ให้มู่เอ๋อร์ไปตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้ มู่เอ๋อร์ตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้วว่ากองกำลังเหล่านั้นเป็นองค์ชายเจ็ดที่ทำการชุบเลี้ยงไว้ เขาชุบเลี้ยงคนจำนวนมากเช่นนั้นย่อมต้องการทุนต้องการเงิน นี่เป็นเหตุผลที่เขาก่อตั้งหอวีรบุรุษขึ้นมาเพคะ เขาอาศัยหอวีรบุรุษในการกดขี่และยึดครองทรัพย์สินของชาวบ้านเพื่อให้สามารถชุบเลี้ยงกองกำลังทหารได้ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดเพคะ!”
เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ดังทว่าแต่ละคำกลับไพเราะหมดจด ราวกับความจริงของเรื่องราวอยู่ตรงหน้าแล้ว
ยามที่ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊โดยรอบได้ยินคำพูดนี้ก็พากันตกตะลึง
องค์ชายพระองค์หนึ่งลอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหาร แต่กลับต้องก่อตั้งกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งขึ้นมาเพื่อรีดไถทรัพย์สิน ความผิดนี้เทียบกับการก่อกบฏแล้วยังทำให้คนรู้สึกรังเกียจมากกว่าเสียอีก
“ว่าอย่างไรนะ?” ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยว สายตามองไปทางฉินเสียนถิง “เจ้าเจ็ด ที่หลิงมู่เอ๋อร์พูดมาเป็นความจริงหรือ?”
ฉินเสียนถิงคุกเข่าลงบนพื้นโดยพลัน “ลูกถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ!”
มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครารวมถึงสงฉี่กวงที่อยู่ข้างกายนาง หางตาของฉินเสียนถิงก็ฉายความโหดเหี้ยมออกมา แต่เพียงชั่วพริบตาก็สลายหายไป ยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกคราสีหน้าก็เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรมและน่าสงสาร “เสด็จพ่อ พระองค์ย่อมทราบการปฏิบัติตัวของลูกดีว่าลูกเป็นคนเช่นไรกระมังพ่ะย่ะค่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นลูกหาได้เคยต้องการยึดครองสิ่งใดด้วยอำนาจ หรือมีแผนการอันใด ขอถามว่าหากลูกชุบเลี้ยงคนเหล่านั้นไปจะได้ประโยชน์อันใดพ่ะย่ะค่ะ? จากที่ลูกมอง เห็นได้ชัดว่าเป็นพี่สะใภ้รองต้องการให้เสด็จพี่รองหลุดพ้นความผิด แต่หาหลักฐานไม่พบจึงจงใจใส่ความกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”
รู้อยู่แล้วว่าฉินเสียนถิงต้องไม่ยอมรับเป็นแน่
หลิงมู่เอ๋อร์ยอมเสี่ยงถูกตัดหัว หยัดกายขึ้นมาอีกครา “ฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดไม่ยอมรับเรื่องหอวีรบุรุษรวมถึงเรื่องแอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารส่วนตัว เช่นนั้นก็เอาเถิดเพคะ พวกเราจะไม่กดดันให้เขายอมรับ แต่มู่เอ๋อร์จำต้องกล่าวว่าเมื่อสิบวันก่อนยามที่องค์ชายเจ็ดสาบานอย่างจริงใจว่าไม่รู้เรื่องหอวีรบุรุษ โดยกล่าวว่าที่เมืองผิงเฉิงหาได้มีกลุ่มโจรต่ำช้าอยู่ แต่ราษฎรของเมืองผิงเฉิงอย่างสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิง ทั้งยังมีราษฎรอีกมากสามารถยืนยันการมีอยู่ของหอวีรบุรุษได้เพคะ ขอบังอาจถามองค์ชายเจ็ดว่าเหตุใดจะต้องปิดบังความจริงตั้งแต่แรก? ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนก่อตั้งหอวีรบุรุษหรือเพคะ? และองค์ชายเจ็ดในฐานะที่เป็นองค์ชายเหตุใดต้องก่อตั้งกลุ่มเช่นนี้ขึ้นมา เจ้ามีเจตนาอันใดกันแน่!”
“หลิง-มู่-เอ๋อร์!” ฉินเสียนถิงกัดฟันอย่างเกลียดชังหลิงมู่เอ๋อร์ เขายังไม่ทันได้คิดอย่างรอบคอบก็พุ่งเข้าไปแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบก้าวเข้ามาปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว
มองฉินเสียนถิงอีกครา มุมปากซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยกขึ้นเล็กน้อย “น้องเจ็ดที่นี่คือท้องพระโรง เสด็จพ่อและเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ก็ล้วนอยู่ด้วย เจ้าคิดจะทำอันใดกับสนมรักของข้าหรือ?”
หากเขาลงมือจริงก็จะยิ่งเป็นการทำให้ตัวเองได้รับโทษที่ฆ่าคนปิดปาก นั่นมิใช่ว่าเป็นการยอมรับเรื่องทั้งหมดที่หลิงมู่เอ๋อร์พูดก่อนหน้านี้หรือ?
แม้ว่าเขาจะเกลียดชังหลิงมู่เอ๋อร์มากถึงขั้นทนแทบไม่ไหวอยากฉีกปากนางเป็นชิ้นๆ แต่เขาก็เกลียดสงฉี่กวงและซ่งอี้เฉิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกัน!
สมควรตายนัก เมื่อวานเขาได้รับข่าวว่าหนานกงอี้จือพาคนสองคนไปที่ตำหนักองค์ชายรอง แต่ไม่ว่าเขาจะสืบอย่างไรก็ตรวจสอบได้เพียงว่าสองคนนั้นเป็นหนานกงอี้จือหามาเพื่อเป็นองครักษ์ปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็นประชาชนของเมืองผิงเฉิง!
มีคำให้การของสองคนนี้ ต่อให้เขาไม่อยากยอมรับการมีอยู่ของหอวีรบุรุษก็ไม่อาจทำได้แล้ว ทว่าหากมากลับคำวันนี้จะไม่เป็นการยืนยันว่าเขาโกหกมาตั้งแต่ต้นหรือ?