เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 405 เข้าเมืองหลวง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 405 เข้าเมืองหลวง
เล่มที่ 14 ตอนที่ 405 เข้าเมืองหลวง
“คุณหนูเจ้าคะ ได้ยินว่าหนึ่งชั่วยามที่แล้ว พระชายารองของไท่จื่อได้ถูกส่งเข้าไปในอารามชีแล้วเจ้าค่ะ แม้แต่ท่านอัครเสนาบดีก็ปาดน้ำตาไปส่งด้วยตนเอง คุณหนูผู้สูงศักดิ์ก็มีจุดจบเช่นนี้ได้ ล้วนถูกทำลายลงเพราะแผนการเล็กๆ พวกนั้นของนาง ก็ถือว่าน่าสงสาร” ซางจือรายงานข่าวที่ได้รับมา
เห็นท่าทางของนางที่ทั้งส่ายหัวทั้งถอนหายใจ หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “เพราะเป็นผู้กระทำกรรมเองจึงมิอาจรอดพ้น ถือได้ว่าตัวนางนั้นเหตุที่ต้องพบกับความเวทนาก็เพราะมีจุดที่น่าเกลียดชัง ผู้ใดให้นางทำเรื่องชั่วร้ายมากมายเช่นนั้น ก็สมควรแก่เวลาที่จะต้องถูกลงโทษแล้ว”
“เอ้อร์หวางจื่อเฟย [1] หนานกงซื่อจื่อขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ข้ารับใช้ที่อยู่นอกประตูมารายงาน
หลิงมู่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หงส์ทันที “รีบเชิญ”
ตอนนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยู่ที่จวน หนานกงอี้จือมาทำอะไรคนเดียว? หรือว่ามีร่องรอยของหลิ่วฉางอวี้แล้ว
“พรุ่งนี้ก็จะเป็นพิธีสถาปนาของหมิ่นกุ้ยเฟยแล้ว? เหตุใดเจ้าจึงไม่มีท่าทีกังวลแม้แต่น้อยเล่า ทั้งยังมีอารมณ์มานั่งดื่มน้ำชากินขนมอยู่ตรงนี้อีก?” หนานกงอี้จือที่เพิ่งเข้าประตูมาเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสบายอารมณ์ ก็จงใจกลอกตาใส่นางทีหนึ่ง
“สวรรค์จะให้ฝนตก เจ้าสาวจะเข้าพิธีวิวาห์ [2] หรือว่าข้ายังต้องคอยหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาด้วย? นี่ยังห่างจากพรุ่งนี้อีกหลายชั่วยามมิใช่หรือ อีกอย่าง ต่อให้ถึงพรุ่งนี้แล้ว จะสามารถแต่งตั้งได้อย่างราบรื่นหรือไม่ก็ยังไม่แน่ รีบอะไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ยักไหล่อย่างไร้อารมณ์
ที่จริงแล้วเป็นซั่งกวนเซ่าเฉินยืนกรานไม่ให้นางเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อีก เขาบอกว่า เรื่องนี้เขาจะจัดการแก้ไขด้วยตัวเอง บังคับให้นางอยู่ที่บ้าน
ทำไมซางจือถึงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ไม่ได้ไปอยู่ที่โรงหมอ ยังไม่ใช่เพราะเซ่าเฉินสั่งการให้คอยเฝ้าอยู่ข้างกายนางหรอ พูดให้ดีคอยหยอกล้อนาง ที่จริงในใจของนางรู้ดีว่านั่นเป็นการเฝ้านางไว้น่ะ
พรุ่งนี้จะเป็นวันดีของหมิ่นกุ้ยเฟย แต่เซ่าเฉินกังวลว่านางจะผลีผลามทำอะไรบางอย่างลงไป ดังนั้นจึงกักตัวนางไว้ในจวน แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมไม่อาจบอกให้คนอื่นฟังได้ นางยังต้องรักษาหน้าอยู่นะ
“เหอะ เจ้าช่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายวันมานี้นายน้อยเช่นข้ายุ่งจะแย่แล้ว” เห็นท่าทีไม่สนใจของนาง หนานกงอี้จือก็ยอมแพ้แล้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้เต็มบั้นท้าย กินขนมของนางแก้มตุ่ย ดื่มชาของนาง เพียงชั่วพริบตาก็ถึงก้นจาน
เห็นท่าทางการกินที่มูมมามเช่นนี้ของเขา หลิงมู่เอ๋อร็ก็สายหัวจุ๊ปากไม่หยุด “หนานกงซื่อจื่อ ดูท่าชีวิตความเป็นอยู่ของท่านในจวนหนิงกั๋วโหวจะไม่ค่อยดีสินะ นี่ปล่อยให้ท่านหิวได้อย่างไรกัน มิได้กินข้าวมาสามวันสามคืนหรือ?”
คำพูดนี้ทำให้หนานกงอี้จือติดคอเป็นครู่ใหญ่ไม่ได้ส่งเสียงออกมา หลิงมู่เอ๋อร์รีบส่งเสียงเรียกว่า “เร็ว รีบให้ห้องครัวเตรียมอาหารชั้นดีมา ใต้เท้าซื่อจื่อของพวกเราอยู่ที่บ้านได้รับความลำบาก เมื่อมาที่จวนของพวกเราย่อมมิอาจละเลยได้ จะต้องให้แขกกินให้อิ่มนะ”
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้า…” ทันทีที่อ้าปาก ขนมก็พ่นออกมาทันที หลิงมู่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นหลบ
“นี่ เจ้าพูดก็พูดสิ อย่าโจมตีคน!”
หนางกงอี้จือถูกท่าทางรังเกียจของนางทำให้ขำแล้ว แต่เมื่อเห็นบรรดาหญิงรับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็พากันหัวเราะตามไปด้วย ในเสี้ยววินาทีนั้น หนานกงอี้จือก็รู้สึกว่าตนได้ขายหน้าไปจนหมดสิ้นแล้ว
เขารีบกรอกน้ำลงไปคำหนึ่ง ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้กลับมาเรื่องงาน “พูดเรื่องจริงจังกับเจ้า เจ้าให้ข้าไปหาตัวหลิ่วฉางอวี้ แต่ก็ประหลาดแล้วจริงๆ ข้าหาจุดเข้าออกของเมืองหลวงทั้งหมดแล้ว กลับไม่มีร่องรอยของตาเฒ่านั่นแม้แต่น้อย แม้แต่เหล่าพี่น้องที่เฝ้าประตูเมืองก็บอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ข้าแทบจะพลิกแผ่นดินหาทั่วทั้งเมืองหลวงบนล่างแล้ว ก็ยังหาไม่เจอ เจ้าว่าคนตัวเป็นๆ หาไม่เจอ ศพก็ควรจะหาเจอกระมัง แต่แม้กระทั่งรองเท้าสักข้างก็ยังหาไม่พบ หรือว่าคนผู้นี้จะหายไปกลางอากาศได้จริงๆ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็จมสู่สภาวะใคร่ครวญทันที คิ้วของนางขมวดบางๆ สมองหมุนวนอย่างรวดเร็ว “ฉินเสียนถิงจะต้องมิให้พวกเราหาตัวหลิ่วฉางอวี้พบอย่างง่ายดายแน่ ส่วนเขาหลอกใช้เสร็จแล้ว ก็จะต้องถีบออกไปในเท้าเดียวแน่ ที่ประตูเมืองไม่มี ก็แสดงว่าเขาไม่ได้ออกจากเมืองหลวง”
“แต่ทั้งในและนอกเมืองหลวงพวกเราล้วนหาจนหมดแล้ว!” หนานกงอี้จือถอนหายใจอย่างรู้สึกพ่ายแพ้ทีหนึ่ง
“ไม่ดีแล้ว ใต้เท้าหลิ่วจะต้องประสบเภทภัยแล้วแน่ๆ!” หลิงมู่เอ๋อร์เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในก้นบึ้งของจิตใจ
ซั่งกวนเซ่าเฉินให้พวกเขาไปหาหลิ่วฉางอวี้ ก็เพียงเพราะต้องการพาเขาไปที่เบื้องพักตร์ของฝ่าบาทหลังจากจับตัวเขาได้ หากเขามีความลำบากใจที่พูดไม่ได้จริงๆ ก็จะช่วยล้างมลทินให้กับเขา แต่ยามนี้คนหาไม่พบ ความบริสุทธิ์ของเซ่าเฉินก็พิสูจน์ไม่ได้แล้ว
ส่วนซั่งกวนเซ่าเฉินในตอนนี้แม้จะออกมาจากคุกนักโทษประหารแล้ว แต่ไม่ว่าเดินไปที่ใดก็จะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ บนหัวตั้งแต่ต้นจนจบยังคงสวมหมวกกบฏไว้ หนึ่งวันไม่ได้ล้างมลทิล เขาก็จะไม่มีอิสระต่อไปอีกหนึ่งวัน เห็นว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่หมิ่นกุ้ยเฟยจะได้รับแต่งตั้งเป็นหวางโฮ่วแล้ว ทันทีที่หมิ่นกุ้ยเฟยนั่งลงบนตำแหน่งนั้น มีหวางโฮ่วแอบช่วยองค์ชายเจ็ดอย่างลับๆ หากพวกเขาต้องการจะตรวจสอบอีกครั้งก็ยากแล้ว
ส่วนนางก็ไม่ได้บอกคนอื่นว่า ฮ่องเต้ใช้หนีน้ำใจที่ติดนางอยู่ครั้งหนึ่งแลกการปล่อยตัวเซ่าเฉินออกมา แต่ฮ่องเต้ก็กำหนดเส้นตายให้นาง นั่นก็คือหากภายในหนึ่งเดือนยังไม่สามารถล้างมลทินได้ ก็จะตัดสินโทษประหารเซ่าเฉินทันที
“ในเมื่อนอกเมืองหลวงหาไม่เจอ เช่นนั้นพวกเราก็มุ่งเน้นการค้นหาในเมืองหลวง ฉินเสียนถิงไม่มีทางซ่อนคนที่มีชีวิตอยู่คนหนึ่งไว้โดยเปล่าประโยชน์แน่! เอาแบบนี้ ทั้งบริเวณภูเขา และแถวข้างแม่น้ำ เจ้าล้วนส่งไปหาสักรอบหนึ่ง” หลิงมู่เอ๋อร์สั่งการอย่างเคร่งเครียด “อี้จือ เรื่องนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“วางใจเถิด ข้าจะส่งคนไปค้นหาต่อ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายจะต้องพาตาเฒ่านั่นกลับมาได้แน่” หนานกงอี้จือกล่าว แต่มิได้มีท่าทีที่จะลุกขึ้นเลย
“เจ้ายังมีอีกเรื่องหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกสงสัย
ปกติเวลาที่เซ่าเฉินไม่อยู่ที่จวน หนานกงอี้จือไม่เคยรั้งอยู่นานมาก่อน ที่กล่าวกันว่าชายหญิงมีความแตกต่าง นางเองก็ไม่อยากจะไปยุ่งกับคำนินทา
“แน่นอน!” หนานกงอี้จือกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “แม้จะไม่ได้พาตัวหลิ่วฉางอวี้กลับมา แต่ข้าพาคนที่มีประโยชน์กลับมาด้วยสองคน เจ้ากับญาติผู้พี่วันหลังค่อยคิดดีๆ ว่าจะขอบคุณข้าอย่างไรเถอะ”
กล่าวจบ เขาก็ปรบมือกลางอากาศ
ได้ยินเสียงฝีเท้า หลิงมู่เอ๋อร์ก็หันศีรษะมองไปทันที ก็เห็นที่บริเวณหน้าประตูมีบุรุษเดินเข้ามาสองคน
“เหตุใดจึงเป็นพวกท่าน!” หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงค้างไปแล้ว ดวงตาที่งุนงงมองไปยังหนานกงอี้จือทันที
“เป็นอย่างไร? คิดไม่ถึงกระมัง?” ใบหน้าของหนานกงอี้จือเต็มไปด้วยความกระหยิ่มใจ “แม้จะหาตัวหลิ่วฉางอวี้ไม่พบ แต่พวกเขาสองคนยินดีเป็นพยาน เป็นพยานเรื่องหอวีรบุรุษก่อความปั่นป่วนในเมืองผิงเฉิง และก็ยินดียืนยันต่อฝ่าบาท เรื่องที่ปีนั้นองค์ชายเจ็ดเคยนำทัพปราบโจรในผิงเฉิงซึ่งเป็นที่ดินศักดินา แม้จะไม่อาจล้างมลทินทั้งหมดให้ญาติผู้พี่ได้ และก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังหอวีรบุรุษคือองค์ชายเจ็ด แต่อย่างน้อยก็สามารถหักล้างเรื่องที่องค์ชายเจ็ดไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหอวีรบุรุษ และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเจ้าเมืองผิงเฉิงหลิ่วฉางอวี้กำลังโกหก เชื่อว่าหลังได้ทรงทราบเรื่องทั้งหมดนี้ ฝ่าบาทจะทรงมีพระวินิจฉัย”
หลังคำพูดของหนานกงอวี้จือจบลง คนทั้งสองก็ทำความเคารพหลิงมู่เอ๋อร์ทันที “สงฉี่กวง ซ่งอี้เฉิงคารวะเอ้อร์หวางจื่อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึง เมื่อได้ฟังคำที่หนานกงอี้จือพูดพวกนี้ ในใจของนางก็ยินดีอย่างมาก!
“ดีเหลือเกิน พวกเจ้าทั้งสองยินดีจะช่วยพวกเราจริงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ตื่นเต้นจนประหม่าอยู่บ้าง
“ทูลพระชายา ผู้แซ่สงเต็มใจที่จะรับใช้จวนองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ” สงฉี่กวงยังคงเป็นเช่นที่เมืองผิงเฉิงในตอนนั้น ลุกขึ้นมาด้วยตนเองอีกครั้ง
“ไม่ผิด เดิมก็เป็นแค่การพูดไปตามความจริงเท่านั้น ผู้แซ่ซ่งก็ยินดีกราบทูลทุกสิ่งต่อฝ่าบาท คืนความบริสุทธิ์ให้องค์ชายรอง” ซ่งอี้เฉิงก็มองมาพร้อมกับความจริงใจเต็มใบหน้าเช่นกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ตื่นเต้นจนพยักหน้าไม่หยุด รีบให้ซางจือจัดการเรื่องที่นั่งและน้ำชา “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพวกท่านทั้งสองคนจึงได้มาที่เมืองหลวง แต่เมื่อพวกท่านทั้งสองเต็มใจจะช่วยพวกเราจริงๆ ข้าก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ขอบคุณมาก!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็ใช้น้ำชาแทนเหล้าคารวะขอบคุณคนทั้งสอง
คนทั้งสองตกใจจนรีบบ่ายเบี่ยง “พระชายาทรงเกรงใจไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ ทรงทำเช่นนี้จะทำให้พวกเราอายุสั้นแล้ว”
“ไม่ผิด หอวีรบุรุษสร้างก่อความวุ่นวายในเมืองผิงเฉิงมาหลายปี หากพวกเรามิใช่เพราะไร้หนทาง มิเช่นนั้นก็อยากจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซากไปนานแล้ว ยามนี้มีโอกาสแล้ว ย่อมจะต้องกล่าวไปตามข้อเท็จจริง” ซ่งอี้เหิงกล่าว
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ยินดีเป็นอย่างมาก มีคำให้การเป็นพยานของพวกเขาฮ่องเต้ก็จะได้รู้ว่าองค์ชายเจ็ดกำลังโกหก ส่วนเรื่องที่ทำไมหลิ่วฉางอวี้ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าเมืองผิงเฉิงกลับโกหกว่าเมืองผิงเฉิงไม่มีหอวีรบุรุษนั้น แค่คิดอย่างละเอียดก็จะเดาได้ว่าเป็นเพราะถูกคนบงการ แบบนั้นครั้งนี้องค์ชายเจ็ดก็หนีไม่รอดแล้ว
“ขอบคุณยิ่งนัก!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวขอบคุณอีกครั้ง “แต่ว่า การให้ปากคำเป็นพยานต่อฝ่าบาทนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก พวกท่านทั้งสองได้เตรียมพร้อมจริงๆ แล้วหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากเสียสละผู้บริสุทธิ์อีกแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องถึงสองคนอีก
ใครจะรู้ว่าสงฉี่กวงจะตบอกรับรองว่า “เอ้อร์หวางจื่อเฟยโปรดทรงวางพระทัย พวกเราทั้งสองต่างมาด้วยความเต็มใจ จะไม่มีทางถอยกลางคันเด็ดขาด และไม่มีทางเป็นเช่นใต้เท้าหลิ่วผู้นั้นที่สุดท้ายเปลี่ยนคำพูด ใส่ร้ายองค์ชายรอง”
“มิผิด ตระกูลซ่งของข้าประกอบวิชาแพทย์มาหลายชั่วอายุคน ก็เพื่อจะช่วยคนจากการบาดเจ็บล้มตาย ผดุงความยุติธรรม หลังจากเรื่องที่องค์ชายรองถูกคนใส่ร้ายถูกส่งกลับไปถึงเมืองผิงเฉิง พวกเราก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เอ้อร์หวางจื่อเฟยทรงวางพระทัย แม้พวกเราจะช่วยองค์ชายรองในเรื่องใหญ่ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถยืนยันกับฝ่าบาทได้ว่าท่านเจ้าเมืองกำลังกล่าวเท็จ จะต้องล้างมลทินคืนความบริสุทธิ์ให้องค์ชายรองได้แน่!” ซ่งอี้เฉิงก็แสดงออกอย่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากเช่นกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณอย่างไรดีแล้ว
“ขออภัยที่ข้ากล่าวตามตรง ตระกูลสงเข้าเมืองหลวงได้เพื่อเกลือ เช่นนั้นสำหรับท่าน เป็นเพราะสิ่งใดกัน?” สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์มองไปยังซ่งอี้เฉิง
ยังจำได้ว่าตอนนั้นที่ผิงเฉิง เขาท้าทายทักษะทางการแพทย์ของนางอย่างมาก ยังจะแข่งกับนางรอบหนึ่งด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นสงฉี่กวงถูกพิษ ทำให้เขารู้สึกละอายใจที่ความสามารถด้อยกว่าผู้อื่น เกรงว่าคนคนนี้คงยังดูถูกนางที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
“กล่าวไปแล้วก็ละอายใจนัก” ถูกพูดถึงเรื่องขายหน้า ซ่งอี้เฉิงลูบท้ายทอยด้วยความเขินอาย “เอ้อร์หวางจื่อเฟย เป็นข้าผิดไปแล้ว ผู้แซ่ซ่งไม่ควรดูถูกอิสตรี แต่ผู้แซ่ซ่งเมื่อพนันแล้วก็น้อมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ ทักษะการแพทย์ของข้าใช้ไม่ได้ก็คือใช้ไม่ได้ ข้ายอมรับ ดังนั้นครั้งนี้ที่ข้ามาเมืองหลวงก็เพื่อจะมาขอขมาต่อท่าน ”
กล่าวจบ มือทั้งสองของซ่งอี้เฉิงก็ประสานคำนับ ก้มคารวะนางอย่างต่ำ
หลิงมู่เอ๋อร์รีบประคองเขาขึ้นมา แต่รอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ท่านเป็นคนที่ทระนงตนเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นวันนั้นก็คงไม่ส่งสารท้าประชันต่อข้า แต่หากข้ากล่าวไม่ผิดแล้วละก็ ท่านไม่มีทางก้มหัวให้ไม่ว่าผู้ใดโดยง่ายแน่ กล่าวเถอะ ท่านยังมีเป้าหมายใดอีก?”
ประหลาดใจอย่างยิ่งที่นางถึงกับมองความคิดในใจของตนออก แต่คิดไปคิดมาในเมื่อถูกมองออกแล้วก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องปิดบังอีก
เขาพลันคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ผู้แซ่ซ่งนับถือทักษะทางการแพทย์ของพระชายา ปรารถนาที่จะกราบพระชายาเป็นอาจารย์ ยังขอให้เอ้อร์หวางจื่อเฟยโปรดให้ได้สมหวังด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับการคุกเข่าลงอย่างกะทันหันของเขานั้น ทำเอาหลิงมู่เอ๋อร์ตกใจแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ซางจือที่อยู่ด้านหลังของนางก็กระโดดออกมาทันที “เอ๊ะท่านผู้นี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน บุรุษตัวโตผู้หนึ่งเหตุใดกล่าวว่าจะคุกเข่าก็คุกเข่าแล้ว ท่านอาจารย์ของข้ายังมิได้กล่าวเลยว่าจะรับลูกศิษย์ ท่านลุกขึ้นมานะ”
ซางจือไม่เรียกคุณหนูแต่แก้คำพูดเป็นอาจารย์ ก็เพื่อให้ซ่งอี้เฉิงรู้ว่าอาจารย์ของนางนั้นมีลูกศิษย์แล้ว
ใครจะรู้ว่าซ่งอี้เฉิงไม่คิดจะยอมแพ้
เชิงอรรถ
[1] เอ้อร์หวางจื่อเฟย คือ พระชายาเอกแห่งองค์ชายรอง
[2] สวรรค์จะให้ฝนตก เจ้าสาวจะเข้าพิธีวิวาห์ เป็นสำนวนว่าเรื่องที่จะเกิดก็ต้องเกิด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเพราะความต้องการของมนุษย์ได้ เหมือนฝนจะตกก็ต้องตก