เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 412 สถาปนาหวางโฮ่ว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 412 สถาปนาหวางโฮ่ว
เล่มที่ 14 ตอนที่ 412 สถาปนาหวางโฮ่ว
ด้านนอกวัง
หลิงมู่เอ่อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉิน และหนานกงอี้จือสามคนมองเหล่าคนชุดดำที่รายล้อมขวางพวกเขาอยู่เบื้องหน้า คนทั้งสามจัดกระบวนเป็นรูปสามเหลี่ยม มอบแผ่นหลังไว้ให้อีกฝ่าย
“นี่เป็นมือสังหารชุดที่สามที่ขัดขวางมิให้พวกเราเข้าวังแล้ว ดูท่าฉินเสียนถิงมีการเตรียมการไว้ก่อนจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว ในน้ำเสียงมีความเคียดแค้นที่ยากจะปิดบัง
“เหอะ ต่อให้มีคนมากกว่านี้แล้วอย่างไร ยังมิใช่ขวางพวกเราไว้ไม่อยู่หรือ!” หนานกงอี้จือแค่นเสียงเย็น ราวกับไม่เห็นเหล่าคนที่ดูคล้ายยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหน้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“ระวัง สังหาร!” ซั่งกวนเซ่าเฉินเตือนทุกคนมิให้ประมาทก่อน แต่คำว่าสังหารในตอนสุดท้ายนั้นราวกับจะรวบรวมไอสังหารทั้งหมดของเขาไว้
เห็นคนทั้งสามลอยขึ้นกลางอากาศ การเคลื่อนไหวและกระบวนท่าประสานกันอย่างสมบูรณ์ บุกไปเบื้องหน้า
เพียงพริบตามือสังหารสามคนก็ล้มลง
“ดูไปแล้วคนกลุ่มนี้ก็ไม่เท่าไหร่” หนานกงอี้จือยิ่งมองคนทั้งหลายอย่างเย้ยหยันกว่าเดิม
ใครจะรู้ว่าคนทั้งหมดสบตากันคราหนึ่ง ไม่กล่าวแม้เพียงคำ ก็ยกกระบี่ในมือพุ่งเข้าหาพวกเขาอีกครั้ง
“อี้จือ อย่าประมาท!” ในยามเดียวกับที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวเตือน ก็พุ่งไปยังเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ก่อน หลังจากช่วยนางกำจัดอุปสรรคแล้ว จึงได้กลับมาจัดการผู้ที่เขาต้องรับมือ
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงก็คือ ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนกลับเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ
บางทีอาจกล่าวได้ว่า พวกถุงข้าวที่ใช้ไม่ได้สองสามคนนั้น อาจเป็นวิธีอำพรางเพื่อให้พวกเขาลดการระวังตัวลงเท่านั้น
หลังจากเห็นหลังมือของหนานกงอี้จือถูกบาดไปหนึ่งดาบ หลิงมู่เอ๋อร์รีบพุ่งไปเบื้องหน้าของเขาทันที “อี้จือ เจ้าถอยหลังไป ไม่กี่คนนี้มอบให้ข้า”
“เช่นนั้นเจ้าระวังหน่อย” หนานกงอี้จือด้านหนึ่งก็รู้ตัวว่าตนเองประมาทไปแล้ว อีกด้านถอยไปด้านหลังมอบตำแหน่งให้หลิงมู่เอ๋อร์เพื่อที่จะไม่เป็นตัวถ่วงของนาง
ในยามนี้ ท้องฟ้ากำลังจะสว่างแล้ว ส่วนเมื่อคืนข้ารับใช้ที่ได้รับเงินกล่าวว่า พิธีการสถาปนาหวางโฮ่วถูกกำหนดไว้ในยามเฉินสามเค่อ [1] หากพวกเขาไม่สามารถเข้าวังก่อนเวลานี้แล้วละก็ ทุกสิ่งก็จะไม่ทันการณ์แล้ว
ทันทีที่หมิ่นกุ้ยเฟยกลายเป็นหวางโฮ่วอย่างราบรื่น พวกเขาอยากจะระบุโทษฉินเสียนถิงก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
“เซ่าเฉิน ระวัง!”
เห็นทางซั่งกวนเซ่าเฉินก็ใกล้จะรับมือไม่ไหวแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์หยิบระเบิดควันลูกหนึ่งโยนไป ถือโอกาสในยามที่คนไม่สังเกต พาซั่งกวนเซ่าเฉินและหนานกงอี้จือหลบไปอยู่ที่มุมเลี้ยวหลังกำแพง
“ดูท่า ไม่กี่คนนี้คงจะเป็นอาวุธลับชิ้นสุดท้ายของฉินเสียนถิง ไม่ว่ากำลังภายในหรือกระบวนท่าล้วนเหนือกว่าพวกเรา ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบ ก็ใช้หางตาสำรวจซั่งกวนเซ่าเฉิน ยังดีที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ
“พวกเรามีแต่เปิดทางไปสู่วังหลวง จึงจะสามารถนำสงฉี่กวง ซ่งอี้เฉิง และเศษซากรถม้าของหลิ่วฉางอี้ไปยังเบื้องพระพักตร์ของฝ่าบาท ฤกษ์มงคลใกล้จะถึงแล้ว พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว เตรียมพร้อมใหม่อีกครั้ง ในยามที่เขาจะบุกเข้าไปในวงล้อมของคนชุดดำเพื่อบุกเข้ากำแพงวังหลวงอีกครั้ง ก็บังเอิญได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากเบื้องหลัง
“แปลกจริง เป็นผู้ใดกำลังช่วยพวกเรา?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกสงสัย
นางรีบหันกายมาทันที และเบื้องหน้าคือเงาร่างที่คุ้นเคยสายหนึ่ง กำลังต่อสู้กับคนชุดดำหลายคนแทนพวกนาง
“เป็นซูเช่อ?” หนานกงอี้จือเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ กลับกลายเป็นไม่กลัวถึงเพียงนั้นแล้ว เขาอยู่ใกล้ที่สุดและเห็นอย่างชัดเจนที่สุด
“ศัตรูของพวกเรา จะมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไร? แต่ในเมื่อมีผู้อื่นมาแล้ว พวกเรายิ่งไม่อาจอยู่เฉยได้!” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวจบ ก็ส่งสายตาให้คนทั้งสาม คนทั้งสามรีบจัดเครื่องแต่งกายมุ่งหน้าออกไปทันที
เสมือนหนึ่งผู้เป็นราชันหวนคืนมา คนทั้งสามมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ความเร็วในมือไม่ช้าลงแต่กลับเร็วยิ่งขึ้น ทุกที่ที่ไปถึงล้วนมีประกายโลหิตทะลุฟ้า
“ท่านมาได้อย่างไรกัน?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามซูเช่อที่หันหลังให้ตน
“ฉินเสียนถิงมิได้เป็นศัตรูของพวกเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น เรื่องเช่นนี้ควรจะเรียกข้าด้วยนานแล้ว” ซูเช่อกล่าวจบ กระบี่ในมือก็ตวัดออก มือสังหารที่อยู่เบื้องหน้าศีรษะตกลงสู่พื้นทันที
เขาย้ายสายตามองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครั้ง “เหตุใดจึงมีแค่พวกท่านสามคน? หลักฐานที่พวกท่านหาได้เล่า?”
ไม่รอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบ ซูเช่อราวกับจะเดาได้ถึงแผนการของพวกเขา เขาพยักหน้า “ที่นี่มอบให้ข้า พวกเจ้าไปทำสิ่งที่ควรทำเถิด”
ได้ยินซูเช่อใจกว้างเช่นนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ่งรู้สึกว่าติดค้างเขามากเกินไปแล้ว “ไม่ได้ จะทิ้งสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ไว้ให้เจ้าคนเดียวได้อย่างไร”
“ฟ้ากำลังจะสว่างแล้ว มีคนลอบสังหารเปิ่นหวางหน้าวังหลวง ข้าไม่เชื่อว่าผู้ว่าการเมืองหลวงจะไม่นำคนมา ท่านวางใจเถอะ ก่อนที่กำลังสนับสนุนจะมา ข้ายังรับไว้ได้” ซูเช่อโค้งริมฝีปาก ส่งยิ้มทรงเสน่ห์อย่างชั่วร้ายให้คนทั้งสาม
เห็นคนทั้งสามยังไม่มีความเคลื่อนไหว เขาขมวดคิ้วคำราม “รีบไปเร็ว!”
หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์สะดุด หลังจากมองซูเช่ออย่างตั้งใจอีกครั้ง นางกล่าวคำหนึ่งว่า ‘ขอบคุณมาก’ พาซั่งกวนซ่าเฉินกับหนานกงอี้จือจากประตูวังไป
อันที่จริงแล้ว ที่พวกนางเลือกเข้าวังในกลางดึก ก็เพราะเดาได้ว่า ฉินเสียนถิงจะต้องขัดขวางอยู่บนเส้นทางจำเป็นที่ใช้เข้าวัง เพื่อหยุดการสถาปนาของหมิ่นกุ้ยเฟยให้ทัน พวกนางต้องแก้ปัญหายุ่งยากเบื้องหน้าให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถให้สงฉี่กวงกับซ่งอี้เฉิงที่ไม่มีวรยุทธ์ให้ปรากฏตัวได้
ตอนนี้มีซูเช่อให้ความช่วยเหลือ พวกนางสามารถประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อยจริงๆ
นางได้ติดค้างซูเช่ออีกครั้งแล้ว
“เอาเช่นนี้ ข้าจะไปช่วยซูเช่อ พวกท่านทั้งสองรีบพาพวกสงฉี่กวงกับหลักฐานเข้าวัง” หนานกงอี้จือมองความลำบากใจของพวกเขาออก กล่าวจบก็ย้อนกลับไปในทางเดิม
มีหนานกงอี้จือช่วยเหลือ ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงได้ถอนใจอย่างโล่งอก “มู่เอ๋อร์ เวลาของพวกเรามีไม่มากแล้ว”
“ได้ พวกเราไปที่ห้องนิรภัยในตอนนี้เลย พาสงฉี่กวงกับซ่งอี้เฉิงเข้าวัง”
ในพระราชวัง
ฉินเสียนถิงมองเสด็จแม่ในชุดที่สูงศักดิ์และหรูหรางดงามอย่างพึงพอใจ นั่นเป็นสิ่งที่แสดงถึงฐานะของหวางโฮ่ว เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง “ลูกขอแสดงความยินดีต่อหมู่โฮ่ว [2]!”
หมิ่นกุ้ยเฟยที่ประหม่ามาตลอดนับตั้งแต่ตื่นมาในยามเฉิน ในใจตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด บนใบหน้ายิ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ห้ามไว้ไม่อยู่ “โอรสที่ดี ขอเพียงผ่านวันนี้ไป ข้าก็จะเป็นมารดาของแผ่นดิน อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น ทุกสิ่งที่พวกเราต้องการ กำลังจะได้ครอบครองแล้ว”
“ทุกสิ่งนี้ล้วนแต่เป็นผลงานของหมู่โฮ่ว หมู่โฮ่วอดทนมานานหลายปี จึงสามารถทำให้เสด็จพ่อซาบซึ้งพระทัยได้ หมู่โฮ่วสมควรได้รับโดยมิต้องละอายพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเสียนถิงกล่าวจบก็มองไปโดยรอบทันที หาตัวมัวมัวผู้ดูแลจนพบ “ได้เตรียมพร้อมครบถ้วนแล้วหรือไม่”
“ทูลองค์ชายเจ็ด ไม่มีสิ่งใดตกหล่น รอเพียงฤกษ์ดีเท่านั้นเพคะ” มัวมัวก็ยิ้มไม่หุบเช่นกัน
“ดี วันนี้เปิ่นหวางจื่อมีความสุข มอบรางวัลแก่ทุกคนในวัง!” เมื่อพระโอษฐ์ทองคำขององค์ชายเจ็ดเอ่ยออกมา สถานการณ์เบื้องหน้าก็พลันวุ่นวายแล้ว
เหล่าข้ารับใช้และสาวใช้ในตำหนักพากันคุกเข่าลงขอบพระทัย อีกทั้งยังยกย่องเขาดั่งเช่นผู้เป็นรัชทายาทในอนาคตอีกด้วย
ฉินเสียนถิงเพียงแค่ยิ้มอย่างได้ใจ แค่เงินทองจำนวนหนึ่งเท่านั้น เพียงของนอกกายก็สามารถทำให้ข้ารับใช้พวกนี้จงรักภักดีต่อเขายิ่งชีพได้ ข้ารับใช้ก็คือข้ารับใช้จริงๆ
หมิ่นกุ้ยเฟยมองดูความเย่อหยิ่งภาคภูมิของบุตรชาย ในใจพลันเกิดความกังวลขึ้นมาสายหนึ่ง นางรีบดึงฉินเสียนถิงไปด้านข้าง
“ถิงเอ๋อร์ แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันดีของแม่ แต่เจ้ารองจะปล่อยวันนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร ข้ายังกังวลว่า…”
“หมู่โฮ่วมิต้องทรงกังวลพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเสียนถิงตัดบทคำพูดที่ยังพูดไม่จบของหมิ่นกุ้ยเฟย อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความั่นใจอย่างมาก “ลูกได้เตรียมพร้อมทุกสิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาไม่สามารถเข้ามาในวังได้ ต่อให้เข้ามาได้ ก็ทรงรับการสถาปนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว นอกจากนี้ มีตาเฒ่าอัครเสนาบดีเป็นหินเหยียบเท้าของพวกเรา ย่อมไร้อุปสรรค”
เดิมหมิ่นกุ้ยเฟยยังคิดจะกล่าวสิ่งใด แต่นอกตำหนักพลันมีเสียง ‘ได้เวลาฤกษ์มงคลแล้ว’ ดังมา นางจึงไม่มีเวลาไปห่วงสิ่งอื่นอีก รีบดันฉินเสียนถิงออก เดินไปสู่นอกประตู
“ถึงฤกษ์มงคลแล้วใช่หรือไม่? ใครเข้ามา ยังไม่รีบมาประคองเปิ่นกงอีก?”
สาวใช้ประจำกายกับมัวมัวรีบยืนขนาบข้างกายของนางคนละด้านซ้ายขวา หมิ่นกุ้ยเฟยถูกคนจำนวนหนึ่งประคองเดินออกจากตำหนักที่ประทับอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก
หลังจากวันนี้ ที่แห่งนี้ก็จะมิใช่ตำหนักที่ประทับของหมิ่นกุ้ยเฟยอีก แต่จะเป็นตำหนักที่ประทับของหวางโฮ่วเหนียงเหนียงแล้ว
เจ้านายได้ดี ผู้เป็นข้ารับใช้ย่อมพลอยได้ดีไปด้วย
รับรู้ได้ถึงความเร่งร้อนและไร้ไมตรีของเสด็จแม่ในยามที่ดันเขาออกไป แม้ฉินเสียนถิงใจมีความไม่พอใจในชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นยินดีของเสด็จแม่จากการเลื่อนตำแหน่ง ในใจของเขาก็คลี่คลายลง
เสด็จแม่กลายเป็นหวางโฮ่ว การที่เขาจะขึ้นสู่ตำแหน่งไท่จื่อยังจะห่างไกลอยู่อีกหรือ?
“ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว รับบัญชาจากสวรรค์ ฮ่องเต้มีราชโองการ เนื่องจากตำแหน่งหวางโฮ่วว่างเปล่ามานาน วังหลังกระจัดกระจายไม่เป็นหนึ่งเดียว ทว่า หมิ่นกุ้ยเฟยมีความซื่อสัตย์สามารถ เป็นที่พอใจของเจิ้น จึงพระราชทานตำแหน่งหวางโฮ่วให้เป็นพิเศษ เชิญหมิ่นกุ้ยเฟยเข้าสู่ตำหนัก!”
หลังจากขันทีอ่านราชโองการเสียงดัง เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยในท้องพระโรงก็พากันแยกออกเป็นสองแถว พากันก้มศีรษะต้อนรับหมิ่นกุ้ยเฟยเยื้องกรายสู่ท้องพระโรงทีละก้าว
มองดูความยิ่งใหญ่อลังการทั้งมวลที่อยู่เบื้องหน้า หมิ่นกุ้ยเฟยรู้สึกเพียงว่าใจทั้งดวงได้ลอยมาอยู่ที่ลำคอแล้ว สัมผัสถึงการกราบไหว้ของทุกคน สัมผัสถึงความตื่นเต้นในยามนี้ นางพยายามรักษาความสงบนิ่งของตนสุดชีวิต
สตรีไม่อาจเข้าสู่ท้องพระโรง แต่หวางโฮ่วทำได้
สตรีในวังหลังสามพันนาง หวางโฮ่วอาจมิใช่ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดคนนั้น แต่ครอบครองอำนาจหลักอย่างเป็นทางการ สามารถควบคุมความเป็นตายของผู้คนทั้งหมดในวังหลังได้
ขอเพียงนางกลายเป็นหวางโฮ่ว ในอนาคตลูกชายของนางก็จะมีโอกาสกลายเป็นไท่จื่อ กลายเป็นฮ่องเต้ แผ่นดินนี้ก็จะกลายเป็นของนางแล้ว!
นี่เป็นสิ่งที่นางต้องการนับตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง
ใกล้แล้ว บัลลังก์หวางโฮ่วค่อยๆ เข้าใกล้นางทีละก้าว ทุกสิ่งที่นางต้องการครอบครอง ในที่สุดก็กำลังจะได้มาแล้ว
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้น ด้านหลังก็มีเสียงที่คุ้นเคยและดังกังวานเป็นอย่างมากลอยมา
เท้าของหมิ่นกุ้ยเฟยชะงัก อย่างรวดเร็วก็แยกแยะออกว่าเสียงนี้คือผู้ใด นางราวกับไม่ทันได้ใคร่ครวญ ก็รีบวิ่งซอยเท้าไปยังบังลังก์หวางโฮ่วทันที ราวกับว่าขอเพียงนางขึ้นไปนั่งแล้ว บัลลังก์นั้นชั่วชีวิตก็จะเป็นของนางแล้ว
น่าเสียดาย ที่ผู้มาไม่ให้โอกาสนางได้สมหวัง
“ฝ่าบาท มู่เอ๋อร์ได้หาหลักฐานที่จะล้างมลทินให้องค์ชายรองพบแล้วเพคะ ขอฝ่าบาทโปรดทรงฟังหม่อมฉันกราบทูลด้วยเพคะ”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนเสียงดัง ก็คุกเข่าลงในท้องพระโรงทันที ดวงตาสีนิลที่สุกสว่างทั้งคู่จับจ้องไปที่โอรสสวรรค์ผู้สูงส่งทว่าอ่อนแรงยิ่งอย่างแน่วแน่
แน่นอนว่า นับจากนาทีที่นางปรากฏตัว คิ้วของฉินเสียนถิงก็ขมวดเข้าหากันแน่น เขายิ่งมองไปยังตาเฒ่าอัครเสนาบดีทันที ราวกับกำลังใช้สายตาเค้นถาม ว่านางเข้ามาได้อย่างไร?
เขาได้ส่งมือสังหารจำนวนมากไปขัดขวางหลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินมิให้เข้าวังแล้วชัดๆ แต่ยามนี้พวกเขาทั้งสองคนกับยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า และยังมีเจตนาจะขัดขวางการสถาปนาของหมู่โฮ่ว ช่างสมควรตายนัก!
น่าเสียดายที่อัครเสนาบดีไม่มองเขาแม้แต่ครั้งเดียว เอาแต่ก้มศีรษะอย่างตำหนิตนเองเท่านั้น
ส่วนหมิ่นกุ้ยเฟยยิ่งโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งแล้ว สิ่งที่นางไม่ต้องการเห็นที่สุดก็คือมีคนมาขัดขวางการสถาปนาของนาง แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่กังวลที่สุดยังคงเกิดขึ้นแล้ว ทว่านางได้แต่สะกดกลั้นเพลิงโทสะไว้ แสร้งทำเป็นอ่อนโยน “ฝ่าบาท ได้ฤกษ์อันเป็นมงคลแล้ว หม่อมฉันใกล้จะรับการแต่งตั้งเสร็จแล้ว ยังขอให้ฝ่าบาทโปรดมีพระบัญชา ให้เรื่องที่ไม่สำคัญไม่ว่าเรื่องใดเลื่อนไปหลังพิธีแต่งตั้งเถิดเพคะ”
เชิงอรรถ
[1] ยามเฉินสามเค่อ คือ 7:45 น.
[2] หมู่โฮ่ว เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกมารดาผู้เป็นหวางโฮ่ว