เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 409 เศษซาก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 409 เศษซาก
เล่มที่ 14 ตอนที่ 409 เศษซาก
คิดไปคิดมา นางก็นึกความคิดดีๆ ออก
หยิบระเบิดควันที่คิดค้นด้วยตนเองออกมาจากในมิติลูกหนึ่ง โยนออกไปตามกำแพง ก็ได้ยินเสียงปังดังกึกก้อง ระเบิดควันระเบิดออกในลาน ควันสีขาวพัดโชยมา
อย่างรวดเร็ว ข้างหูก็ได้ยินเสียงหลินเล่อเซิงกรีดร้อง “อ๊า! ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
ระเบิดควันของนางมีอานุภาพมาก แต่จะไม่ทำร้ายชีวิตคน แต่ลานบ้านของสตรีนางหนึ่งจู่ๆ มีระเบิดควันปรากฏขึ้นมา เชื่อว่าหลินเล่อเซิงคงถูกทำให้ตกใจจนไม่กล้ามาหาเรื่องเซิงเอ๋อร์อีก
“พี่เซิงเอ๋อร์ ในตอนนี้ข้าช่วยท่านได้เพียงเท่านี้แล้ว รอจนข้าหาหลิ่วฉางอวี้พบ ค่อยกลับมาช่วยท่านสั่งสอนหลินเล่อเซิง”
หลิงมู่เอ๋อร์ตัดสินใจ หลังจากมองลานบ้านที่เต็มไปด้วยควันเป็นครั้งสุดท้าย ก็พลิ้วกายออกจากจวนองค์ชายเจ็ดไป
“เซ่าเฉิน เหตุใดท่านถึงได้มาแล้ว?”
เพิ่งออกจากจวนองค์ชายเจ็ดมาก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยสายหนึ่ง เห็นเขากำลังจะบุกเข้าไป หลิงมู่เอ๋อร์รีบคว้าแขนของเขาจากด้านหลัง นำเขาไปยังหัวเลี้ยวในซอย
เมื่อหมุนกายก็เห็นสตรีตัวน้อยยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างไร้การบุบสลาย ซั่งกวนเซ่าเฉินยื่นมือทั้งสองไปโอบนางเข้าสู่อ้อมกอดอย่างไม่ลังเล สัมผัสถึงกลิ่นสมุนไพรและเสียงหัวใจเต้นของนาง ใจทั้งดวงจึงได้สงบลง
“มู่เอ๋อร์เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
เดิมยังคิดจะถามเขาว่าเป็นอะไร ตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่า บางทีอาจเป็นหนานกงอี้จือบอกเขาถึงเส้นทางของนาง
เห็นท่านแม่ทัพใหญ่ที่สังหารคนดุจมดปลวกในสนามรบก็มีด้านที่เหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นมือไปลูบศีรษะด้านหลังของเขา “เซ่าเฉินของพวกเราเป็นเด็กดีนะ ไม่ต้องกลัวแล้ว ท่านดูสิ ข้ามิใช่ไม่เป็นไรหรือ?”
“เจ้ายังกล้าพูด!” ซั่งกวนเซ่าเฉินโมโหจัดแล้ว จับแขนทั้งสองข้างของนางไว้แน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในยามที่ข้ากลับถึงจวนแล้วพบว่าเจ้าไม่อยู่ อีกทั้งในตอนที่อี้จือบอกข้าว่าเจ้ามาที่นี่ ข้ากังวลมากเพียงใด มู่เอ๋อร์ เจ้าไม่อาจมีอันตรายใดๆ ได้ รู้หรือไม่?”
“ข้ามีของวิเศษของข้าอยู่ ใครจะทำร้ายข้าได้กัน? ฉินเสียนถิง เขาหรือ?” มองดูใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินที่เต็มไปด้วยไอโทสะ หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วอย่างได้ใจ ท่าทางที่จงใจทำเป็นสบายๆ อย่างไม่เกรงใจนั้นทำให้เขาขบขันจนหัวเราะออกมาแล้ว
“เจ้าสาวน้อยคนนี้!” เขาส่ายหัวอย่างจนใจ “รอจนเรื่องนี้จบลง หลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไป ดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
รู้ว่าเขาเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่มีทางทำใจแข็งรังแกนางได้หรอก หลิงมู่เอ๋อร์กอดแขนของเขาออดอ้อน “พี่ใหญ่ไม่มีทางรังแกข้าหรอก ถูกหรือไม่?”
นานแล้วที่ไม่ได้ยินนางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่จากปาก ราวกับความทรงจำในอดีตล้วนกลับมาแล้วทั้งหมด ซั่งกวนเซ่าเฉินลูบสันจมูกของนางอย่างรักใคร่ “อี้จือบอกว่าแม่นางเซิงเอ๋อร์เรียกเจ้ามาอย่างไรกัน หรือว่ามีเรื่องสำคัญอันใด? มู่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่ามีบางคำพูดเมื่อข้าพูดออกมาเจ้าอาจไม่พอใจ แม่นางเซิงเอ๋อร์ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงของเจ้าเจ็ด นาง… ”
“ข้าไม่อนุญาตให้ท่านพูดถึงพี่เซิงเอ๋อร์เช่นนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์ตัดบทคำพูดของเขาอย่างไม่พอใจ “เซิงเอ๋อร์คือเซิงเอ๋อร์ ฉินเสียนถิงคือฉินเสียนถิง เซิงเอ๋อร์เพียงแต่หมกมุ่นและซาบซึ้งที่ฉินเสียนถิงช่วยไถ่ตัวนาง ดีต่อนางเท่านั้น ดังนั้นจึงได้ไม่ยอมจากเขาไป อีกอย่าง พี่เซิงเอ๋อร์ได้บอกความลับหนึ่งแก่ข้าจริงๆ”
นางถ่ายทอดคำพูดที่เซิงเอ๋อร์บอกในตอนสุดท้ายพวกนั้นไปตามตรง หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินคำพูดนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“หากเป็นผู้อื่น ข้าย่อมสงสัยว่านางจงใจหลอกล่อพวกเราให้มุ่งหน้าไป แต่ในเมื่อเป็นพี่น้องที่ดีของเจ้า ข้าก็จะเชื่อนางสักครั้ง”
กล่าวจบ เขาก็จูงหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นม้า คนทั้งสองมุ่งหน้าไปยังภูเขาด้านหลังทางชานเมืองตะวันตกด้วยตนเอง
ทว่าในยามที่พวกเขาทั้งสองค้นหาอย่างละเอียดสองรอบ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดเลยนั้น หัวคิ้วของคนทั้งสองก็ขมวดเข้าหากันแน่น
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร พี่เซิงเอ๋อร์ไม่มีทางหลอกข้าแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์ถอนใจอย่างรู้สึกพ่ายแพ้ จนถึงบัดนี้นางยังไม่เชื่อว่าเซิงเอ๋อร์จะหลอกนาง “ไม่สู้พวกเราหาอีกสักรอบเถอะ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับหยุดนางไว้ “มู่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าเชื่อใจนาง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีของคนผู้นั้น ช่างเถอะ พวกเรากลับกันเถอะ”
วันนี้พวกเขาไม่ประสบกับอันตรายใด ดังนั้นเขาจะไม่โทษเซิงเอ๋อร์ เขาขอเพียงสตรีของเขากลับถึงจวนอย่างปลอดภัยก็จะไม่เอาความ
“แต่ว่า…” หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงคิดยืนกราน
“ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว หากพวกเรายังไม่กลับไปจะอันตรายมาก เป็นเด็กดี เชื่อฟังนะ!” ซั่งกวนเซ่าเฉินตัดบทคำพูดของนาง และจับมือของนางยืนกรานที่จะจากผืนป่านี้ไป
แต่ในยามที่พวกเขากลับมาที่ม้านั้น ก็พบว่าม้าของพวกเขาไม่อยู่แล้ว
สัญญาณอันตรายที่ไร้ที่มาสายหนึ่งผุดขึ้นในก้นบึ้งจิตใจ
ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปโอบหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอดทันที “ม้าไม่มีทางหายไปโดยไม่มีเหตุผล มู่เอ๋อร์ ระวังหน่อย”
บรรยากาศที่เดิมผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา ทำเอาหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกๆ ตักๆ นางมองไปรอบทิศทาง คล้ายว่าจะค้นพบสิ่งใด
“บนพื้นมีรอยเท้าม้า บนต้นไม้ยังมีสายบังเหียนอยู่ ที่นี่ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ไม่แน่ว่าม้าอาจวิ่งหนีไปเอง?”
กล่าวจบ ในป่าเขาพลันมีเสียงม้าร้องดังมา
“เป็นเลี่ยเหมา” ม้าของซั่งกวนเซ่าเฉินชื่อว่าเลี่ยเหมา
ซั่งกวนเซ่าเฉินก็พบความผิดปกติเช่นกัน เขารีบตามหาที่มาของเสียงทันที หลังจากสบตากับหลิงมู่เอ๋อร์ครั้งหนึ่งก็รีบตามที่มาของเสียงไป
ในยามที่คนทั้งสองตามเสียงมานั้น ก็พบว่าเลี่ยเหมาอยู่ที่ด้านล่างของภูเขา
แม้ว่าท้องฟ้าจะค่อนข้างมืดเล็กน้อย แต่สายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินดีมาก เพียงมองครั้งเดียวเขาก็ตรวจพบความเคลื่อนไหวของเลี่ยเหมา และความผิดปกติที่ข้างกายของมัน
“ด้านล่างมีสิ่งของ เลี่ยเหมาคงจะพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้องจึงได้วิ่งมาที่นี่ ข้าจะลองลงไปดู เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
“ข้าไปกับท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์รีบตามไปด้านหลังทันที ในยามที่คนทั้งสองมาถึงเชิงเขาด้านล่างนั้น ก็พบว่าที่ข้างกายของเลี่ยเหมาเป็นรถม้าที่เสียหลักตกจากภูเขาคันหนึ่ง
รถม้าถูกกระแทกจนแตกสลายกลายเป็นชิ้น และภายใต้เศษซากของรถม้าถึงกลับมีคนผู้หนึ่งอยู่!
“เป็นหลิ่วฉางอวี้!”
หลิงมู่เอ๋อร์มองเพียงครั้งเดียวก็จำคนผู้นี้ได้ ก็คือเจ้าเมืองผิงเฉิงใต้เท้าหลิ่วนั่นเอง
“มิน่า พวกเราหาทั่วทุกมุมของเมืองหลวงแล้ว ล้วนไม่มีร่องรอยของใต้เท้าหลิ่ว ที่แท้เขาร่วงลงมาจากหน้าผา” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเสียดายอยู่บ้าง
“ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นเพราะรถม้าเสียหลักทำให้หล่นลงมา แต่มู่เอ๋อร์เจ้าดูนี่สิ…” ซั่งกวนเซ่าเฉินค้นพบความผิดปกติของสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
เขาหยิบเศษไม้ของรถม้าชิ้นหนึ่งยื่นไปเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์เปิดที่จุดไฟ เมื่อมีการส่องสว่างจากแหล่งกำเนิดแสง มองเพียงครั้งเดียวนางก็พบว่าบนเศษไม้มีร่องรอยของการถูกตัด
“เป็นฉินเสียนถิง เขาหลอกใช้หลิ่วฉางอวี้เสร็จ ก็คิดฆ่าคนปิดปาก ภายนอกแสร้งทำเป็นปล่อยหลิ่วฉางอวี้กลับผิงเฉิง แต่กลับลอบเล่นลูกไม้กับรถม้าอย่างลับๆ เช่นนี้เมื่อถูกคนค้นพบ เขาก็สามารถแก้ตัวได้ว่าเป็นหลิ่วฉางอวี้เสียหลักตกจากเขา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา” เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งแค้นจนคันฟัน บนโลกนี้ทำไมถึงได้มีคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้นะ
“ดูท่าเป็นข้ามองแม่นางเซิงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกขอโทษต่อความวู่วามของตน เขาหยิบพลุสัญญาณจากอกเสื้อดอกหนึ่งออกมา โยนขึ้นไปบนฟ้าทันที
ควันสีฟ้าเบ่งบานอยู่บนท้องฟ้า ราวกับดอกไม้ควันหลากสีที่เฉิดฉัน งดงามอย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มองหลิงฉางอวี้ที่ถูกกระแทกจนตาย ได้แต่ทอดถอนใจที่ชะตาชีวิตของเขาไม่ดี “ใต้เท้าหลิ่วเป็นขุนนางที่ดีรักความยุติธรรม น่าเสียดายที่ฉินเสียนถิงเห็นชีวิตคนเป็นผักหญ้า บัญชีนี้ข้าไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้แน่”
“หลังอี้จือเห็นสัญญาณแล้วจะพาคนมา พวกเรานำรถม้าและศพของใต้เท้าหลิ่วไปยังเบื้องพระพักตร์ของเสด็จพ่อ ครั้งนี้ฉินเสียนถิงเขาหนีไม่พ้นแล้ว!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวจบก็ผิวปากเป็นสัญญาณ เลี่ยเหมาที่อยู่ห่างออกไปเมื่อได้ยินก็รีบวิ่งมาทันที
เห็นมุมปากและบนตัวของเลี่ยเหมามีดินโคลนติดอยู่หลายแห่ง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็หัวเราะออกมาอย่างจนใจ “ดูท่าช่วงนี้เหยียทำให้เจ้ากระหายและอดอยากแล้วจริงๆ วันนี้ที่ทำให้เจ้าสะบัดบังเหียนออกก็เพราะจะหาน้ำกิน? แต่รอบนี้เจ้าสร้างผลงานครั้งใหญ่ เมื่อกลับไปข้าจะต้องมอบรางวัลชั้นดีมื้อใหญ่แก่เจ้าแน่”
ซั่งกวนเซ่าเฉินด้านหนึ่งลูบขนที่ขมับของเลี่ยเหมา อีกด้านก็กล่าววาจา เลี่ยเหมาคล้ายกับฟังออกแล้วกระนั้น ยื่นหัวไปที่ฝ่ามือของเขา ถูไถไปมาราวกับกำลังขอบคุณเขา
“ม้ามีสัญชาติญาณแสนรู้ บางทีในตอนที่กำลังหาน้ำกินพบร่างของใต้เท้าหลิ่วเข้า จึงได้ส่งเสียงร้องดึงดูดความสนใจของพวกเรา ครั้งนี้เป็นเลี่ยเหมาสร้างผลงานชิ้นใหญ่จริงๆ!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวชื่นชม นำน้ำพุวิญญาณจากในมิติออกมา
ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ได้เพลิดเพลินกับน้ำพุที่หอมหวานเช่นนี้ เลี่ยเหมาตื่นเต้นอย่างมาก
เกรงว่าม้าที่ตื่นเต้นในชั่วขณะจะทำร้ายหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบโอบเอวคอดของนางพานางไปอยู่ด้านข้าง “มีร่างของใต้เท้าหลิ่ว รวมกับเศษซากของรถม้านี้ แม้พวกเราจะสามารถชี้ตัวฉินเสียนถิง แต่ว่าหลักฐานก็ยังไม่เพียงพออีกมาก พรุ่งนี้จะเป็นวันสถาปนาของหมิ่นกุ้ยเฟยแล้ว และเป็นวันสุดท้ายของเส้นตายสิบวันแล้ว ข้าจะใช้ทุกสิ่งในการชี้ตัวเขา แต่ว่า เจ้าคิดจะทำเช่นไรกับพี่เซิงเอ๋อร์ของเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่เล่นกับเลี่ยเหมาอีก สีหน้าที่ผ่อนคลายลงอย่างไม่ง่ายเลยก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
“ที่สามารถหาหลิ่วฉางอวี้ได้พบ เป็นผลงานของพี่เซิงเอ๋อร์ ที่จริงแล้ว นางใช้เรื่องนี้มาทำการแลกเปลี่ยนน่ะ นางอยากให้พวกเราปล่อยฉินเสียนถิงไป”
“เป็นไปไม่ได้!” ท่าทีของซั่งกวนเซ่าเฉินเด็ดขาด เป็นความเด็ดเดี่ยวที่แม้แต่วัวสิบตัวก็ลากไปไม่ได้
“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีทางปล่อยฉินเสียนถิงไป ยามนี้ไม่เพียงมีศพของหลิ่วฉางอวี้ ยังมีสงฉี่กวงกับซ่งอี้เฉิงอีก พวกเขาล้วนจะกล่าวหาฉินเสียนถิงเรื่องการปิดบังเกี่ยวกับหอวีรบุรุษ พรุ่งนี้ต่อให้ฉินเสียนถิงไม่ตาย หมิ่นกุ้ยเฟยก็อย่าได้คิดผ่านการแต่งตั้งอย่างราบรื่น!”
หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟัน ขอเพียงคิดถึงเรื่องผิดต่อมโนธรรมฟ้าที่ฉินเสียนถิงทำ ในใจของนางก็กลืนความโมโหไม่ลง แต่การที่นางทำเช่นนี้ก็จะเป็นการผิดต่อพี่เซิงเอ๋อร์
“เซ่าเฉิน รับปากข้า ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หาคนไปคุ้มครองเซิงเอ๋อร์แทนข้า” นี่เป็นวิธีเดียวที่นางสามารถตอบแทนพี่เซิงเอ๋อร์ได้แล้ว
“ได้ แต่ว่า…” มุมปากของซั่งกวนเซ่าเฉินยกขึ้นอย่างชั่วร้าย “ผู้ใดบอกว่าพรุ่งนี้จะทำให้ฉินเสียนถิงตายไม่ได้?”
แม้ว่านั่นจะเป็นน้องชายของเขา แต่น้องชายที่ต้องการชีวิตเขาหลายครั้ง เขาไม่มีความสนใจจะไว้ชีวิต
“ข้าจะให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย!”
ในตอนที่หนานกงอี้จือพบเห็นพลุสัญญาณและนำคนมานั้น ก็ถูกหลิ่วฉางอวี้ทำให้ตกใจไปอย่างสิ้นเชิงครั้งหนึ่ง เมื่อกลับไปถึงจวนองค์ชายรอง พวกเขาก็รีบหาเจ้าหน้าที่ชันสูตรมาชันสูตรศพทันที
“ดูท่าในวันที่ใต้เท้าหลิ่วออกจากวังหลวงก็ประสบเหตุร้ายแล้ว พวกเรานำข้อมูลนี้และหลักฐานทั้งหมดที่ได้มานี้ส่งไปยังเบื้องพระพักตร์ของฝ่าบาททั้งหมดในวันพรุ่งนี้ ฉินเสียนถิงเขาหนีไม่พ้นแล้ว!” หนานกงอี้จือกล่าวอย่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “ญาติผู้พี่ มู่เอ๋อร์ พรุ่งนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องมีการประมือที่ดุเดือดแน่ ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์สบตากับซั่งกวนเซ่าเฉินคราหนึ่ง พากันมองหน้าแล้วหัวเราะออกมา
“ย่อมแน่นอน!”
พรุ่งนี้ไม่เพียงหมิ่นกุ้ยเฟยจะไม่ได้รับการสถาปนาอย่างราบรื่น
พวกเขายังจะทุ่มเททุกสิ่งให้ฉินเสียนถิงได้ชดใช้ต่อสิ่งที่เขาได้กระทำไว้ด้วย