เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 396 พัวพัน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 396 พัวพัน
เล่มที่ 14 ตอนที่ 396 พัวพัน
“ผีอยู่ที่ไหนหรือ เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเลย ไม่ใช่ว่ามีผีอยู่แค่ในใจเหนียงเหนียงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางหยิบระเบิดควันออกมาจากในมิติ ในมุมที่หมิ่นกุ้ยเฟยไม่ทันสังเกต นางก็ออกแรงเขวี้ยงระเบิดควันลงพื้นจนมีควันสีขาวปรากฏออกมาช้าๆ
หมิ่นกุ้ยเฟยที่ได้ยินเสียงยามที่เงยหน้าขึ้นมาก็หาได้พูดจาร้ายกาจอีก เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ในควัน ไม่ ดูเหมือนจะลอยอยู่ในควันเสียมากกว่า
หรือนี่จะเป็นปีศาจร้ายในเรื่องเล่า?
นางรู้สึกเพียงว่าหน้ามืดก่อนคนจะเป็นลมไป
“เหนียงเหนียง เหนียงเหนียง…”
หลิงมู่เอ๋อร์ลองเรียกอยู่หลายคราจนยืนยันได้ว่าหมิ่นกุ้ยเฟยตกใจกลัวจนสลบไปแล้วจริงๆ นางก็ยิ้มเย็นก่อนจะเปิดประตูห้องขังและเอาอีกฝ่ายโยนออกไป
“คิดจะสู้กับข้าหรือ เจ้ายังด้อยฝีมือเกินไป!”
หลังโยนนางออกไปข้างนอกอย่างไร้ปรานีก็มองซั่งกวนเซ่าเฉินที่มีรอยยิ้มจางๆ อยู่ตลอด นางเลิกคิ้วอย่างภูมิใจ “เป็นอย่างไร้บ้าง เห็นถึงความร้ายกาจของข้าหรือไม่?”
“เจ้าเด็กดื้อคนนี้นี่ ไม่กลัวนางเอาความลับของเจ้าไปพูดต่อหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินบีบแก้มนางอย่างเอ็นดู แต่ภายในแววตากลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“อย่างไรเสียฉินเสียนถิงก็รู้ความลับของข้าอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ค่อยสนใจมารดามากเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้หากข้าไม่สั่งสอนนางเช่นนี้ ผู้ที่เสียเปรียบก็จะเป็นข้าเอง”
หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองเขาแต่ก็รีบกลับเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว “พวกเราไม่อาจให้หมิ่นกุ้ยเฟยกลายเป็นหวางโฮ่วได้ หากเป็นเช่นนั้นฉินเสียนถิงก็จะได้ตำแหน่งนั้นไปจริงๆ มีเพียงแต่ต้องรีบหาหลักฐานมาชี้ตัวฉินเสียนถิงให้ได้โดยเร็วจึงจะสามารถพลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้ เซ่าเฉินเวลาของพวกเรามีไม่มากแล้ว แต่ท่านวางใจเถอะข้าจะต้องหาหลักฐานมาได้โดยเร็วแน่นอน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับยิ้มอ่อนราวกับว่าแม้ตัวจะอยู่ในคุกก็ไม่เป็นอันใด “มู่เอ๋อร์ของข้าเก่งกาจมาโดยตลอด ข้าเชื่อเจ้าแต่ฉินเสียนถิงมักลงมืออย่างโหดเหี้ยม เจ้ากับอี้จือต้องระวังตัวให้มาก”
พูดถึงหนานกงอี้จือ หลิงมู่เอ๋อร์ที่เพิ่งนึกได้ก็ตบหน้าผาก “หมิ่นกุ้ยเฟยบอกว่าตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอดเกรงว่าย่อมไม่ใช่คำพูดเรื่อยเปื่อย ข้าจะออกไปดูเดี๋ยวนี้ เซ่าเฉินท่านรอข้าก่อนนะ”
“ได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบรับคำหนึ่งอย่างผ่อนคลาย ก่อนเขาจะกลับเข้าไปในคุกอีกคราและขังตัวเองเอาไว้
ส่วนหมิ่นกุ้ยเฟยที่ฟื้นขึ้นมาในภายหลังไม่ว่านางจะถามอันใดเขาก็ตอบเพียงสามพยางค์ว่า ‘ข้าไม่รู้’
นางไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่เป็นความจริงหรือเป็นความฝัน ยิ่งไปกว่านั้นหมิ่นกุ้ยเฟยยังถูกทำให้กลัวจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงมิได้สนใจจะสร้างความลำบากให้เขาอีก
นอกวังหลวง ภายในรถม้า
หนานกงอี้จือฟื้นขึ้นมาด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อน หลังจากเห็นสภาพแวดล้อมรอบด้านรวมถึงหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว “เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
“ข้าต่างหากที่อยากถามท่าน มิใช่ว่ามีวรยุทธ์สูงส่งแกร่งกล้าหรือ เหตุใดแค่หญิงเฒ่าคนเดียวก็ยังรับมือไม่ได้เล่า?” นึกถึงเมื่อครู่ที่ออกมาจากคุกคุมขังนักโทษประหารแล้วเห็นท่าทางจนมุมของหนานกงอี้จือ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วแน่น
สงครามใหญ่ระหว่างเขากับองค์ชายเจ็ดใกล้จะปะทุขึ้นแล้ว ยามนี้ฉินเสียนถิงและหมิ่นกุ้ยเฟยกำลังร่วมมือกันจัดการพวกเขา เวลาของพวกเขามีไม่มากแล้วจริงๆ
หากหมิ่นกุ้ยเฟยกลายเป็นหวางโฮ่วจริงๆ อีกนานเพียงใดกันฉินเสียนถิงผู้นั้นจึงจะได้นั่งตำแหน่งไท่จื่อ? หากเขาได้นั่งตำแหน่งไท่จื่อจริง พวกนางและซูเช่อรวมถึงหนานกงอี้จือก็ล้วนไม่อาจใช้ชีวิตได้ง่ายๆ แล้ว
“ข้า…” หนานกงอี้จือนึกถึงเรื่องที่พบเจอเมื่อครู่ก็โกรธเกรี้ยว “หมิ่นกุ้ยเฟยผู้นั้นคาดไม่ถึงว่านางจะส่งคนมาจับตาดูที่คุกคุมขังนักโทษประหารอยู่ก่อนแล้ว นางคาดเดาไว้แล้วว่าพวกเราจะปรากฏตัวจึงจงใจพายอดฝีมือมาด้วยห้าคน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของข้านับว่าไม่เลวเกรงว่าที่เจ้าเห็นคงมีเพียงร่างไร้วิญญาณแล้ว เหอะ กล้าหมายจะสังหารเปิ่นซื่อจื่อ คอยดูเถอะข้าจะไม่ปล่อยนางไว้แน่!”
กล่าวจบเพราะไม่ระวังจึงกระทบถึงบาดแผล หนานกงอี้จือจึงสูดหายใจเข้าลึก
หลิงมู่เอ๋อร์รีบโยนยาทาแผลไปให้เขาขวดหนึ่ง “หนึ่งวันใช้สองครั้ง เป็นยาทาภายนอก”
หนานกงอี้จือจับขวดไว้แน่นพลางเบ้ปากอย่างไม่พอใจ “นี่ ถึงอย่างไรข้าก็ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้เพื่อญาติผู้พี่ เจ้ายังไม่ยอมพูดอย่างอ่อนโยนกับข้าเสียหน่อย คนพวกนี้กล้าลงมือกับข้าอย่างโหดเหี้ยม เกรงว่าญาติผู้พี่ซึ่งอยู่ที่นั่นคงไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก เมื่อครู่เจ้าก็หยาบคายเช่นนี้กับญาติผู้พี่เหมือนกันหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ ก็นั่นสามีของข้า แล้วท่านเป็นผู้ใดสำหรับข้าเล่า?” เห็นเขายังมีอารมณ์มาเถียงเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็หยอกล้อเขา เกรงว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนศึกครั้งใหญ่ที่พวกเขาจะได้ผ่อนคลายเช่นนี้
“หลิง-มู่-เอ๋อร์!” หนานกงอี้จือกัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว ยกกำปั้นขึ้นมาอยากจะตีลงไปแต่แท้จริงก็แค่คิดเท่านั้น
หลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่เปลือกตาก็ยังไม่ยกขึ้น “เซ่าเฉินคาดเดาว่าฉินเสียนถิงอาจจะจัดการหลิ่วฉางอวี้ เขาให้พวกเรารีบไปหาหลิ่วฉางอวี้โดยเร็ว เรื่องนี้ขอฝากท่านด้วยหวังว่าจะยังไม่สายเกินไป”
เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนาง หนานกงอี้จือก็กระดากอายที่จะระบายความทุกข์ในใจต่อ เขาทิ้งท่าทีเหยียดหยามและไร้มารยาทไปโดยพลัน “ได้ เจ้าวางใจเถอะข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ แล้วทางด้านญาติผู้พี่จะทำอย่างไรหรือ?”
“ไม่ทำอันใด ทำได้เพียงแค่ต้องรีบลงมือเท่านั้น”
เป็นไปตามที่พวกเขาคาดเดา หลิ่วฉางอวี้ได้หายตัวไปแล้ว
ยามที่คนของหนานกงอี้จือกลับมารายงานว่าค้นหาทั่วทุกที่ในเมืองหลวงแล้วแต่หาหลิ่วฉางอวี้ไม่เจอพบ พวกเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก
“ดูท่าฉินเสียนถิงจะเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เกรงว่าใต้เท้าหลิ่วคงยากจะรอดกลับมาแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์บีบถ้วยชาในมือแน่น ทันใดนั้นนางก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา “อี้จือยามนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว! จะต้องตามหาใต้เท้าหลิ่วให้เจอไม่ว่าจะเป็นหรือตาย หากยังมีชีวิตอยู่ต้องเห็นคน หากตายไปแล้วก็ต้องเห็นศพ ถ้าเขาเคราะห์ร้ายตายไปแล้วจริง เช่นนั้นพวกเราก็ต้องหาร่างของเขาไปไว้ตรงหน้าฝ่าบาท! ถึงอย่างไรข้าหลวงท้องถิ่นของเมืองผิงเฉิงก็เป็นขุนนางขั้นหก หากถูกสังหารระหว่างเดินทางออกจากเมืองหลวง ฝ่าบาททรงพระปรีชายังต้องกลัวว่าจะคาดเดาเงื่อนงำไม่ได้อีกหรือ?”
“ใช่ เหตุใดข้าจึงคิดไม่ถึงเลย!” ฝ่ามือใหญ่ของหนานกงอี้จือตีไปที่ต้นขา หลังจากเพิ่งตระหนักได้ “หลิ่วฉางอวี้มีความคิดช่วยเหลือฝ่ายฉินเสียนถิง หากหลิ่วฉางอวี้ตายย่อมต้องพบร่องรอยการถูกทำร้ายบนร่างกาย อีกทั้งต้องเห็นได้ชัดเป็นแน่ว่าถูกคนฆ่า ผู้ใดจะมาฆ่าข้าหลวงท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ที่เพิ่งให้การเท็จไปกัน แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ที่มีแผนร้ายในใจและคอยบงการอยู่เบื้องหลัง!”
หลังจากสบสายตากับหลิงมู่เอ๋อร์ หนานกงอี้จือก็พาคนออกไปอีกครา
ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่ว่าจะร้านรวงเล็กๆ ไปจนถึงจวนใหญ่ของเหล่าขุนนางก็ไม่ปล่อยผ่าน แต่ผ่านไปห้าวันเต็มๆ ก็ยังไม่เจอเบาะแสอันใด
ภายในเหลาอาหารของตระกูลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์ถือเหล้าเข้มข้นไว้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหดหู่ กำลังคิดจะเปิดเหล้าอีกไหแต่กลับมีคนเร็วกว่าก้าวหนึ่งแย่งไหเหล้าไป
“เป็นสตรีจะมาดื่มเหล้ามากมายถึงเพียงนี้ไปเพื่ออันใด” หลิงจือเซวียนขมวดคิ้วแน่นรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง หยางต้าหนิวบังเอิญผ่านมาพอดีก็ถูกเขากล่าวตำหนิ “ท่านลุงท่านก็ไม่ยอมห้ามนางเลยขอรับ”
หยางต้าหนิวคิดจะพูดอันใด หลังจากมองหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังอารมณ์อ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ส่ายศีรษะทอดถอนใจและเดินจากไป
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบแย่งไหเหล้าจากมือของหลิงจือเซวียนกลับมา “เป็นข้าไม่ให้ท่านลุงมาห้ามเอง ข้าอารมณ์ไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นดื่มไปก็ไม่เมาจะกลัวอันใดเล่า?”
ยังมิต้องพูดถึงว่าหลังจากพวกเขาเปิดเหลาอาหาร ความสามารถในการดื่มของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่นางจะมาดื่มหัวราน้ำได้
“องค์ชายรองถูกคนใส่ร้ายข้ารู้ว่าเจ้าย่อมรู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่อาจมาดื่มเหล้าให้ลืมความทุกข์ได้ หากเจ้าเมาแล้วผู้ใดจะไปสืบหาหลักฐานมาลบล้างความผิดให้เขาเล่า? ข้าได้ยินว่าเหลือเวลาอีกแค่สามวันแล้วมิใช่หรือ?” หลิงจือเซวียนแม้จะพูดเช่นนี้แต่กลับไม่ได้เอาไหเหล้ากลับไปจริงๆ เขารู้ว่าน้องสาวรู้จักความพอดีมาโดยตลอด เกรงว่าการไม่ให้นางดื่มจะยิ่งทำให้ไม่สบายใจ
“เป็นข้าประเมินเขาต่ำเกินไป แต่ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่โผล่หางออกมาเลยแม้แต่น้อย ข้ามั่นใจว่าจะต้องหาหลักฐานเจอเป็นแน่!” มือทั้งสองข้างของหลิงมู่เอ๋อร์กำเป็นหมัดแน่น สายตาเด็ดเดี่ยวจ้องมองไปทางไหเหล้าว่างเปล่าตรงหน้าราวกับจ้องมองศัตรูคู่แค้น ทันใดนั้นนางก็หยิบมันโยนลงไปบนพื้นอย่างแรง
ไหเหล้าแตกกระจายไปทั่วออกเป็นเสี่ยง ราวกับว่าเพียงแค่ทำเช่นนี้ก็จะทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านแม่กับท่านยายสบายดีหรือไม่เจ้าคะ? คงตกใจมากเป็นแน่กระมัง?” ยามที่นึกถึงครอบครัวนางก็ยิ่งรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง
เป็นไปดังคาดเมืองหลวงก็คือกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ตั้งแต่มาที่นี่ในครอบครัวก็เกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน
นางอกตัญญูมักจะทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านยายต้องกังวลและหวาดกลัวอยู่เสมอ
“ยามที่จู่ๆ จวนตระกูลหลิงก็ถูกปิดล้อมเป็นความจริงที่ข้าก็ตกใจกลัวเช่นกัน แต่วันถัดมาฝ่าบาทก็ทรงมีรับสั่งให้ยกเลิกการปิดล้อมด้วยพระองค์เอง ทั้งยังยกเลิกประกาศจับของเจ้าด้วยท่านพ่อท่านแม่จึงวางใจ แต่ข่าวที่เซ่าเฉินถูกคุมขังอยู่ในคุกคุมขังนักโทษประหารแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ครอบครัวเราเปิดเหลาอาหารจะไม่รู้ข่าวคราวได้อย่างไร หลังจากได้ยินข่าวท่านยายก็เป็นห่วงจนล้มป่วย”
ได้ยินคำพูดนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ลุกขึ้นมาโดยพลัน “ท่านว่าอย่างไรนะ?” นางคิดจะพุ่งออกไป แต่คิดไปคิดมาหากไปปรากฏตัวต่อหน้าท่านยายในยามนี้ก็มีแต่จะทำให้นางยิ่งกังวลเท่านั้น
หลิงมู่เอ๋อร์ทำได้เพียงนั่งลงเงียบๆ แกล้งทำเป็นล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ แต่แท้จริงแล้วหยิบยารักษาอาการป่วยของท่านยายออกมาจากในมิติ “ท่านพี่ นำสิ่งนี้ไปให้ท่านยายแทนข้าทีเจ้าค่ะ บอกนางว่ามันจะต้องไม่เป็นไร”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าเพิ่งออกมาจากจวนตระกูลหลิง สีหน้าท่านยายนับว่าไม่เลวเพียงแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของเซ่าเฉินเป็นอย่างยิ่ง” หลิงจือเซวียนเก็บขวดยาไว้ในแขนเสื้อ “มู่เอ๋อร์ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากหาหลักฐานไม่พบจริงๆ จะทำเช่นไร?”
“เป็นไปไม่ได้!” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างแน่วแน่ยิ่ง “กระดาษไม่อาจใช้ห่อไฟฉันใด โลกนี้ก็ไม่มีกำแพงที่ลมไม่อาจทะลุผ่านได้ฉันนั้น หากเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำย่อมต้องมีเงื่อนงำ ข้าจะต้องหาเจอเป็นแน่!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็ดื่มเหล้าไหหนึ่งหมดในคราวเดียว สุดท้ายนางก็เช็ดเหล้าที่มุมปากอย่างดื้อรั้น
นึกถึงท่านยายขึ้นมา นางก็นึกถึงความคิดที่เลวร้ายที่สุดที่สามารถทำให้ล้มป่วยอย่างกะทันหันได้
ใช่ ซั่งกวนเซ่าเฉินถูกขังอยู่ในคุกคุมขังนักโทษประหาร หากไม่มีหลักฐานจะต้องถูกตัดศีรษะ อีกทั้งพวกเขายังเพิ่งตบแต่งกัน สตรีที่เพิ่งแต่งงานแต่สามีกลับต้องมาตกตายเช่นนี้ ช่างเป็นโชคชะตาที่น่าเศร้าอันใดถึงเพียงนี้?
เกรงว่าในใจท่านแม่ก็ย่อมรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
“พี่สามารถช่วยเหลืออันใดเจ้าได้บ้าง?” หลิงจือเซวียนลูบผมนางอย่างอ่อนโยน “อย่ากังวลไปเลย มู่เอ๋อร์ของพวกเราเป็นผู้มีวาสนา ทุกครั้งก็สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ ครั้งนี้ก็ย่อมทำได้แน่นอน”
“ท่านพี่ช่วยข้าดูแลจวนตระกูลหลิงหน่อยนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปรอบด้าน “ท่านก็เห็นว่าเป็นเพราะเรื่องของเซ่าเฉินทำให้พัวพันมาถึงการค้าของเหลาอาหาร ข้ากังวล…ว่าหากมีใครบางคนฉวยโอกาสในช่วงที่วุ่นวายเข้ามาปล้นชิง เกรงว่าท่านลุงกับท่านพ่อจะรับมือไม่ไหว ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ต้องขอฝากท่านพี่แล้วเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องการลบล้างมลทินของเซ่าเฉินข้าจะจัดการเองเจ้าค่ะ!”
ศัตรูของนางนางจะรับมือเอง
นางจะทำให้เขาต้องชดใช้!
“ดึกป่านนี้แล้วเจ้าจะไปทำอันใด?” เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นกำลังจะเดินไป หลิงจือเซวียนที่เป็นห่วงอย่างยิ่งก็รีบจับนางไว้ “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังดื่มเหล้าไปตั้งมากถึงเพียงนี้อีก”
“ข้าต้องเข้าวังหลวงเจ้าค่ะ ในเมื่อที่ตำหนักองค์ชายเจ็ดไม่พบสิ่งใด ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่พบเงื่อนงำใดที่หมิ่นกุ้ยเฟยเลย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ข้าทำการตรวจสอบ คนพวกนั้นย่อมไม่กล้าทำอันใดข้าหรอกเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปทางไหเหล้า “นี่เป็นเพียงเหล้าแค่เล็กน้อยไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ ท่านพี่เรื่องในบ้านต้องขอฝากท่านพี่แล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากนางมองหลิงจือเซวียนอย่างจริงจังก็ก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แต่หลิงจือเซวียนที่ได้ยินคำพูดนั้นกลับรู้สึกราวกับจะเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์