เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 400 ความอับอาย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 400 ความอับอาย
เล่มที่ 14 ตอนที่ 400 ความอับอาย
“ท่านพี่!” เห็นอามู่เต๋อปรากฏตัว มั่วจวินเหยาก็รีบโผเข้าไป
ทางด้านหลัง ซูเช่อที่มองความสงสัยของหลิงมู่เอ๋อร์ออกจึงกล่าวอธิบายขึ้นมา “ไม่รู้ว่าอามู่เต๋อเดินทางผ่านเส้นทางใดกลับไปที่แคว้นซีอวี้ และยังไปพูดอธิบายโน้มน้าวกับกษัตริย์แคว้นซีอวี้ด้วยตัวเอง ว่าผู้ที่สร้างความวุ่นวายในเมืองหลวงหาใช่องค์ชายรองของแคว้นซีอวี้ ฝ่าบาทไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงยกเลิกประกาศจับในช่วงที่พวกเจ้ามีปัญหาอยู่ เขาอ้างว่ามาเยี่ยมน้องสาวจึงมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง ครั้งนี้มิใช่ในฐานะทูตแต่เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเมืองหลวง”
“เหอะ!” ได้ยินคำว่า ‘แขกผู้ทรงเกียรติ’ หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงแค่นหัวเราะออกมา มองอามู่เต๋ออีกคราก็ยังคงสวมหน้ากากครึ่งซีกอันแสนน่าเกลียดไว้ เหมือนคนทั้งหมดของเขาพาลให้คนรู้สึกรังเกียจ
“แม้ความน่าเกลียดจะไม่ใช่ความผิดเจ้า แต่การออกมาทำให้คนตกใจกลัวย่อมเป็นความผิดของเจ้า ดูท่าแล้วคนบางคนคงไม่เข้าใจประโยคนี้อย่างทะลุปรุโปร่งมากนัก คิดว่าอีกไม่นานคงมีคนสอนความหมายอันลึกซึ้งของประโยคนี้ให้เขา!” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะดึงแขนซั่งกวนเซ่าเฉินเดินอ้อมพวกเขาเข้าไปในตำหนักไท่จื่อ
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้า…” มั่วจวินเหยาหลังจากเพิ่งตระหนักได้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ด่าประจานพี่ชายของนาง นางก็เดือดดาลอย่างถึงที่สุดพุ่งตัวไปหมายจะไปโต้เถียงกับนาง แต่กลับถูกซูเช่อจับข้อมือไว้ก่อน
“วันนี้เจ้าในฐานะเสียนหวางเฟยต้องไปแสดงความยินดีที่องค์ชายน้อยอายุครบรอบหนึ่งปีก่อน อย่าทำให้ข้าเสียหน้า!” กล่าวจบก็ไม่ให้โอกาสพวกเขาพี่ชายน้องสาวได้ลำลึกความหลัง เขาดึงนางออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้อื่นไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงของอามู่เต๋อไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้เช่นเดียวกัน คนผู้นี้เหตุใดจึงยืนกรานจะอยู่ที่เมืองหลวงไม่ยอมจากไปอย่างหน้าไม่อาย เกรงว่าจะต้องซ่อนแผนร้ายกลับกลอกอันใดไว้อีกเป็นแน่!
วันนี้หลังตำหนักไท่จื่อเต็มไปด้วยความรื่นเริง ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยยืนอยู่ที่ตำหนักหน้าเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อที่มาด้วยตัวเอง ทุกคนที่ส่งของขวัญมาล้วนได้รับของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ กลับไปทั้งดูเป็นกระแสนิยมและมีความหมาย
อี้กุ้ยเฟยอุ้มองค์ชายน้อยไว้ด้วยตัวเองโดยที่บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่
“ขออวยพรให้องค์ชายน้อยอายุมั่นขวัญยืนมีชีวิตที่ปราศจากความทุกข์” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางเปิดกล่องสีสันสวยงามในมือออก “นี่คือแม่กุญแจอายุยืน [1] ที่ข้าออกแบบและขึ้นรูปเอง เป็นน้ำใจเล็กน้อยขอองค์ชายน้อยอย่าได้รังเกียจ” กล่าวจบนางก็สวมให้เด็กด้วยตัวเอง
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองนับว่ามีความตั้งใจทีเดียว” อี้กุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง แม้เหล่าแขกจะล้วนส่งแม่กุญแจอายุยืนมาไม่น้อย แต่มองอย่างไรก็ไม่งดงามเท่าอันที่หลิงมู่เอ๋อร์ส่งให้
“เร็วเข้า รีบเชิญองค์ชายรองและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองไปนั่งเร็ว อีกเดี๋ยวงานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว” อี้กุ้ยเฟยสั่งบ่าวข้างกาย
“เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องดูแลพวกเราเพคะ วันนี้มีแขกเหรื่อมากมายย่อมต้องยุ่งมากเป็นแน่ ขอท่านโปรดระวังสุขภาพด้วยเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวก่อนจับมือซั่งกวนเซ่าเฉินเดินเข้าไปข้างใน
เป็นไปดังคาด ไม่นานทางด้านหลังไม่ไกลก็มีเสียงดังอื้ออึงขึ้นมา
“อ๊า! เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงอัปลักษณ์เช่นนี้ อย่าได้มาทำให้องค์ชายน้อยตกใจกลัวเชียว!”
“เหตุใดจึงไม่สวมหน้ากากให้ดีจนมันหลุดลงมา เจ้าจงใจใช่หรือไม่?”
เสียงร้องแหลมสูงดังเสียดฟ้า หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่าทุกคนล้วนมุ่งเป้าไปที่อามู่เต๋อ
แต่น่าเสียดายที่คนที่เป็นคู่กรณีซึ่งถูกด่าประจานกลับไม่เห็นคำพูดเหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ทว่ากลับจ้องมองการวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคน และก้าวเดินเข้าไปข้างในก่อนจะนั่งลงข้างหลิงมู่เอ๋อร์
“ไม่เจอกันนานทีเดียวหลิงมู่เอ๋อร์ ไม่รู้ว่าหลิงจื่ออวี้ช่วงนี้สบายดีหรือไม่?” น้ำเสียงชั่วร้ายของอามู่เต๋อดังขึ้นข้างกาย
หากเขาไม่ยกเรื่องนี้มาพูดก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาหลิงมู่เอ๋อร์ก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
นางกำลังจะลุกขึ้นมาสั่งสอนเขา แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินจับข้อมือของนางไว้ได้ทันเวลาพลางส่ายศีรษะให้นาง
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจโดยพลัน วันนี้เป็นงานฉลองครบรอบอายุหนึ่งปีขององค์ชายน้อย นางจึงไม่อาจหุนหันพลันแล่นได้ หากเป็นฝ่ายเริ่มสร้างเรื่องเองมันย่อมเป็นความผิดของนาง
“จื่ออวี้สบายดีเป็นอย่างยิ่งไม่สมกับที่เจ้าปรารถนา ผิดหวังมากหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์แค่นเสียงเย็น ในแววตามีไอสังหารเข้มข้น “อามู่เต๋อเจ้าทำร้ายครอบครัวข้าครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าให้ข้าได้มีโอกาสเล่าไม่เช่นนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นอันใด ไม่ใช่ว่าเจ้าทนมองข้าไม่ได้แต่ก็ฆ่าข้าไม่ได้หรือ ฮ่าๆๆ!” อามู่เต๋อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เดิมทีหน้าตาของเขาก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยามที่หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหันก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิโดยรอบเย็นยะเยือกไปสามส่วน แม้แต่แขกที่นั่งข้างเขายังล้วนหลบเลี่ยงออกไปไกลอย่างรู้สึกได้
แต่เขากลับมีท่าทีไม่ยี่หระ
หลิงมู่เอ๋อร์มีโทสะ ถึงจะเคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ก็ไม่เคยพบคนที่ไร้ยางอายถึงเพียงนี้ ทว่าความไร้ยางอายของเขาก็ทำให้นางจนปัญญา
นางรับรองได้เลยว่าหากวันนี้ไม่ใช่วันครบรอบอายุหนึ่งปีขององค์ชายน้อย นางจะต้องโต้เถียงกับอามู่เต๋อโดยไม่แบ่งแยกสูงต่ำอย่างไม่ยอมแพ้เป็นแน่
มองออกว่าหลิงมู่เอ๋อร์กำลังข่มกลั้นโทสะ สายตาของซูเช่อก็พุ่งเข้ามาอย่างเย็นชา “ใครบางคนย่อมสามารถหัวเราะได้ แต่หากเสียงหัวเราะนี้ทำให้องค์ชายน้อยตกใจกลัวย่อมไม่เป็นการดี เกรงว่าอีกเดี๋ยวคงต้องถูกคนเชิญให้ออกไปจนยิ่งอับอายเป็นแน่”
ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าซูเช่อจะกล้าช่วยเหลือหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเปิดเผยเช่นนี้
ในใจอามู่เต๋อรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้ไปที่ใบหน้าของเขากัดฟันตำหนิอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “เสียนหวาง เจ้าลืมสถานะของตัวเองไปแล้วหรือ เจ้าเป็นสามีของน้องสาวข้าแต่กลับไปช่วยเหลือสตรีของผู้อื่นอยู่หลายครั้งหลายครา หรือเสียนหวางคิดว่าจะมารังแกตระกูลอามู่ของพวกเราได้?”
“เปิ่นหวางแค่พูดไปตามเนื้อผ้า ในใจของเปิ่นหวางมีเพียงความชอบธรรมหาได้มีความรู้สึกอันใด หรือไม่จริงเล่า?” ซูเช่อไม่เห็นอามู่เต๋ออยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
เขาเชื่อว่าอามู่เต๋อรู้ว่าที่เขาตบแต่งกับมั่วจวินเหยาก็เพื่อหลิงมู่เอ๋อร์ แต่เพราะเหตุใดเขาต้องยืนกรานจะให้มั่วจวินเหยาตบแต่งเข้ามาก็ไม่อาจทราบได้
หากเขาเดาไม่ผิดจะต้องมีแรงจูงใจที่ไม่บริสุทธิ์เป็นแน่
“เจ้า…” อามู่เต๋อโกรธเกรี้ยว คาดไม่ถึงว่าซูเช่อจะจงใจหาเรื่องเขาเช่นนี้
วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองที่องค์ชายน้อยอายุครบหนึ่งปี เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เกือบทั้งหมดในราชสำนักต่างมารวมตัวกัน เขาในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติของแคว้นซีอวี้ ทั้งยังเพราะสวมหน้ากากจึงเป็นเป้าสนใจของผู้คนมานานแล้ว ถูกซูเช่อทำให้อับอายถึงเพียงนี้เขาก็ยิ่งเสียหน้า ในภายภาคหน้ายังจะให้เขาไปเดินในวังหลวงได้อย่างไร?
ซูเช่อผู้นี้ดูท่าหากวันนี้ไม่สั่งสอนเสียหน่อย เขาคงจะคิดว่าสามารถมารังแกตระกูลอามู่ของพวกเขาได้จริงๆ!
“เสียนหวางเป็นผู้ที่มีไมตรีจิตและคุณธรรมเรื่องนี้ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง ยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ในคราแรกที่แคว้นเทียนเฉาและแคว้นซีอวี้ยังไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เสียนหวางและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเคยตกอยู่ในเงื้อมมือข้าจนกลายเป็นเชลย เสียนหวางในยามนั้นเพื่อความปลอดภัยของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองยังเคยคุกเข่าร้องเหมือนสุนัขอยู่ตรงหน้าข้าเพื่อให้ข้าไว้ชีวิต ไม่ทราบว่าเสียนหวางยังจำได้หรือไม่?” อามู่เต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย กล่าวจบก็ยังตะโกนเสียงดังเสียดฟ้า
ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้โอกาสในวันนี้พูดถึงเรื่องน่าอัปยศในวันนั้นออกมา
ซูเช่อไม่เพียงแต่เป็นเสียนหวางแต่ยังเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แม้เขาจะล้วนต้อนรับทุกคนด้วยรอยยิ้มแต่เขาก็ยังมีบุคลิกทะนงตน จึงเป็นสามีที่ทุกคนปรารถนาจะตบแต่งด้วย
แต่ผู้ที่ราวกับเทพเซียนผู้นี้เคยคุกเข่าให้ผู้อื่นทั้งยังร้องเหมือนสุนัขจริงหรือ?
รอบบริเวณเกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้นโดยพลัน
“คาดไม่ถึงว่าเสียนหวางผู้หยิ่งทะนงจะเคยทำเรื่องเช่นนี้?”
“เสียนหวางเคยร้องเหมือนสุนัข หากเรื่องนี้แพร่ออกไปนามวีรบุรุษของเสียนหวางไหนเลยจะยังเหลืออยู่?”
“ใช่ๆ เจิ้งเฟยขององค์ชายรองมีวาสนามากทีเดียว ไม่เพียงแต่มีวาสนาได้ตบแต่งกับองค์ชายรองผู้สง่างาม แต่ยังได้รับความโปรดปรานจากเสียนหวางผู้งดงามทั้งยังผ่าเผยด้วย ไม่รู้จริงๆ ว่าชาติก่อนสั่งสมวาสนามากี่มากน้อย”
ได้ยินคนรอบข้างเจ้าพูดหนึ่งคำข้าพูดหนึ่งประโยค ซูเช่อและหลิงมู่เอ๋อร์ก็มีสีหน้าซีดเผือดขึ้นมาพร้อมกัน และซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ด้านข้างก็มีท่าทางไม่พอใจเช่นกัน
ซูเช่อเคยทำเรื่องเช่นนี้เพื่อมู่เอ๋อร์จริงหรือ? โดยที่เขาไม่รู้อันใดเลย?
“อามู่เต๋อ” หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ดัง ‘ปึง’ มองสีหน้าเขียวคล้ำเพราะความโกรธของซูเช่ออีกครา นางก็เดือดดาลขึ้นมา “เจ้าอย่าได้มาพูดจาไร้สาระที่นี่!”
“พูดจาไร้สาระหรือไม่ในใจเสียนหวางย่อมรู้ดี” อามู่เต๋อไม่ได้โกรธแต่กลับยังเลิกคิ้วขึ้น มองนางด้วยท่าทีว่าเจ้าจะสามารถทำอันใดข้าได้
“เสียนหวางผู้ผ่าเผยจะเคยคุกเข่าให้ศัตรูได้อย่างไร ดูท่าองค์ชายรองแคว้นซีอวี้จะถูกทำลายศักดิ์ศรีจนพูดจาเพ้อเจ้อแล้ว ให้คนมาเชิญเขาออกไป!”
แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะรู้สึกหึงที่ซูเช่อเคยช่วยเหลือหลิงมู่เอ๋อร์เช่นนี้ แต่เขาก็รู้ว่าหากไม่อุดปากอามู่เต๋อไปเสียวันนี้เรื่องคงไม่จบเป็นแน่
“ซั่งกวนเซ่าเฉินเจ้ามีคุณสมบัติอันใดมาไล่ข้า? ข้าได้รับจดหมายเชิญจากตำหนักไท่จื่อจึงมาอย่างผ่าเผย ทำไม สนมรักของตัวเองถูกชายอื่นสละตัวเองช่วยไว้จึงรู้สึกไม่พอใจหรือ? แต่อย่าลืมว่าตัวเจ้าเองก็ถูกกล่าวโทษว่ามีแผนคิดก่อกบฏ เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะมากล่าวเช่นนี้กับข้า!”
อามู่เต๋อชี้ไปที่ใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่เพียงแต่ยุแยงความสัมพันธ์ของเขาและหลิงมู่เอ๋อร์ ทว่ายังชี้ถึงความผิดของเขาอย่างไร้ปรานีอีกด้วย
ไท่จื่อที่ต้อนรับแขกเหรื่อเสร็จเพิ่งเข้ามาก็ได้ยินคำพูดนี้เข้าจึงสาวเท้ายาวๆ เดินไปตรงหน้าเขาโดยพลัน “ที่แท้ก็เป็นองค์ชายรองแคว้นซีอวี้ผู้มีเกียรติมาเยี่ยมเยือน แต่เหตุใดเปิ่นไท่จื่อจึงจำไม่ได้เลยว่าข้าส่งจดหมายเชิญไปให้เจ้าด้วย ให้คนเข้ามาไล่ผู้ที่ไม่มีจดหมายเชิญออกไป!”
ไท่จื่อออกคำสั่งคำเดียวองครักษ์ก็พุ่งเข้ามาไล่คนโดยพลัน
ยามที่อามู่เต๋อถูกองครักษ์สองคนจับตัวทั้งซ้ายขวา เขาก็ขัดขืนอย่างสุดกำลัง “พวกเจ้าจะทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของแคว้นเทียนเฉา พวกเจ้า…”
“แขกผู้ทรงเกียรติ?” ไท่จื่อยิ้มเยาะ “วันนี้เป็นวันฉลองอายุครบหนึ่งปีขององค์ชายน้อยหากไม่มีจดหมายเชิญย่อมไม่อาจเข้ามาได้ แม้เปิ่นไท่จื่อจะไม่รู้ว่าเจ้าแอบปะปนเข้ามาได้อย่างไร แต่หากใบหน้าของเจ้าทำให้โอรสของข้าตกใจกลัวเจ้าจะรับผิดชอบได้หรือ? พาตัวออกไป!”
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรู้สึกว่าไท่จื่อมีอำนาจเท่ายามนี้มาก่อน
เห็นเขาลงโทษคนแคว้นซีอวี้อย่างไม่นึกเสียดายเพราะต้องการช่วยพวกเขา หลิงมู่เอ๋อร์ก็หยักหน้าให้เขาอย่างรู้สึกขอบคุณ
มั่วจวินเหยาจะทนให้ผู้อื่นมารังแกพี่ชายของนางได้อย่างไร นางลุกขึ้นกำลังจะพุ่งเข้าไปตะคอกใส่ไท่จื่ออย่างเดือดดาล แต่กลับถูกซูเช่อบังคับกดลงบนเก้าอี้ “หุบปาก! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกไล่ออกไปเหมือนเขา”
มั่วจวินเหยาเปิดปากอยากจะพูดอันใดแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเงียบปาก มองพี่ชายที่กำลังตะโกนเสียงดังในขณะที่ถูกพาตัวออกไปจากตำหนักไท่จื่อ
เมื่อครู่มีละครปาหี่เช่นนี้รอบด้านจึงมีเสียงอื้ออึงพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ทุกที่ ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยสบสายตากันก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนโดยพลัน
ไม่นานสายตาทั้งหมดก็ถูกดึงดูดโดยองค์ชายน้อยโดยพลัน และไม่มีผู้ใดกล้ายกเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาพูดแม้เพียงครึ่งประโยค
“ท่านโกรธหรือ?” สายตาเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินดื่มเหล้าแก้กลุ้มลงไปแก้วแล้วแก้วเล่า หลิงมู่เอ๋อร์ก็ดึงแขนเสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง
มือที่ถือแก้วเหล้าของซั่งกวนเซ่าเฉินชะงักไป มองซูเช่อที่อยู่ฝั่งหนึ่งด้วยหางตา เขาก็กำลังดื่มเหล้าจนเมาเช่นกัน แต่เพียงแค่เห็นสายตาเย็นยะเยือกและท่าทีไม่สบอารมณ์ของเขา ก็ราวกับได้ยินเสียงของอามู่เต๋อดังขึ้นมา
ซูเช่อเพื่อช่วยมู่เอ๋อร์ถึงกับเคยยอมคุกเข่า
ซูเช่อ ชายผู้หยิ่งทะนงเช่นนี้ยอมคุกเข่าให้ผู้อื่น
ดื่มเหล้าแก้ความกลัดกลุ้มลงไปอีกแก้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินก็วางแก้วเหล้าลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ยื่นแขนยาวมาดึงหลิงมู่เอ๋อร์เข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างวางอำนาจ ราวกับต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าคนในอ้อมกอดเป็นสตรีที่ราวกับเป็นชีวิตของเขา!
“เซ่าเฉิน…” หลิงมู่เอ๋อร์แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นสีหน้ามืดครึ้มเช่นนี้ของเขามาก่อนจึงตกใจไปชั่วขณะ
“นับจากวันนี้ไปอย่าได้ออกห่างจากสายตาข้าแม้เพียงครึ่งก้าว หากตกอยู่ในอันตรายมีเพียงข้าที่สามารถมาช่วยเจ้าได้! เข้าใจหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] แม่กุญแจอายุยืน หมายถึง ของมงคลลักษณะคล้ายแม่กุญแจโดยจะเอาไว้คล้องที่คอของเด็กทารกเพื่ออวยพรให้มีอายุยืนยาว