เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 395 ล้อกันเล่น
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 395 ล้อกันเล่น
เล่มที่ 14 ตอนที่ 395 ล้อกันเล่น
หมิ่นกุ้ยเฟยต้องการกลั่นแกล้งพวกเขาอย่างแท้จริง
“เจ้าคิดจะทำอันใด?” อี้กุ้ยเฟยเกรงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะหุนหันพลันแล่นจึงรีบก้าวออกมา
“กฎเกณฑ์ในการบุกรุกเข้ามาที่คุกคุมขังนักโทษประหารหาใช่ข้าเป็นผู้ตั้ง พี่สาวอย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้าเลย” หมิ่นกุ้ยเฟยแค่นเสียงเย็นพลางเลิกคิ้ว “ข้าเป็นผู้ที่เห็นแก่มิตรภาพในอดีต ที่พี่สาวเคย ‘ดี’ ต่อข้าข้าย่อมจำใส่ใจไว้ ดังนั้นวันนี้จึงจะไม่ทำให้พวกท่านต้องลำบาก”
กล่าวจบนางก็ยื่นเท้าขวาออกมา “อุ๊ย ท่านดูสิช่างบังเอิญเสียจริง รองเท้าข้าเหตุใดจึงสกปรกเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นพี่สาวก็ช่วยเช็ดให้สะอาดด้วยตัวเองเสียหน่อยเถอะ แล้วข้าจะทำเป็นไม่เห็นเรื่องในวันนี้เป็นอย่างไร?”
“หมิ่นกุ้ยเฟยเจ้า…” หลิงมู่เอ๋อร์โกรธเกรี้ยว แต่น่าเสียดายที่พูดยังไม่ทันจบก็ถูกอี้กุ้ยเฟยจับไว้เสียก่อน
ใช้สายตาส่งสัญญาณให้หลิงมู่เอ๋อร์เป็นการบอกว่าอย่าหุนหัน ยามที่หันกลับมาอีกคราใบหน้าของอี้กุ้ยเฟยก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
นางรู้ว่าหมิ่นกุ้ยเฟยจงใจ นางคงคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าพวกนางจะบุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหาร จึงให้คนมาจับตาดูอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หากพวกนางปรากฏตัวนางก็จะรีบมาโดยพลัน
ยามนี้ยืนยันได้แล้วว่านางจะได้ขึ้นเป็นหวางโฮ่ว อีกทั้งในมือยังมีอำนาจของหวางโฮ่วแล้ว ย่อมต้องคว้าโอกาสในการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อมิให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
“ต่อให้ฝ่าบาทจะทรงประทับอยู่ที่นี่ก็ไม่อาจกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ได้ เจ้าเพิ่งถูกแต่งตั้งให้เป็นหวางโฮ่วแน่ใจหรือว่าจะมารังแกคนเช่นนี้จนตกเป็นที่ครหา?” อี้กุ้ยเฟยถามแผ่บรรยากาศที่มีมาแต่กำเนิดออกมากดดันหมิ่นกุ้ยเฟยโดยพลัน
แต่น่าเสียดายที่หมิ่นกุ้ยเฟยซึ่งมีอำนาจมากมายอยู่ในมือ ยามนี้หาได้หวาดกลัวนางแม้แต่น้อย
“ฮ่า พี่สาวพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจะไปรังแกท่านได้อย่างไรเล่า ข้ากำลังช่วยพวกท่านอยู่ต่างหาก” นางยิ้มเย็น “พี่สาวที่อยู่วังหลังอยากไปที่ใดก็ล้วนไปได้เพราะฝ่าบาทรู้สึกผิดต่อท่านย่อมไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ แต่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองไม่เหมือนกัน”
นางกล่าวโดยที่สายตามองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ “ยามนี้องค์ชายรองมีความผิดจึงถูกคุมขัง ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเขามีโทษฐานคิดก่อกบฏ ดูเหมือนผู้ที่ถูกจับมาขังไว้ในคุกคุมขังนักโทษประหารย่อมพัวพันไปถึงครอบครัวด้วย ฝ่าบาททรงนึกถึงชื่อเสียงของเจิ้งเฟยขององค์ชายรองจึงมิได้โหดร้ายกับนาง แต่หากเพิ่มความผิดฐานบุกรุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารเข้าไปด้วย พี่สาวว่าผลลัพธ์จะยังเป็นเช่นเดิมหรือไม่?”
ได้ยินคำพูดนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยืนอยู่เบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์โดยพลัน “เปิ่นหวางจื่อถูกคนใส่ความทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์ เสด็จพ่อผู้ทรงพระปรีชายังไม่ดึงมู่เอ๋อร์มาเกี่ยวข้องด้วยแต่หมิ่นกุ้ยเฟยกลับใช้อำนาจกล่าวโทษข้ารวมถึงมู่เอ๋อร์ เปิ่นหวางจื่อสามารถคิดได้ใช่หรือไม่ว่าผู้ที่ใส่ร้ายข้าคือเจ้าหมิ่นกุ้ยเฟย?”
“องค์ชายรองเจ้า…” หมิ่นกุ้ยเฟยสูดหายใจลึก แต่ไม่นานก็กดข่มโทสะเอาไว้ในใจ “ทุกคนล้วนบอกว่าองค์ชายรองวางแผนก่อกบฏแต่ที่ผ่านมาข้าไม่เคยเชื่อ ข้าคิดว่าเจ้าถูกคนใส่ร้ายแต่มายามนี้ดูท่าว่าการคาดเดาของข้าจะผิดไป”
หมิ่นกุ้ยเฟยเหลือบมองเขาอย่างเหยียดหยาม “เดิมข้ายังคิดจะให้โอกาสพวกเจ้าไม่อยากเอาเรื่องนี้มาซักไซ้ แต่ในเมื่อพวกเจ้าต้องการกราบทูลต่อฝ่าบาท เช่นนั้นข้าจะไปแทนพวกเจ้าเอง หลังจากฝ่าบาทเสด็จมาแล้วผู้ที่มีความผิดฐานบุกรุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารจะถูกลงโทษเช่นไร ข้าก็ยากจะพูดได้แล้ว”
กล่าวจบนางก็หมุนกายกำลังจะจากไป แต่อี้กุ้ยเฟยรีบเรียกนางไว้
“ช้าก่อน”
มองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน และมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ ที่นี่มีเพียงนางที่เข้าใจนิสัยใจคอของหมิ่นกุ้ยเฟยมากที่สุด
สตรีที่กล้าบ้าบิ่นผู้นี้ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนทำได้ นางไม่อาจเอาความปลอดภัยของชีวิตของผู้มีพระคุณมาเดิมพันได้
“ในคุกคุมขังนักโทษประหารมืดเกิดไปจนมองเห็นไม่ชัดเจนจนทำให้น้องสาวเสียเวลาแล้ว ข้าเพิ่งเห็นว่ารองเท้าของน้องสาวสกปรกจริงๆ เช่นนั้นข้าเช็ดให้เป็นอย่างไร?” กล่าวจบอี้กุ้ยเฟยก็ย่อกายลง
รู้ว่าอี้กุ้ยเฟยทำทั้งหมดนี้เพื่อนาง หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบซัดเข็มเงินเล่มหนึ่งออกไป
หมิ่นกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็กรีดร้องและหลบเลี่ยงโดยพลัน “อ๊า! หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าทำอันใดคิดจะลอบสังหารข้าหรือ?”
อี้กุ้ยเฟยก็ตะลึงงันไปเช่นกัน นางคาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะต่อต้านเช่นนี้ นางหันกลับไปส่งสัญญาณทางสายตาให้ทั้งสองคนโดยพลัน พลางขยับรูปปากเป็นการบอกกับพวกเขาคำหนึ่งว่า ‘อดทน’
แต่หลิงมู่เอ๋อร์จะยอมให้คนของนางต้องก้มหัวให้ศัตรูได้อย่างไร
“ขออภัย เมื่อครู่เผลอพลั้งมือไม่ทันระวังจึงเกือบทำร้ายหมิ่นกุ้ยเฟยเสียแล้ว แต่ในเมื่อเป็นมู่เอ๋อร์ที่ผิดแน่นอนว่ามู่เอ๋อร์ย่อมต้องขอโทษเหนียงเหนียงด้วยตัวเองจึงจะถูกต้อง”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางก้าวเดินไปเบื้องหน้าหมิ่นกุ้ยเฟย นางเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง เดิมทีเป็นเพียงเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง ทว่ากลับทะนงตนราวกับเป็นหวางหมู่เหนียงเหนียง [1]
“เหนียงเหนียงท่านว่าถูกต้องหรือไม่?”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์มารนหาที่ด้วยตัวเอง มุมปากของหมิ่นกุ้ยเฟยก็กระตุกอย่างรุนแรงโดยที่ไม่คิดจะปล่อยนางไป
“เหอะ เดิมข้าเห็นแก่หน้าพี่สาวจึงจะปล่อยเจ้าไปแต่เจ้ากลับมารนหาที่เอง หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากมาทำให้ข้าขุ่นเคืองจะมีจุดจบเช่นไร?”
“ย่อมมีจุดจบไม่ดี” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวตามตรง “แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับอี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ท่านปล่อยนางไปเถอะแล้วข้าจะยอมรับโทษตามที่ท่านต้องการ”
นางกล่าวคำพูดนี้อย่างผ่อนคลายด้วยท่าทางไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ยิ่งเป็นการยั่วยุโทสะของหมิ่นกุ้ยเฟย
“เจ้า…เหอะ ดี ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะกล้าสักเพียงใด” ออกคำสั่งเสียงหนึ่ง หมิ่นกุ้ยเฟยก็ส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังมาพาตัวอี้กุ้ยเฟยออกไป
อี้กุ้ยเฟยไม่เข้าใจว่าหลิงมู่เอ๋อร์คิดจะทำอันใด นางรู้เพียงว่าหากหลิงมู่เอ๋อร์ตกไปอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายย่อมไม่มีจุดจบที่ดี นางพยายามดิ้นรน “ปล่อยข้า หมิ่นกุ้ยเฟยเจ้าอย่าได้ทำร้ายมู่เอ๋อร์นางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องเกรงใจข้าอยู่สามส่วนยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้มีพระคุณเลย หากเจ้ากล้าทำร้ายนางข้าจะขอสู้ตายกับเจ้า!”
ได้ยินคำพูดนี้เป็นธรรมดาที่ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์จะรู้สึกซาบซึ้งอย่างถึงที่สุด
นางรู้ว่าอี้กุ้ยเฟยปฏิบัติกับนางเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ
แต่หมิ่นกุ้ยเฟยเป็นผู้ที่จัดการได้ง่ายๆ เสียที่ไหน
ก่อนที่หมิ่นกุ้ยเฟยจะเกิดโทสะขึ้นมา หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบเปิดปากกล่าว “เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องห่วงมู่เอ๋อร์เพคะ ในเมื่อมู่เอ๋อร์เป็นคนทำผิดก็ควรเป็นมู่เอ๋อร์ที่รับผิดชอบ ท่านออกไปก่อนเถอะเพคะ” กล่าวจบก็กอดอี้กุ้ยเฟยแน่น ยามที่คนด้านข้างไม่ทันฟังก็เอ่ยรับปากกับนาง “ท่านวางใจเถอะเพคะ นางไม่อาจทำร้ายข้าได้แน่ ท่านช่วยออกไปดูสถานการณ์ของอี้จือให้ข้าก่อนได้หรือไม่เพคะ?”
อี้กุ้ยเฟยเดิมทียังอยากปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ส่งสัญญาณทางสีหน้าให้นางไม่หยุด นางก็ทำได้เพียงตอบรับและปล่อยให้องครักษ์พานางออกไป
ในคุกคุมขังนักโทษประหารเหลือเพียงหมิ่นกุ้ยเฟย ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ รวมถึงพวกบ่าวรับใช้อีกไม่กี่คน
“เหนียงเหนียงหากข้าเป็นท่านคงไล่คนพวกนี้ออกไปหมดแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องที่ท่านต้องการทำในยามนี้ก็ย่อมทำให้ชื่อเสียงเสียหาย บ่าวพวกนี้เป็นพวกขี้นินทาชั้นดี ท่านอยากให้ทุกยามว่างล้วนได้ยินคนปล่อยข่าวลือไปทั่วทุกหนแห่งตามอำเภอใจ ว่าเหนียงเหนียงรังแกเจิ้งเฟยขององค์ชายรองหรือเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวแสดงท่าทีไล่คนพวกนั้นออกไป
แน่นอนว่าหมิ่นกุ้ยเฟยย่อมไม่ตกหลุมพรางอุบายของนาง “เหอะ เจ้าฉลาดแกมโกงเช่นนี้คิดจะเล่นตลกอันใดกับข้าอีก! หลิงมู่เอ๋อร์ข้าขอเตือนเจ้า ในเมื่อเจ้าตกมาอยู่ในกำมือของข้าแล้ววันนี้เลิกคิดหนีไปได้เลย!”
“ข้าบอกเมื่อใดว่าข้าจะหนี?” หลิงมู่เอ๋อร์ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แต่ก็ต้องดูแล้วว่าเหนียงเหนียงจะมีความสามารถทำร้ายข้าได้หรือไม่!”
เห็นท่าทางหยิ่งผยองเช่นนี้ของหลิงมู่เอ๋อร์ หมิ่นกุ้ยเฟยก็พ่นลมออกจากจมูกพลางจ้องเขม็ง นางสาบานว่าวันนี้จะต้องสั่งสอนอีกฝ่ายให้ได้
“พวกเจ้าทุกคนออกไปเสีย!”
แม้พวกบ่าวรับใช้จะยังไม่วางใจแต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของผู้เป็นนายได้ ดังนั้นบ่าวทุกคนจึงออกจากคุกคุมขังนักโทษประหารไป
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเป็นเส้นโค้งน่ามอง นางแสร้งทำเป็นตัวสั่นเทา “เหนียงเหนียงสายตาของท่านช่างน่ากลัวนัก ท่านคิดจะทำอันใดคงมิได้คิดจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”
เห็นท่าทางหวาดกลัวของนาง ก้นบึ้งในใจของหมิ่นกุ้ยเฟยก็รู้สึกถึงความสำเร็จอย่างอธิบายไม่ถูก นางมองเครื่องทรมานข้างหลังและหยิบแส้หนามเส้นหนึ่งขึ้นมา “เหอะ หลิงมู่เอ๋อร์ ตั้งแต่คราแรกที่ข้าเห็นเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าช่างขัดหูขัดตานัก อีกทั้งเจ้ายังต่อต้านข้าอยู่หลายครั้งหลายคราถึงขั้นทำร้ายถิงเอ๋อร์ของข้า วันนี้เดิมข้าคิดจะไว้ชีวิตเจ้าแต่เจ้ากลับเอาตัวเองมาประเคนให้ถึงที่ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเจ้ารนหาที่เอง!”
กล่าวจบแส้ในมือของหมิ่นกุ้ยเฟยก็กำลังจะฟาดลงไปบนใบหน้างามของนาง
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็พลิกร่างอย่างรวดเร็ว หลังจากกะพริบตาให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน นางก็หลบเข้าไปในมิติโดยพลัน
หมิ่นกุ้ยเฟยที่ออกแรงอย่างสุดกำลังเดิมยังคิดจะสั่งสอนหลิงมู่เอ๋อร์อย่างรุนแรง แต่หลังจากแส้ยาวฟาดออกไปกลับต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าในยามนี้คนตรงหน้าได้หายไปแล้ว
“แล้วคนเล่า? ไม่ เป็นไปไม่ได้ หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด เจ้าจงโผล่หัวออกมาให้ข้าเห็นเสีย!”
ในขณะนั้นเองก้นบึ้งในใจของหมิ่นกุ้ยเฟยก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวสายหนึ่ง นางหมุนกายมองไปรอบทิศทางอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าหลิงมู่เอ๋อร์หายไปต่อหน้าต่อตานาง
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่รับรู้ถึงสัญญาณที่หลิงมู่เอ๋อร์ส่งมาทางสายตาก็รู้สึกเพียงว่าน่าขัน แค่เขาก็เล่นไปตามสถานการณ์นี้อย่างให้ความร่วมมือ
เห็นเพียงเขาแสร้งเอามือกอดอกด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเรื่องราว “หมิ่นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกำลังหาอันใด มู่เอ๋อร์ของข้าไม่ได้อยู่ในคุก ไม่ใช่ว่าเจ้าตาลายไปเองหรือ?”
“เจ้าพูดอันใด?” นางไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเขา หมิ่นกุ้ยเฟยเบิกตากว้างอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ไม่นานนางก็พุ่งไปข้างหลังซั่งกวนเซ่าเฉิน มองซ้ายมองขวาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิงมู่เอ๋อร์ นางหมุนกายกำลังจะไปคว้าไหล่ทั้งสองข้างของซั่งกวนเซ่าเฉิน แต่ในยามนั้นเองหลิงมู่เอ๋อร์ก็กระโดดออกมาจากในมิติ นางรีบใส่กุญแจประตูห้องขังอย่างรวดเร็ว
หมิ่นกุ้ยเฟยมีการตอบสนองออกมาเมื่อเห็นว่าตัวเองถูกขังอยู่ในคุก นางโกรธเกรี้ยวจนแทบเสียสติ “หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าปล่อยข้าออกไปเสีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอันใด เจ้าปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้!”
“จะปล่อยท่านก็ได้ แต่ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการให้ข้าปล่อยออกมา?” หลิงมู่เอ๋อร์จงใจใช้จังหวะการพูดที่เชื่องช้า ในขณะที่ใช้สายตาเย็นชากระหายเลือดมองหมิ่นกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างใน จนนางซวนเซล้มลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง
ไม่ หลิงมู่เอ๋อร์ที่เป็นเช่นนี้น่ากลัวเกินไป นางส่ายศีรษะพลางลืมตาอีกครา แต่เรื่องน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นอีกครั้งในชั่วพริบตา
หลิงมู่เอ๋อร์หายไปต่อหน้าต่อตานางอีกครา
คุกคุมขังนักโทษประหารไม่ได้ใหญ่โตทั้งยังไม่มีมุมอับ แต่คนตัวโตๆ หายไปในอากาศเช่นนี้มันเป็นไปได้อย่างไร!
“กรี๊ด! นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ซั่งกวนเซ่าเฉิน พวกเจ้า พวกเจ้ากำลังแสดงปาหี่อันใดกันอยู่ แล้วหลิงมู่เอ๋อร์เล่า แล้วนางเล่า!” หมิ่นกุ้ยเฟยคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง
แต่หลังสิ้นเสียงคำรามของนาง ทางด้านหลังก็มีเส้นผมปัดผ่านหลังคอของนางจนทำให้รู้สึกสะพรึงกลัว หลังศีรษะของนางมีเสียงที่ราวกับปีศาจร้ายของหลิงมู่เอ๋อร์ดังขึ้น “เหนียงเหนียงหาข้าอยู่หรือ? ข้าก็อยู่ข้างหลังท่านมาโดยตลอดอย่างไรเล่า!”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หมิ่นกุ้ยเฟยตกใจกลัวจนล้มลงไปบนพื้นอีกครา นางถึงขั้นไม่กล้าหันกลับไป อีกทั้งมือทั้งสองข้างยังปิดหูแน่น “นี่มันไม่จริง หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ามาทำให้ข้าเป็นตัวตลกเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! เจ้าอย่าเข้ามา!”
“ข้าไม่เข้าไปแล้วเหนียงเหนียงจะลงโทษข้าได้อย่างไรเล่า? ท่านมิได้บอกอยู่เสมอหรือว่าท่านรู้สึกว่าข้าขัดหูขัดตา ข้าก็รู้สึกว่าท่านช่างขัดหูขัดตาเช่นกัน ไม่สู้พวกเรามาเล่นกันต่ออีกหน่อยจะดีกว่ากระมัง!”
กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็กระโดดไปเบื้องหน้านาง มือทั้งสองข้างจับข้อมือของนางไว้แน่น
นิ้วมือเย็นเฉียบของหลิงมู่เอ๋อร์สัมผัสกับผิวหนังของนางโดยพลัน หมิ่นกุ้ยเฟยตกใจกลัวจนกรีดร้องเสียงหลง “กรี๊ด! มีผี กรี๊ด!”
ไม่สนใจภาพลักษณ์อีกต่อไป นางเขย่าประตูเหล็กอย่างบ้าคลั่งอย่างต้องการออกไปจากคุกคุมขังนักโทษประหาร แต่หลิงมู่เอ๋อร์จะปล่อยนางไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
เชิงอรรถ
[1] หวางหมู่เหนียงเหนียง หมายถึง สนมเอกของเง็กเซียนฮ่องเต้