เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 372 ช่วยออกมา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 372 ช่วยออกมา
เล่มที่ 13 ตอนที่ 372 ช่วยออกมา
“พวกเรามาที่นี่เพื่อพาเจ้าออกไป เลิกพูดเถอะ ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน!” ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงมู่เอร์มองไปเบื้องหน้าอย่างตึงเครียด “ยังไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสู้ไม่ได้?”
เห็นเพียงความเร็วของซั่งกวนเซ่าเฉินนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ราวกับความสามารถในการสังหารคนที่ซ่อนเร้นอยู่ของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา มาหนึ่งคนเขาก็สังหารหนึ่งคน มาสองคนเขาก็สังหารสองคน ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยไอสังหาร
หลังมั่วชิงรู้ข่าวก็รีบพาเหล่าประชาชนพุ่งเข้ามา เดิมทีเป็นการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งความหวังแต่พวกเขาก็ยังชนะมาได้
“คุ้มกันฮูหยินและอี้จือหนีไปก่อน!” ซั่งกวนเซ่าเฉินจัดการคนที่เหลืออยู่ พลางออกคำสั่งกับมั่วชิง
มั่วชิงเห็นสถานการณ์ตรงหน้า หลังพยักหน้าก็รีบวิ่งไปข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์ “พระชายารถม้ามารออยู่ข้างนอกนานแล้ว พวกเราไปกันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ได้” หลิงมู่เอ๋อร์และมั่วชิงช่วยกันพยุงหนานกงอี้จือ ยามที่เดินมาถึงหน้าประตูซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยังต่อสู้ติดพันอยู่กับศัตรู หลิงมู่เอ๋อร์อยากจะไปช่วยเขาเป็นอย่างยิ่งแต่นางรู้ว่าหากนางไปก็มีแต่จะภาระของเขาเท่านั้น
“เซ่าเฉินระวังตัวด้วย!” หลังสิ้นคำพูดหลิงมู่เอ๋อร์และมั่วชิงก็ช่วยกันพาหนานกงอี้จือออกมาจากธนาคารนอกกฎหมาย
ข้าหลวงท้องถิ่นไม่มีทักษะการต่อสู้ หลังจากเขาพาคนไปสร้างความวุ่นวายที่หอหุยชุนแล้วก็มานั่งรออยู่ในรถม้าเงียบๆ หลังจากเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏตัวเขาก็รีบเข้าไปช่วยพยุงขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง “พระชายาขึ้นรถม้าเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่กล้าชักช้ารีบพยุงหนานกงอี้จือขึ้นไป แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยังไม่ออกมา
“พระชายา?” ข้าหลวงท้องถิ่นก็ตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะไปเลยหรือไม่ หากไปเลยก็นับเป็นการทิ้งองค์ชายรอง แต่หากยังไม่ไปคนของหอวีรบุรุษก็อาจพุ่งเข้ามาได้ทุกเมื่อ
“พวกเราไปก่อนเถอะ เขาต้องไม่เป็นไรแน่นอน” หลังหลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวออกไป
แส้ในมือของข้าหลวงท้องถิ่นเฆี่ยนลงไปบนตัวม้าโดยพลัน ม้าที่ตื่นตกใจตะบึงรถม้าออกไปด้วยความเร็ว แต่ดีที่ซั่งกวนเซ่าเฉินออกมาในยามนี้เอง หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง “เซ่าเฉินทางนี้!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้วิชาตัวเบาทะยานร่างขึ้นไปบนรถม้า คนชุดดำสองคนที่ไล่ตามออกมาด้านหลังเห็นเช่นนั้นก็โยนกริชทิ้งลงบนพื้นอย่างผู้พ่ายแพ้
เพื่อป้องกันไม่ให้คนของหอวีรบุรุษมาสร้างเรื่องเหมือนก่อนหน้านี้ จนการรักษาของหนานกงอี้จือล่าช้า พวกเขาจึงไม่ได้กลับไปยังที่พักของหนานกงอี้จือที่พักอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ไปพักที่ที่ว่าการแทน
“พระชายา เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ข้าหลวงท้องถิ่นนำทางอยู่ข้างหน้า พวกเขาถูกพาไปในห้องที่สะอาดสะอ้านห้องหนึ่ง มั่วชิงและซั่งกวนเซ่าเฉินรีบพยุงหนานกงอี้จือขึ้นไปบนเตียง
เพราะการสั่นสะเทือนของรถม้า บาดแผลที่ไม่ง่ายกว่าจะปิดสนิทของหนานกงอี้จือจึงเปิดออกทั้งหมด หากกล่าวว่าเขากลายเป็นมนุษย์เลือดแล้วก็หาใช่เรื่องเกินจริง
“กระหม่อมจะไปเชิญหมอมาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงท้องถิ่นตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่งรีบจะหมุนกายออกไป
“ไม่ต้องหรอก มู่เอ๋อร์เป็นหมอที่ดีที่สุด” ซั่งกวนเซ่าเฉินขวางเขาไว้
ข้าหลวงท้องถิ่นคาดไม่ถึงว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรองจะมีทักษะทางการแพทย์ หลังจากเขาพยักหน้าก็คิดอันใดขึ้นมาได้ “เช่นนั้น เช่นนั้นกระหม่อมจะไปเตรียมน้ำร้อนมาพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นเขาค่อนข้างมีไหวพริบและความกระตือรือร้นซั่งกวนเซ่าเฉินก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง หลังออกคำสั่งกับมั่วชิงคราหนึ่งทุกคนก็มารออยู่นอกห้อง
“ฝากเขาไว้กับข้าเถอะ พวกท่านไม่ต้องห่วง” ก่อนจะปิดประตูหลิงมู่เอ๋อร์ก็ส่งสายตาให้ทุกคนวางใจ
ในห้องเหลือเพียงหนานกงอี้จือและหลิงมู่เอ๋อร์สองคน
“ทนหน่อย มันจะเจ็บมาก” นางต้องทำความสะอาดบาดแผลของเขา แต่บาดแผลของเขามีทั้งแผลใหม่และแผลเก่าผสมปนเปกันจึงจัดการได้ยากยิ่ง
“ขอเพียงไม่ตาย ความเจ็บปวดไม่กี่ครั้งจะนับว่าเป็นอันใดได้?” หนานกงอี้จือยิ้มอย่างอ่อนแรง แต่ยามที่น้ำพุวิญญาณถูกราดลงบนร่างเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องโหยหวนออกมา “โอ๊ย!! หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าจะลอบฆ่าข้าหรือ!”
ทุกคนที่รออยู่นอกห้องอย่างอดทนมาโดยตลอดได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนานี้ก็พากันใจสั่นสะท้าน มั่วชิงและข้าหลวงท้องถิ่นมองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างพร้อมเพรียง คาดไม่ถึงว่าฝ่ายหลังกลับนิ่งสงบเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องห่วง ยิ่งเขาร้องเสียงดังก็ยิ่งแสดงว่าเขาไม่เป็นอันใด” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างสงบ เดิมทีความจริงเขาก็กังวลใจแต่หลังจากได้ยินเสียงร้องนี้ของหนานกงอี้จือ เขาก็ไม่คิดเช่นนั้นอีกโดยพลัน
เจ้าเด็กนี่พลังล้นเหลือมากทีเดียว
“หลิงมู่เอ๋อร์ข้าว่าปกติเจ้าก็ปฏิบัติต่อญาติผู้พี่เช่นนี้เหมือนกันหรือ? เจ้าฉวยโอกาสเอาคืนข้าใช่หรือไม่?” ถูกความเจ็บปวดทำให้เหงื่อบนหน้าผากหยดลงมา หนานกงอี้จือก็รู้สึกว่าตัวเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย
เห็นท่าทางจริงจังของหลิงมู่เอ๋อร์เขาก็กลอกตาขาว “ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้ต้องการฆ่าข้าจริงๆ กระมัง”
“บอกท่านไปหมดแล้วว่าจะเจ็บมากให้ท่านอดทนเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าผู้ชายอกสามศอกเช่นท่านจะอดทนต่อความเจ็บปวดไม่ได้ถึงเพียงนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา เพราะนางพบว่ามีเพียงการหยอกล้อที่จะสามารถทำให้เขากระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ สิ่งที่หนานกงอี้จือต้องการมากที่สุดในยามนี้ก็คือความกระปรี้กระเปร่า
“เพ้อเจ้อ!”
ถูกทำให้อับอาย หนานกงอี้จือก็โกรธเป็นอย่างมาก “ใครบอกว่าข้าทนความเจ็บปวดไม่ได้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันทรมานข้าอย่างไร แต่ข้าแม้แต่ประโยคเดียวก็หาได้พูดกับพวกมันให้มากความ”
“ใช่ๆๆ ท่านช่างเก่งกาจ ท่านช่างแกร่งกล้ายิ่ง เช่นนั้นเดี๋ยวจะยิ่งเจ็บมากขึ้น ท่านต้องทนเจ็บต่ออีกหน่อยแล้ว” พูดจบหลิงมู่เอร์ก็โรยผงยาไปที่แผ่นหลังของเขาชั้นหนึ่งอีกครา เมื่อครู่เป็นแค่การทำความสะอาด ยามนี้แน่นอนว่าต้องห้ามเลือด
ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาอีกครา หนานกงอี้จือที่ไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อยก็เจ็บปวดจนถึงขั้นที่ทั้งร่างคนโดดขึ้นมา แต่ครั้งนี้เขาได้รับประสบการณ์มาแล้วจึงไม่ได้ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมา ผ้าห่มบนเตียงถูกเขาคว้าไว้แน่น ใบหน้าหล่อเหลาข่มกลั้นจนกลายเป็นสีเลือดหมู
“อืม การแสดงออกครั้งนี้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ดูเหมือนหนานกงซื่อจื่อของพวกเราจะพัฒนาขึ้นไม่น้อย”
“เจ้า…เจ้าจงใจนี่!”
หนานกงอี้จือโกรธอย่างยิ่งยวด “ข้าเห็นว่าครั้งก่อนยามที่รักษาญาติผู้พี่ก็ไม่ได้ใช้กำลังเช่นนี้ เจ้าตั้งใจเอาคืนข้าใช่หรือไม่?”
“ท่านหาได้ทำผิดอันใดต่อข้าแล้วเหตุใดข้าต้องเอาคืนท่านด้วย?” หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาคราหนึ่ง “แต่อาการบาดเจ็บรุนแรงยิ่ง ท่านทนผ่านความเจ็บปวดมาได้อย่างไรหรือ?”
ได้ยินคำพูดนี้หนานกงอี้จือก็จมลงสู่ความเงียบงัน
ถูกต้อง เจ็ดวันที่ผ่านมาเขาถูกทรมานราวกับอยู่ในนรก!
คนของหอวีรบุรุษราวแทบไม่ปล่อยเขาไว้แม้แต่เพียงชั่วครู่ หากไม่ทุบตีก็ใช้เครื่องทรมาน ถึงขั้นบังคับให้เขาบอกความลับของญาติผู้พี่ออกมา แต่เขาจะหักหลังญาติผู้พี่ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาพูดก็คงได้ตายจริงๆ แล้วดังนั้นเขาจึงอดทนไว้
แต่คนเหล่านั้นกลับยิ่งรุนแรงขึ้น หาได้ปฏิบัติกับเขาเหมือนมนุษย์ เขาถึงขั้นเคยคิดที่จะผูกคอปลิดชีพตัวเอง
แต่ยังดีที่เขาทนผ่านพ้นความทรมานมาได้
“บุรุษก็ควรมีท่าทีเช่นบุรุษ ความเจ็บปวดแค่นี้จะนับว่าเป็นอันใดได้?” หนานกงอี้จือกะพริบตา ดวงตาพยายามกลอกขึ้นบนราวกับอดกลั้นอันใดอยู่
เขาพบว่าไม่รู้หลิงมู่เอ๋อร์ทำอันใด แต่กลับสามารถทำให้ในใจของเขารู้สึกไม่สงบและเจ็บปวดจนเขาเกือบน้ำตาไหลออกมาแล้ว
“ความจริงหากเจ็บปวดเกินไปก็ตะโกนออกมา หรือจะร้องไห้ออกมาก็ได้มันจะทำให้ความเจ็บปวดของท่านบรรเทาลงได้” หลิงมู่เอ๋อร์มองความผิดปกติของเขาออก แม้ในใจจะเจ็บปวดแต่ภายนอกกลับแสร้งฝืนทำเป็นไม่สะทกสะท้าน
“ตลกแล้ว ลูกผู้ชายย่อมไม่หลั่งน้ำตาออกมาง่ายๆ เปิ่นซื่อจื่อตั้งแต่เกิดมายังไม่รู้เลยว่าน้ำตามีรสชาติเป็นเช่นไร!” หนานกงอี้จือจ้องตานาง
“เช่นนั้นหนานกงซื่อจื่อของพวกเราช่างแข็งแกร่งจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางเก็บมือที่ใช้ทายาขึ้นมา “ยังดีที่ร่างกายท่านล้วนบาดเจ็บที่ผิวหนังภายนอก ขอเพียงเปลี่ยนยาให้ตรงเวลาใส่ใจเรื่องการพักผ่อน นอนพักสักเดือนก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ว่า…”
“ทำไม? หรือพวกเขาวางยาพิษอันใดใส่ข้าด้วย แม้แต่เจ้าก็แก้พิษไม่ได้หรือ?” เห็นหลิงมู่เอ๋อร์มีท่าทีอึกอัก ในใจหนานกงอี้จือก็ไม่สงบเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่ แต่เป็นใบหน้าของท่าน”
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะรู้ว่าการทำเช่นนี้โหดร้ายเป็นอย่างมาก แต่นางก็รู้สึกว่าควรบอกความจริงกับเขาไป นางหยิบกระจกบนโต๊ะมา “ใบหน้าของท่านได้รับบาดเจ็บรุนแรง ข้าพยายามสุดความสามารถแล้ว…”
“อ๊าก!!”
คำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเพียงเสียงร้องอย่างน่าเวทนายิ่งกว่าหมูถูกเชือดดังขึ้นจากในห้องอีกครั้ง
มั่วชิงและข้าหลวงท้องถิ่นที่อยู่นอกห้องตกใจอีกครั้ง “เหยียพวกเราจะไม่เข้าไปดูจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดิมทีมือทั้งสองข้างยังกอดอกก็วางมือทั้งสองข้างลงเช่นกัน เป็นความจริงที่เสียงนี้ทำให้คนรู้สึกเวทนาเกินไปจริงๆ แต่เขาเชื่อใจหลิงมู่เอ๋อร์
“บนโลกนี้ไม่มีอาการป่วยใดที่มู่เอ๋อร์รักษาไม่ได้ พวกเราอดทนรอก็พอ”
ในห้องยามที่หนานกงอี้จือมองใบหน้าของตัวเองในกระจกที่ถูกทำลาย เขาก็ตะลึงงัน “ไม่ เป็นเช่นนี้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่ข้า หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าล้อข้าเล่นใช่หรือไม่!”
คาดไม่ถึงว่าการตอบสนองของเขาจะมากถึงเพียงนี้ “เมื่อครู่ยังบอกว่าตัวเองเป็นบุรุษ แล้วบุรุษผู้หนึ่งจะใส่ใจใบหน้าถึงเพียงนั้นได้อย่างไร”
“คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว [1] หลิงมู่เอ๋อร์ ที่ถูกทำลายมันไม่ใช่หน้าเจ้านี่!”
หนานกงอี้จือเสียใจจริงๆ แล้ว
เขาโยนกระจกไปด้านหนึ่งอย่างรุนแรง ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าเขาจะต้องทำเรื่องอันใดรุนแรง กลับเห็นเพียงเขาที่ทุกข์ใจทำท่าทางราวกับตัดสินใจอันใดได้
“นี่…หมดหวังแล้วจริงหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกท่าทางน่าขบขันของเขาทำให้อดไม่ได้ที่จะขำ ใช่ เขาเกิดมางดงามพราวเสน่ห์ถึงเพียงนี้ หากใบหน้าถูกทำลายเพราะเหตุนี้จริงๆ เกรงว่าเขาคงทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต
“มู่เอ๋อร์ พี่บุญธรรมขอร้องเจ้า ต้องรักษาใบหน้าของข้าให้ได้นะ ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถทำได้ใช่หรือไม่?” หนานกงอี้จือจับมือหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตึงเครียดโดยพลัน “เจ้าเป็นแม่นางเซียนแพทย์ พวกเขาบอกว่าไม่ว่าอาการป่วยใดเจ้าก็ล้วนรักษาให้หายได้ ดังนั้นข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องมีหนทางใช่หรือไม่ เจ้าช่วยข้าเถอะ!”
“ถูกทรมานจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ก็ล้วนยืนกรานจะไม่บอกความลับของญาติผู้พี่ของท่าน ยามนี่กลับมาขอร้องข้าเพราะใบหน้าหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งเชื่อว่าหนานกงอี้จือผู้นี้หาใช่ผู้ที่เรียบง่ายเหมือนที่เห็นภายนอกจริงๆ
“ท่านวางใจเถอะข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวก่อนจะลงมือรักษาใบหน้าของเขาโดยพลัน
ผิวหน้าที่ถูกทำลายย่อมอาศัยเพียงใช้ยาอย่างเดียวไม่ได้ นางต้องเปลี่ยนผิวหนังใหม่ด้วย
แม้การผ่าตัดเช่นนี้นางจะเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก แต่นางเชื่อในความสามารถของนาง
“ขั้นตอนนี้จะยาวนานยิ่งทั้งยังเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ข้าจะให้ท่านกินยาที่ทำให้หลับไป หากท่านเชื่อใจข้าก็นอนหลับไปดีๆ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
“แน่นอนว่าข้าเชื่อใจเจ้า!”
เดิมทีคิดว่าหนานกงอี้จือจะยังอ้อนวอนอย่างเจ็บปวดเหมือนเมื่อครู่ว่านางต้องพยายามให้ถึงที่สุด คาดไม่ถึงว่าหนานกงอี้จือจะเพียงแค่เลิกคิ้วและว่าง่ายเป็นอย่างยิ่ง
ยามรุ่งสาง
พวกซั่งกวนเซ่าเฉินทุกคนยังรออยู่ที่นอกห้องทั้งคืน
ยามที่เห็นว่าประตูห้องปิดสนิทไม่มีวี่แววว่าจะเปิดออก ในที่สุดมั่วชิงก็ทนต่อไปไม่ไหว “เหยียพวกเราจะไม่เข้าไปดูจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ? ในใจกระหม่อมสงบใจไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะองค์ชายรอง แม้เจิ้งเฟยขององค์ชายรองผู้นี้จะมีทักษะแพทย์สูงส่ง แต่ก็ไม่อาจรักษาทั้งคืนได้กระมังพ่ะย่ะค่ะ เอาเถิด ถึงจะรักษาทั้งคืนได้ แต่ท่านผู้นี้ก็ยังต้องพักผ่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงท้องถิ่นกล่าวเสริม
ซั่งกวนเซ่าเฉินก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน ตั้งแต่ได้ยินเสียงร้องของหนานกงอี้จือสองครั้ง ในห้องก็ไม่มีเสียงอันใดอีกแม้แต่นิดเดียว
เขาก้าวเดินคิดจะไปเคาะประตูเบื้องหน้า คาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู ประตูห้องที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก
“มู่เอ๋อร์…” เห็นร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ที่มาเปิดประตูตรงหน้า ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รีบพุ่งเข้าไปพยุงนางไว้อย่างมั่นคง
“ข้าเหนื่อยเกินไปต้องพักเสียหน่อย เซ่าเฉินท่านพยุงข้าไปที่ห้องได้หรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์กอดซั่งกวนเซ่าเฉิน นางพิงบนอกแกร่งของเขาราวกับจะหลับไปได้ทุกเมื่อ
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นตกใจเป็นอย่างยิ่ง “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ได้ ข้าจะพาเจ้าไปพักก่อน”
“พระชายาเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” มั่วชิงที่เห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติก็โผเข้ามาอย่างเคร่งเครียด ถึงขั้นยืดคอยาวมองเข้าไปในห้อง “หนานกงซื่อจื่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ หนานกงซื่อจื่อเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
เชิงอรรถ
[1] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว หมายถึง หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ