เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 14 ตอนที่ 394 สมควรจะได้รับโทษเช่นไร
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 14 ตอนที่ 394 สมควรจะได้รับโทษเช่นไร
เล่มที่ 14 ตอนที่ 394 สมควรจะได้รับโทษเช่นไร
“อี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงหากไม่มีพระราชโองการของฝ่าบาท ที่คุกคุมขังนักโทษประหารแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าออกได้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์อย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ” นอกคุกคุมขังนักโทษประหาร องครักษ์ขวางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยผ่าน
“สามหาว! ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคืออี้กุ้ยเฟยก็น่าจะรู้สถานะของข้า ความต้องการของข้าแม้แต่ฝ่าบาทยังต้องทรงเกรงใจอยู่สามส่วน หรือเจ้าต้องการให้ข้าพาฝ่าบาทมาถึงที่นี่?” อี้กุ้ยเฟยมีท่าทางเยือกเย็นแม้จะกำลังตะโกนอย่างเดือดดาลก็ตาม นางมององครักษ์ที่รีบคุกเข่าลงบนพื้นพลางแค่นเสียงเย็น “ฝ่าบาททรงประชวรหนักพระวรกายไม่แข็งแรง ข้าเห็นเจตนาเจ้าอย่างชัดเจนว่าต้องการต่อต้านฝ่าบาทอย่างแท้จริง!”
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์โขกศีรษะให้อี้กุ้ยเฟย “แต่ แต่ถึงอย่างไรที่คุกคุมขังนักโทษประหารก็มีกฎของคุกคุมขังนักโทษประหารพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง และหนานกงซื่อจื่อที่อยู่ข้างหลังพระองค์ยังเป็นเป้าสายตาอย่างยิ่งยวด หากถูกพบเข้ากระหม่อมก็ยากจะอธิบายแก่เบื้องบนพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินว่ายังมีหวัง หนานกงอี้จือก็รีบถอยหลังไปหลายก้าว “เปิ่นซื่อจื่อไม่เข้าไปก็ได้ ให้มู่เอ๋อร์เข้าไปคนเดียวก็พอ”
อี้กุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็รีบคว้ามือของหลิงมู่เอ๋อร์ “ถูกต้อง มีแค่มู่เอ๋อร์เข้าไปผู้เดียวคงไม่เป็นเป้าสายตามากมายนักกระมัง ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง เจ้าจะยังกลัวอันใดอีก?”
“เช่นนั้น…” องครักษ์สูดหายใจเข้าลึก ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนสุดท้ายก็ทำได้เพียงหลีกทาง “มากสุดมีเวลาเพียงแค่หนึ่งเค่อ ขออี้กุ้ยเฟยและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองโปรดรีบหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้กระหม่อมต้องลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมาก!” เห็นองครักษ์ยินยอม หลิงมู่เอ๋อร์ก็ประสานมือคารวะ หลังจากสบตากับอี้กุ้ยเฟยทั้งสองคนก็เข้าไปในคุกคุมขังนักโทษประหาร
“เซ่าเฉิน!”
เห็นแผ่นหลังของชายผู้หนึ่งจากระยะไกลโดยที่แผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยเลือด จิตใจอ่อนนุ่มของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสโดยพลัน นางรีบโผเข้าไปที่หน้าประตู ในยามนั้นเองที่ผู้คุมมาเปิดประตูห้องขัง
“มู่เอ๋อร์?” เขาแปลกใจกับการปรากฏตัวของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง แต่ยามที่เห็นอี้กุ้ยเฟยข้างหลังนาง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เข้าใจโดยพลัน
เขาตั้งมั่นที่จะหยัดกายขึ้น “ขอบพระทัยอี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นอย่างยิ่ง”
“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ ร่างกายเจ้าได้รับบาดเจ็บรีบนอนลงเถอะอย่าขยับ แต่เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บจนมีสภาพเช่นนี้เล่า?” อี้กุ้ยเฟยรีบพุ่งเข้าไปพยุงซั่งกวนเซ่าเฉินที่คุกเข่าลงไปบนพื้นครึ่งหนึ่งขึ้นมา มองขึ้นลงพิจารณาเขารอบหนึ่งทั้งจิตใจและสีหน้าก็ล้วนแสดงความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด
ในยามนั้นเองหลิงมู่เอ๋อร์ก็หยิบยาขี้ผึ้งออกมาจากในมิติแล้ว “แม้จะรู้ว่าพวกเขาย่อมทรมานท่าน แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ รอก่อนเถอะ รอให้ท่านออกมาอย่างปลอดภัยก่อนข้าจะไม่ปล่อยพวกเขาไปเด็ดขาด!”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันแต่กลับยังทายาให้ตัวเองอย่างระมัดระวัง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็จับข้อมือของนาง ออกแรงดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “เด็กโง่ ข้าไม่เจ็บจริงๆ”
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เดิมทีควบคุมตัวเองได้อย่างดียิ่ง หลังจากได้ยินคำพูดนี้น้ำตาก็ไหลรินออกมาโดยพลัน
นางที่น้อยครั้งจะร้องไห้รู้สึกราวกับในใจถูกคนเอามีดมาคว้านเนื้อออกไป นางรู้สึกแสบจมูก “จะไม่เจ็บได้อย่างไร ท่านหาได้มีเส้นเอ็นและกระดูกเป็นเหล็กกล้า ท่านดูสิเนื้อแตกหมดแล้ว”
ชี้ไปที่แผลหนึ่งที่ลึกที่สุดบนหน้าอก เห็นได้ชัดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินมีทั้งแผลใหม่และแผลเก่าอยู่ไม่ขาด คนพวกนั้นเห็นได้ชัดว่าจงใจ เป็นการจงใจรอให้แผลเก่าของเขาสมานเล็กน้อยและเพิ่มแผลใหม่เข้าไป
“ผู้ใด เป็นผู้ใดที่กล้าทำเช่นนี้ ถึงแม้จะกลายเป็นนักโทษแต่ก็ยังเป็นองค์ชายที่ยังไม่ถูกตัดสินโทษ ท่านยังเป็นองค์ชายรองอยู่ พวกเขาไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือจึงมีความกล้าถึงเพียงนี้!”
หลิงมู่เอ๋อร์คำราม หลังจากรู้ว่าเป็นผู้ใดจะต้องไปสู้ตายกับคนผู้นั้นเป็นแน่
“เด็กโง่!”
เขาทั้งรู้สึกซาบซึ้งใจและปวดใจ ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้ฝ่ามือใหญ่จับหลังศีรษะของนางไว้แน่น ให้นางพิงมาที่ไหล่ของเขา
สองวันแล้วที่ไม่ได้เห็นสาวน้อยผู้นี้ รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงของนาง แม้ในคุกแห่งนี้จะมองไม่เห็นท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ รู้สึกเหมือนหนึ่งวันยาวนานราวหนึ่งปี ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวถึงเพียงนั้นแล้ว
อี้กุ้ยเฟยน้ำตาแห่งรักไหลรินพลางก้าวเท้าไปข้างหลัง นางไม่กล้ารบกวนความรักใคร่ของทั้งสองคนแต่ก็ไม่กล้าเดินวุ่นวาย หากมีคนตั้งใจพุ่งเข้ามาจับตัวหลิงมู่เอ๋อร์โดยอ้างว่าบุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารย่อมไม่เป็นการดี
“พวกเขาก็เพียงแค่ทำตามคำสั่ง ส่วนจะเป็นคำสั่งของผู้ใดนั้นหาได้สำคัญ” ซั่งกวนเซ่าเฉินส่ายศีรษะพยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่ง
เพราะเขาพบว่าสาวน้อยของเขาปวดใจจริงๆ
นางโศกเศร้า เขาก็ยิ่งรู้สึกโศกเศร้ายิ่งกว่าความเจ็บปวดยามที่ถูกแส้ฟาดลงมาบนร่างครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้ารู้ว่าเป็นเขา!” หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันโดยที่ความแค้นในใจไม่ได้ลดลง
“เอานี่ไปกินเสีย! ข้าจะให้ยาท่านเพิ่มอีกเสียหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์ยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งให้เขา จากนั้นตัวเองก็เทยาสมานแผลที่คิดค้นขึ้นมาเองเป็นพิเศษใส่บนบาดแผลของเขา รู้สึกได้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังอดกลั้นไม่กล้าร้องออกมา ในใจนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากพุ่งไปตรงหน้าฉินเสียนถิงเพื่อฆ่าเขาเสีย!
“ฉินเสียนถิงรู้ว่าท่านมีคุณสมบัติร้อยพิษไม่กล้ำกรายจึงไม่อาจวางยาพิษได้ และท่านก็เป็นองค์ชายรองเขาย่อมไม่อาจให้คนมาฆ่าท่านง่ายๆ จึงทำได้เพียงทรมานท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซ่าเฉิน ท่านรออีกหน่อยเถิดข้าจะไปหาหลักฐานมาลบล้างความผิดของท่านให้ได้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว ในใจนางนึกถึงฮ่องเต้ขึ้นมาทันที คำขอนั้นที่รับปากไว้นางอยากขอให้ปล่อยซั่งกวนเซ่าเฉินออกมาก่อน
แต่นางรู้ว่าหากทำเช่นนั้น ความผิดที่ถูกป้ายสีมานี้จะลบล้างไม่ได้ไปตลอด ดังนั้นหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ นางก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
“เขาสามารถรู้ได้ทันทีหลังจากพวกเราพบความลับของเขาและลงมือโดยพลัน ยิ่งไปกว่านั้นทุกสิ่งยังถูกวางแผนไว้อย่างถี่ถ้วนและคิดเตรียมการไว้ก่อนแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว ใช้มืออีกข้างจับมือของนางไว้แน่น “มู่เอ๋อร์รับปากข้า อยู่ข้างนอกเจ้าต้องระวังตัวด้วย”
“ท่านวางใจเถอะ อี้จือกับท่านแม่บุญธรรมล้วนช่วยเหลือข้าอยู่ข้าย่อมไม่เป็นอันใด แต่สถานการณ์ซับซ้อนกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายเรื่องราวในท้องพระโรงวันนี้ให้เขาฟังอย่างรวบรัด เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้วแน่นก็พอเดาได้ว่าเรื่องนี้ตัดสินใจได้ยากเย็นทีเดียว
“มู่เอ๋อร์ให้อี้จือไปพาหลิ่วฉางอวี้กลับมาเดี๋ยวนี้!” หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินฟังจบก็ตัดสินใจออกมาโดยพลัน
“คนทรยศผู้นั้นแม้จะมีเรื่องลำบากใจของตัวเอง แต่เหตุใดต้องพากลับมาด้วยเล่า? ปล่อยเขาไปตามยถากรรมเถอะ” หลิงมู่เอ๋อร์เบ้ปากอย่างไม่เต็มใจ
“เด็กโง่ ขอเพียงหาคนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาถูกข่มขู่จนไม่อาจทำอันใดได้ก็พอ ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าไปช้าเพียงก้าวหนึ่งเกรงว่า…” ประโยคหลังซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้พูดจนจบ แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
“ได้ เดี๋ยวข้าจะให้อี้จือไล่ตามไป แต่ทางฝั่งท่านจะทำเช่นไรเล่า พวกเขายังจะทรมานท่านอีกใช่หรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดก็รู้สึกปวดใจ นางมองอี้กุ้ยเฟยก็เห็นอีกฝ่ายก้าวถอยหลังไปไกลหลายก้าวอย่างเอาใจใส่ยิ่ง นางเข้าไปใกล้ซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครา ริมฝีปากแดงไปอยู่ที่ข้างหูของเขา “หากถึงยามจำเป็นท่านก็ซ่อนตัวในมิติเสีย จำวิธีเปิดมิติที่ข้าสอนได้ใช่หรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่จำเป็น เรื่องพวกนี้ข้ายังทนได้”
“ทนอันใดได้ เหตุใดต้องถูกเขารังแกอย่างเปล่าประโยชน์ด้วย?” หลิงมู่เอ๋อร์เดือดดาล
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมีสีหน้าใคร่ครวญ “บนร่างข้ายิ่งมีบาดแผลมาก ในภายภาคหน้าบทลงโทษของฉินเสียนถิงก็จะยิ่งหนักขึ้นมิใช่หรือ?”
“แต่…” หลิงมู่เอ๋อร์ยังอยากพูดอันใด แต่ที่นอกประตูก็มีน้ำเสียงร้ายกาจอันแหลมสูงสายหนึ่งดังขึ้นมา
“อ้าว ผู้ใดกันที่กล้าบุกเข้ามาแม้แต่ในคุกคุมขังนักโทษประหาร รนหาที่ตายเช่นนี้อยากไปเข้าเฝ้าพญายมหรือ?”
หลังจากสิ้นเสียง คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่นอกห้องขัง
หมิ่นกุ้ยเฟยที่มีสาวใช้คอยพยุงอยู่ ทางด้านหลังก็ยังมีสาวใช้สิบกว่าคนตามมาด้วย หลังจากได้รับการยืนยันแล้วว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหวางโฮ่ว นางก็วางท่ามากขึ้นไม่น้อย
“อา ที่แท้เจิ้งเฟยขององค์ชายรองก็อยู่ด้วย มิน่าเล่าข้างนอกจึงเห็นหนานกงซื่อจื่อด้วย” หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวด้วยสายตาหยิ่งทะนง “แต่น่าเสียดายที่ยามนี้แม้แต่ตัวเองเขายังเอาไม่รอด เกรงว่าคงไม่อาจบุกเข้ามาช่วยเจ้าได้”
ได้ยินคำพูดนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่าหนานกงอี้จืออาจจะกำลังมีอันตราย นางวางซั่งกวนเซ่าเฉินลงอย่างระมัดระวังและกล่าวอย่างเดือดดาล “ท่านทำอันใดกับหนานกงอี้จือ?”
“อย่าตื่นตระหนกไปเลยเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง เขายังไม่ตายหรอก” หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าว ดวงตาหรี่จนกลายเป็นเส้นเดียว น้ำเสียงเมื่อครู่ยังนับว่าอ่อนโยนแต่หลังจากเปลี่ยนท่าทีไป แววตาของนางก็ดูดุดันอีกทั้งน้ำเสียงยังฟังดูร้ายกาจ
“บังอาจ พวกเจ้ากล้าบุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารโดยพลการ ไม่รู้หรือว่ามีโทษร้ายแรงถึงตัดหัว ทหารมาจับตัวอี้กุ้ยเฟยและเจิ้งเฟยขององค์ชายรองให้ข้าเสีย!”
นางออกคำสั่งเสียงหนึ่ง องครักษ์สิบกว่าคนก็พุ่งเข้ามาโดยพลัน
อี้กุ้ยเฟยขวางหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ทันที “สามหาว!” กล่าวจบนางก็หยิบป้ายออกคำสั่งที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นางออกมา “เห็นป้ายออกคำสั่งนี้ก็เหมือนเห็นฝ่าบาท ยังมัวรีรอไม่รีบคุกเข่าอีก!”
เหล่าองครักษ์เห็นเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงบนพื้น
แต่หมิ่นกุ้ยเฟยในยามนี้กลับไม่รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“โธ่ถัง พี่สาวช่างน่าเกรงขามเสียจริง” นางบิดเอวส่ายศีรษะเดินมาเบื้องหน้าอี้กุ้ยเฟย มองป้ายออกคำสั่งในมือนางก่อนจะมองนาง “เหอะ มีป้ายออกคำสั่งของฝ่าบาทแล้วอย่างไร การบุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารมีโทษถึงประหารนี่คือกฎของวังหลวง แม้ฝ่าบาทจะเสด็จมาพวกเจ้าสองคนก็ยังต้องถูกจับอยู่ดี”
“ท่าทางการพูดของหมิ่นกุ้ยเฟยช่างใหญ่โตเสียจริง เปิ่นหวางจื่อแม้ตัวจะอยู่ในคุกคุมขังนักโทษประหารแต่ถึงอย่างไรก็เป็นองค์ชาย เจ้าในฐานะกุ้ยเฟยมาปรากฏตัวที่นี่ไม่ใช่ว่านับเป็นการบุกรุกเข้ามาเช่นเดียวกันหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวทว่าดูเหมือนจะกระทบแผลเขาจึงขมวดคิ้วรีบกุมหน้าอกไว้
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา เป็นไปดังคาดเป็นเพราะความโกรธทำให้บาดแผลของเขาเปิดเสียแล้ว
“เซ่าเฉิน” นางกังวลอย่างถึงที่สุดกำลังคิดจะรักษาบาดแผลให้เขา แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับส่ายศีรษะให้นาง
“เมื่อสบโอกาสให้ออกไปทันที วางใจเถอะข้าไม่เป็นอันใด” เขาแสร้งผลักนางออกแต่ยามที่ทั้งสองคนเข้าใกล้กันเพียงชั่วพริบตาก็กล่าวข้างหูนาง
มองหมิ่นกุ้ยเฟยอีกครา ซั่งกวนเซ่าเฉินแม้จะสวมชุดนักโทษและสะบักสะบอมไปทั้งตัว แต่ทั่วทั้งร่างกลับมีกลิ่นอายของผู้ยิ่งใหญ่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด “ไม่รู้ว่าหมิ่นกุ้ยเฟยมีพระราชโองการของเสด็จพ่อหรือ หากไม่มีเช่นนั้นเจ้าที่นับว่าบุกรุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารเช่นกัน สมควรจะได้รับโทษเช่นไรเล่า!”
หมิ่นกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็ไม่มีสีหน้าหวาดกลัว กลับยิ่งมีท่าทีหยิ่งผยอง “เกรงว่าองค์ชายรองคงยังไม่รู้ อีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะไม่ใช่หมิ่นกุ้ยเฟยอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหวางโฮ่ว!”
นางกล่าวโดยจงใจลากหางเสียงให้ยาว กล่าวจบดวงตาทั้งสองข้างก็หรี่ลงอย่างลำพองตน “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ข้ารับตำแหน่งหวางโฮ่วในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่นี้ไปอำนาจทั้งหมดของหวางโฮ่วล้วนอยู่ในมือข้า กล่าวได้ว่าทุกหนแห่งในวังหลวงข้าล้วนสามารถเข้าออกได้ตามใจ แต่อี้กุ้ยเฟยและเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง…”
นางกล่าว ทันใดนั้นก็หมุนกายหยิบป้ายประจำตำแหน่งชิ้นหนึ่งออกมาจากอก ดวงตาเฉียบแหลมพุ่งออกไปอีกครา “เจ้าสองคนบุกรุกคุกคุมขังนักโทษประหาร สมควรได้รับโทษเช่นไรเล่า!”
คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะมองป้ายประจำตำแหน่งของหวางโฮ่วให้หมิ่นกุ้ยเฟยแล้ว
ในใจของอี้กุ้ยเฟยเดือดดาลอย่างถึงที่สุด แต่กลับจำต้องข่มกลั้นไฟโทสะไว้ภายในใจ “มู่เอ๋อร์เป็นข้าที่พาเข้ามา หากเจ้ามีความสามารถก็ผ่านข้าไปให้ได้เสียก่อนเถอะ”
เห็นอี้กุ้ยเฟยปกป้องตนเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบส่ายศีรษะ “ไม่ เป็นหม่อมฉันขอร้องให้อี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงพาหม่อมฉันเข้ามา ไม่ว่าจะโทษใดหม่อมฉันก็จะรับผิดชอบเองเพคะ!”
“แปะ แปะ แปะ”
หมิ่นกุ้ยเฟยยิ้มเยาะพลางปรบมือ “พวกเจ้าสองคนช่างมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเสียจริง หากไม่รู้คงคิดว่าพวกเจ้าสองคนเป็นแม่ลูกกันจริงๆ แล้ว พวกเจ้าวางใจเถอะข้าหาได้จงใจมาเพื่อทำให้พวกเจ้าลำบาก แต่การบุกรุกเข้ามาในคุกคุมขังนักโทษประหารก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการลงโทษได้ ขอเพียงพวกเจ้ายอมรับผิดข้าก็จะยกโทษให้พวกเจ้าเป็นอย่างไร?”