เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 386 ใส่ความ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 386 ใส่ความ
เล่มที่ 13 ตอนที่ 386 ใส่ความ
“รับราชโองการ!”
ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงนี้ก็รีบออกจากห้องมารับราชโองการ
“ฝ่าบาทจะต้องมีรับสั่งให้ตรวจสอบเรื่องที่องค์ชายเจ็ดลอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารเป็นการส่วนตัวเป็นแน่ ญาติผู้พี่ในที่สุดพวกเราก็จะจัดการเขาได้อย่างตรงไปตรงมาแล้ว!” หนานกงอี้จือที่มาพบกลางทางควบคุมความตื่นเต้นดีใจไว้ไม่อยู่
“เสด็จพ่อทรงพระปรีชา เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่สามารถอภัยให้โดยง่าย เพียงแต่ไม่รู้ว่าพระองค์ที่ได้รับข่าวนี้ในเมืองหลวงจะตกใจเพียงใด”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวก่อนจะเดินมาถึงโถงด้านหน้า แต่ก็ต้องทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจเพราะผู้ที่มาประกาศราชโองการคือแม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดิน
“องค์ชายรองซั่งกวนเซ่าเฉินน้อมรับราชโองการเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากแม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินปรากฏตัว ก็ยกราชโองการในมือขึ้นโดยพลัน หลังจากเห็นทุกคนคุกเข่าตรงหน้าก็พอใจก่อนเขาจะเริ่มประกาศราชโองการ
“องค์ชายรองซั่งกวนเซ่าเฉินแอบชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวมีโทษกบฏ แม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินถูกส่งมารับหน้าที่คุมตัวกลับเมืองหลวงเพื่อเข้ารับการสอบสวน อย่าได้ขัดขืน จบราชโองการ!”
แม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินประกาศราชโองการจบ ก็มีทหารสองคนพุ่งเข้ามากำลังจะพาตัวซั่งกวนเซ่าเฉินออกไป
“เจ้าพูดอันใด? เปิ่นหวางจื่อชุบเลี้ยงกองกำลังทหารส่วนตัวหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองแม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ยามที่ทหารคิดจะพุ่งเข้ามาจับกุมเขา หนานกงอี้จือก็ยืนขวางเบื้องหน้าซั่งกวนเซ่าเฉินโดยพลัน “สามหาว ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าคือองค์ชายรองของราชวงศ์ และสิ่งที่พวกเรากราบทูลแก่ฝ่าบาทคือองค์ชายเจ็ดเป็นผู้แอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารเป็นการส่วนตัว เหตุใดจึงกลายเป็นองค์ชายรองไปได้?”
หนานกงอี้จือมองไปทางแม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินโดยพลัน “เจ้าไม่ใช่ว่าอ่านผิดไปหรือ? เปิดแล้วอ่านใหม่อีกครั้งเสีย!”
“องค์ชายรอง หนานกงซื่อจื่อ ราชโองการอยู่ตรงนี้เป็นความจริงหรือความเท็จพวกท่านมองดูก็รู้แล้ว แต่กระหม่อมได้รับราชโองการมาขอทั้งสองท่านอย่าได้ทำให้กระหม่อมลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบเขาก็ส่งสัญญาณมือให้ทหารสองคน “ไปเอาตัวมา!”
ทหารสองคนก้าวมาเบื้องหน้ากำลังจะพุ่งเข้ามาอีกครา
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไปภายในเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น
เดิมทีพวกเขาคิดว่าฮ่องเต้จะต้องมีราชโองการให้สอบสวนฉินเสียนถิงอย่างเป็นทางการ คาดไม่ถึงว่ารอมาเจ็ดวันกลับมีราชโองการให้จับกุมตัวซั่งกวนเซ่าเฉิน
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?
“หยุด ผู้ใดกล้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียวข้าจะทำให้คนผู้นั้นได้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของเข็มพิษของข้า ข้าจะดูว่าผู้ใดจะกล้า!” ยามที่ทหารเข้ามาใกล้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็หยิบเข็มเงินสองเล่มออกมาจากแขนเสื้อโดยพลัน
เข็มเงินถูกอาบยาพิษไว้แล้วหากซัดออกไปผู้ที่เข้ามาใกล้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทหารทั้งสองคนยืนอยู่ที่เดิมโดยพลัน และมองไปทางแม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินอย่างไม่แน่ใจ
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองเหตุใดต้องทำให้กระหม่อมลำบากใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ?” แม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท พวกท่านคิดจะขัดราชโองการหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ผู้ที่แอบชุบเลี้ยงกองกำลังทหารเป็นการส่วนตัวเห็นได้ชัดว่าคือองค์ชายเจ็ดฉินเสียนถิง เหตุใดฝ่าบาทจึงให้เจ้ามาจับกุมองค์ชายรอง?” หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น ในใจรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี หากนางเดาไม่ผิดนี่ต้องเป็นเล่ห์เหลี่ยมของฉินเสียนถิงเป็นแน่
“ใช่ พวกเราส่งจดหมายไปทางพิราบสื่อสารให้ฝ่าบาท เพื่อกราบทูลเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่แล้ว หรือฝ่าบาทมิได้รับข่าว?” หนานกงอี้จือรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าผิดพลาดตรงส่วนใด
แม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินมาจากเมืองหลวงเพื่อถ่ายทอดราชโองการโดยเฉพาะ หากบอกว่าเขาไม่รู้ข่าวนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้
หนานกงอี้จือเห็นเช่นนั้นก็หยิบก้อนตำลึงเงินก้อนหนึ่งจากอกยัดใส่มือเขาโดยพลัน “หากข้าจำไม่ผิดเจ้าคือหลิวซีที่เมื่อปีก่อนอาศัยท่านพ่อของข้าทำให้ได้รับตำแหน่งมา แม่ทัพใหญ่หลิวเจ้ามาจากเมืองหลวงจะต้องรู้เป็นแน่ว่าที่เมืองหลวงเกิดเรื่องอันใดขึ้น อย่างไรก็ขอให้แม่ทัพใหญ่หลิวช่วยชี้แจงเสียหน่อยเถอะ”
ได้ยินหนานกงอี้จือยกชื่อหนิงกั๋วโหวขึ้นมา หลิวซีก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมาโดยพลัน
ถูกต้อง หนิงกั๋วโหวเป็นผู้มีความสามารถที่มองความสามารถของเขาออก หากไม่ใช่เพราะยามนั้นหนิงกั๋วโหวชื่นชม เขาก็คงไม่อาจขึ้นมาอยู่ตำแหน่งนี้ได้อย่างทุกวันนี้ นับว่าเขาติดหนี้คนตระกูลหนานกงอยู่
“ซื่อจื่ออย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย ความจริงข้าน้อยก็รู้เพียงน้อยนิดยิ่งนัก” หลิวซีเอาก้อนตำลึงยัดใส่มือของหนานกงอี้จือกลับไปใหม่อีกครา เงินนี่เขาไม่อาจรับไว้ได้ “ข้าได้ยินเพียงว่าก่อนเกิดเรื่องขึ้นองค์ชายเจ็ดได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวังหลวงกลางดึก หลังจากองค์ชายเจ็ดออกจากวังหลวงก็มีข่าวลือว่าฝ่าบาททรงประชวรหนัก จากนั้นไม่นานก็มีราชโองการให้ข้ามาพาตัวองค์ชายรองกลับไปขอรับ”
เห็นท่าทีเดือดดาลสายหนึ่งของทุกคน หลิวซีก็ทอดถอนใจอย่างพ่ายแพ้ “ขอทุกท่านอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ รับสั่งของฝ่าบาทข้าน้อยมิกล้าไม่ทำตาม แต่หากมีความเข้าใจผิดอันใดเชื่อว่าหลังกลับไปที่เมืองหลวง ฝ่าบาทจะต้องช่วยลบล้างความไม่เป็นธรรมที่องค์ชายรองได้รับเป็นแน่”
ได้ยินคำพูดนี้ของหลิวซี หลิงมู่เอ๋อร์ก็เข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาโดยพลัน “ฉินเสียนถิงต้องรู้ว่าพวกเราพบความลับที่เขาแอบชุบเลี้ยงกำลังทหารส่วนตัวไว้แล้วเป็นแน่ เขาใช้วิธีขโมยร้องจับโจร [1] ก้าวนำหน้าไปใส่ความพวกเราให้ฝ่าบาทฟังก่อน ฝ่าบาทเดิมก็ทรงประชวรหนักเพราะเรื่องของหวางโฮ่ว ทั้งยังได้รับความทุกข์ระทมจากเรื่องนี้จนล้มป่วย เซ่าเฉินพวกเราควรทำอย่างไรดี?”
“มู่เอ๋อร์พูดถูก เรื่องต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่” หนานกงอี้จือก็รู้สึกว่าการวิเคราะห์ของหลิงมู่เอ๋อร์สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง “เห็นได้ชัดว่าเป็นฉินเสียนถิงที่มีใจคิดก่อกบฏ มายามนี้กลับใส่ความญาติผู้พี่อีก รอพวกเรากลับไปเมืองหลวงข้าจะไปถามกับเขาให้ชัดเจน”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของทุกคน จิตใจที่เดิมทีตึงเครียดของหลิวซีก็ผ่านคลายลง “ในเมื่อทุกท่านล้วนเข้าใจเรื่องราวแล้ว เช่นนั้นขอเชิญองค์ชายรองตามพวกเราไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ ทหารพาคนไป!”
“ช้าก่อน!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างมีโทสะ “องค์ชายรองไปกับพวกเจ้าไม่ได้!”
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองคิดจะขัดราชโองการหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลิวซีรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครา
“เรื่องที่ไม่ได้ทำหากถูกคนของเจ้าพาตัวไปเช่นนี้ ไม่ใช่นับเป็นการยืนยันว่าองค์ชายรองเป็นกบฏจริงๆ หรือ? พวกเราจะไปเมืองหลวงกับเจ้า แต่ต้องไม่ใช่ด้วยวิธีที่ถูกเจ้าพาตัวไป!” หลิงมู่เอ๋อร์ยืนอยู่เบื้องหน้าซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างดื้อดึง
เห็นแม่นางน้อยมีท่าทีปกป้องตัวเองเช่นนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดิมทีจิตใจรู้สึกกังวลก็กลายเป็นใจอ่อนยวบโดยพลัน
“มู่เอ๋อร์นี่เป็นราชโองการ แม่ทัพใหญ่ก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน”
ได้ยินองค์ชายรองพูดแทนตัวเองเช่นนี้ หลิวซีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “องค์ชายรองทรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ! เจิ้งเฟยขององค์ชายรองนี่เป็นราชโองการพ่ะย่ะค่ะ หากองค์ชายรองไม่ไปกับพวกกระหม่อมจะเป็นการขัดราชโองการและหมิ่นเบื้องสูง ทางราชวงศ์บัญญัติไว้ว่าหากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนราชโองการ…”
“แล้วอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ให้โอกาสเขาพูดจนจบก็เชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น กลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์นั้นราวกับนางเป็นผู้สูงศักดิ์มาแต่กำเนิด
เห็นท่าทางเช่นนี้ของหลิงมู่เอ๋อร์ แม้แต่แม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินที่ฆ่าฟันศัตรูมามากมายนับไม่ถ้วนในสนามรบก็ยังรู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง เขามองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างลำบากใจ “องค์ชายรอง นี่…”
“มู่เอ๋อร์ อี้จือ เรื่องนี้ทั้งกะทันหันและดูมีเงื่อนงำ พวกเจ้าคาดเดาถูกต้องแล้วต้องเป็นเจ้าเจ็ดไปพูดอันใดต่อหน้าฝ่าบาทเป็นแน่ แต่ผู้บริสุทธิ์ก็ย่อมบริสุทธิ์ แม้เขาจะมีฝีปากเป็นเลิศแต่จะทำอันใดข้าได้?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหลิงมู่เอ๋อร์และหนานกงอี้จือ “ข้าจะไปกับเขา นี่เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อพวกเราไม่อาจไม่ทำตาม วางใจเถอะ หลังกลับไปเมืองหลวงขอเพียงข้าได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ข้าจะอธิบายเรื่องราวให้กระจ่าง เสด็จพ่อทรงพระปรีชาจะต้องเข้าใจข้าเป็นแน่”
กล่าวจบซั่งกวนเซ่าเฉินก็เดินไปเบื้องหน้าเหล่าทหารด้วยตัวเอง เห็นมือทั้งสองข้างของเขาถูกสวมโซ่เหล็กโดยพลัน หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเท่านั้น
“เซ่าเฉิน!” หลิงมู่เอ๋อร์อยากไล่ตามไป แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ส่งสัญญาณให้หนานกงอี้จือขวางไว้
กฎเกณฑ์ข้อบังคับของวังหลวงหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต่หนานกงอี้จือกลับจดจำได้ขึ้นใจ หากหลิงมู่เอ๋อร์บีบบังคับคุมตัวซั่งกวนเซ่าเฉินไว้ เกรงว่าคงจะได้รับโทษขัดราชโองการและหมิ่นเบื้องสูงจริงๆ
ญาติผู้พี่เข้าไปในคุกหลวงย่อมไม่เป็นไรเพราะมีจวนหนิงกั๋วโหวปกป้องเขาอยู่ อีกทั้งญาติผู้พี่ยังเป็นองค์ชายย่อมไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่หลิงมู่เอ๋อร์นั้นไม่เหมือนกัน
“มู่เอ๋อร์ใจเย็นลงก่อน ญาติผู้พี่จะไม่เป็นอันใด” หนานกงอี้จือบังคับกดหลิงมู่เอ๋อร์ให้อยู่ที่เดิม
“ไม่เป็นอันใดหรือ ฉินเสียนถิงตั้งใจให้คนมาจับเซ่าเฉินไป หากเขาเข้าไปในคุกหลวงก็ไร้หนทางถอยกลับมาแล้ว! ฉินเสียนถิงทำเช่นนี้จะต้องเตรียมการไว้แล้วเป็นแน่ ข้ากังวลว่าเรื่องทั้งหมดเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์ขัดขืน “ข้าต้องช่วยเซ่าเฉิน เขาจะไปเมืองหลวงไม่ได้!”
“มู่เอ๋อร์!” เห็นนางดื้อแพ่งถึงเพียงนี้ หนานกงอี้จือก็กดไหล่ทั้งสองข้างของนางไว้แน่น “เจ้าใจเย็นลงหน่อย! เจ้าฟังที่ข้าพูดนะ หากยามนี้เจ้าพาญาติผู้พี่หนีไปจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ การชิงตัวนักโทษมีโทษถึงประหาร หลิวซีย่อมสามารถเอาหัวเจ้าไปถวายให้ฝ่าบาทได้”
“จะเอาหัวข้าไป เช่นนั้นก็ต้องดูแล้วว่าเขามีความสามารถหรือไม่!” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เห็นหลิวซีอยู่ในสายตา “ยิ่งไปกว่านั้นท่านคิดว่าข้ากลัวตายหรือ?”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของญาติผู้พี่จึงหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ แต่มู่เอ๋อร์พวกเราต้องอยู่ข้างนอกจึงจะสามารถช่วยญาติผู้พี่ได้มิใช่หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เดิมทียังคิดจะขัดขืนฝ่าหนานกงอี้จือออกไป หลังจากได้ยินคำพูดนี้ก็สงบลงโดยพลัน
ใช่ หากฉินเสียนถิงใช้อุบายอันใดมาใส่ความซั่งกวนเซ่เฉินจริง นางที่อยู่ข้างนอกย่อมสามารถคิดหาวิธีช่วยเหลือซั่งกวนเซ่าเฉินได้!
“แต่ แต่เขาถูกจับกลับไปเมืองหลวงเช่นนี้ จะไม่นับเป็นการยืนยันว่ามีใจคิดก่อกบฏหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ปวดใจอย่างถึงที่สุด และซั่งกวนเซ่าเฉินก็ถูกคนของหลิวซีพาออกไปจากที่ว่าการของเมืองหรงเฉิงนานแล้ว
“เพราะเหตุนี้พวกเราจึงต้องหาวิธีคืนความเป็นธรรมให้ญาติผู้พี่”
หนานกงอี้จือกล่าว “ไม่รู้ว่าฉินเสียนถิงใช้วิธีใดจึงทำให้ฝ่าบาทเชื่อคำใส่ความของเขาได้ พวกเราต้องกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อตรวจสอบให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด จึงจะสามารถคิดแผนรับมือฉินเสียนถิงได้”
“ท่านพูดมีเหตุผล” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า ยามนี้จึงเพิ่งสงบใจลงได้ “ฉินเสียนถิงจะต้องรู้ว่าพวกเราล่วงรู้ความลับของเขาเป็นแน่จึงมาตลบหลังด้วยการใช้วิธีขโมยร้องจับโจร! การก่อกบฏมีโทษร้ายแรงถึงตัดหัว เขาต้องการให้เซ่าเฉินตาย พวกเราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาสมหวังแน่!”
“ถูกต้อง ฉินเสียนถิงลอบสังหารญาติผู้พี่อยู่หลายครั้งหลายครา ถึงเวลาที่ควรทำให้เขาได้ชดใช้การกระทำของตัวเองแล้ว!”
หนานกงอี้จือมองมั่วชิง “นำเบาะแสทั้งหมดที่ญาติผู้พี่พบว่าฉินเสียนถิงมีร่องรอยการมาเยือนเมืองหรงเฉินอยู่หลายครากลับไป เก็บข้าวของให้เรียบร้อยพวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวงทันที”
“ขอรับซื่อจื่อ” มั่วชิงไปทำหน้าที่โดยพลัน แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับนึกบางสิ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
“รอเดี๋ยว พวกเราไปที่เมืองผิงเฉิงก่อนเถอะ”
หนานกงอี้จือไม่เข้าใจความหมายของนาง “ไปทำอันใดที่เมืองผิงเฉิง? หลิวซีพาญาติผู้พี่ไปแล้วซึ่งจะต้องใช้ม้าเร็วรีบกลับไปยังเมืองหลวงเป็นแน่ หากพวกเราอยากช่วยญาติผู้พี่ก็ต้องรีบกลับไปให้ถึงเมืองหลวงก่อน หากไปเมืองผิงเฉิงจะเสียเวลาเอาได้”
“ข้าหลวงท้องถิ่นหลิ่วฉางอวี้ไม่ใช่บอกว่ารายงานเรื่องของหอวีรบุรุษไปหลายคราแต่กลับไม่ได้รับการจัดการหรือ ยิ่งไปกว่านั้นมิใช่ว่ายามที่องค์ชายเจ็ดอยู่ที่เมืองผิงเฉิงก็เคยรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ เช่นนั้นเหตุใดหนึ่งปีมานี้ที่องค์ชายเจ็ดกลับไปเมืองหลวงจึงไม่กราบทูลเรื่องหอวีรบุรุษต่อฝ่าบาทเล่า? พวกเราพาหลิ่วฉางอวี้ไปด้วยบางทีอาจมีประโยชน์”
ได้ยินคำพูดนี้ของหลิงมู่เอ๋อร์ หลังจากหนานกงอี้จือใคร่ครวญก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล “แต่พวกเราไปกลับเมืองผิงเฉิงอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวัน เอาเช่นนี้เถอะเดี๋ยวข้าจะให้มั่วชิงไปรับหลิ่วฉางอวี้ ส่วนพวกเราออกจากเมืองหรงเฉิงกลับไปเมืองหลวงกันก่อน”
“เช่นนั้นก็ได้” หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงซั่งกวนเซ่าเฉิน ทั้งยังเกรงว่าฉินเสียนถิงจะยังมีแผนร้ายอันใดรอพวกเขาอยู่ก็ทำได้เพียงยอมประนีประนอมเท่านั้น
เชิงอรรถ
[1] ขโมยร้องจับโจร หมายถึง พูดปัดความผิดของตัวเองให้ผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองพ้นจากความผิด