เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 369 ร่วงลง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 369 ร่วงลง
เล่มที่ 13 ตอนที่ 369 ร่วงลง
“คนสวยอย่าหนีเลย!”
คนทั้งสามไล่ตามหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่ลดละ และถูกนางล่อเข้าไปในตรอกตรงหัวมุมได้สำเร็จ
หลิงมู่เอ๋อร์ที่วิ่งหนีหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน นางหันกลับไปมองอันธพาลทั้งสามคนที่ไม่ทันสังเกตแม้แต่น้อย “ได้ ข้าจะไม่หนีแล้ว เหตุใดพวกเจ้าต้องมาตามจับข้า?”
“แน่นอนว่าเพราะอยากเชิญเข้าไปเป็นแขกที่บ้าน เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วหรือ?” หนึ่งในนั้นค่อยๆ เข้ามาใกล้หลิงมู่เอ๋อร์ ซึ่งในยามนี้แทบจะมาถึงตรงหน้านางแล้ว
“บ้านพวกเจ้าอยู่ที่ใด?” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม
หนึ่งในนั้นตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ “ไม่ถูก เหตุใดเจ้าจึงไม่หนีแล้วเล่า?”
“หากข้าวิ่งหนีอีก ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะตามไม่ทัน!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปตบกลางอากาศ
คนทั้งสามสังเกตได้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติจึงคิดจะหันหลังกลับไปโดยพลัน แต่น่าเสียดายที่ทั้งข้างหน้าและข้างหลังตรอกมีคนชุดดำสองคนปรากฏกายลงมา ซึ่งก็คือซั่งกวนเซ่าเฉินและมั่วชิง
“นังสารเลวเจ้าหลอกพวกข้า!”
ทั้งสามคนโกรธเกรี้ยวโดยพลัน แทบจะไม่มีการปรึกษาอันใดกันทั้งสามคนแยกกันลงมือ คนหนึ่งตรงไปเบื้องหน้าเพื่อรับมือซั่งกวนเซ่เฉิน คนหนึ่งหันหลังไปรับมือกับมั่วชิง ส่วนตัวหัวหน้าคิดจะจับหลิงมู่เอ๋อร์ยามที่จำเป็นก็จะเอานางมาใช้ข่มขู่
น่าเสียดายที่ทั้งสามคนมีฝีมือการต่อสู้เพียงชกต่อยได้ง่ายๆ เท่านั้น แม้จะเข้าต่อสู้ประชิดตัวเพียงแค่กับหลิงมู่เอ๋อร์ก็ล้วนไม่อาจเอาชนะได้
“พวกเจ้าเป็นใคร? ปล่อยข้าเสีย!” หนึ่งในนั้นต่อสู้ดิ้นรน หลิงมู่เอ๋อร์ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะเข่าของเขาอย่างไม่เกรงใจ บังคับให้เขาคุกเข่าลงบนพื้น
“พวกเราก็เป็นคนที่จะจับตัวคนของเจ้าอย่างไรเล่า!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว หยิบเข็มเงินสามเล่มออกมาจากกระเป๋าที่แยกไว้ แทงเข้าไปหลายจุด ทันใดนั้นก็ปล่อยเขาจากการจับกุม
ชายผู้นั้นคิดว่านางปล่อยตัวเองเพราะไม่ระวัง กำลังคิดจะหยัดกายขึ้นไปจับตัวหลิงมู่เอ๋อร์ คาดไม่ถึงว่าหลังจากเขาขยับตัวเพียงเล็กน้อยทั้งร่างจะแข็งทื่ออยู่บนพื้นราวกับถูกสกัดจุด นอกจากกะพริบตาและขยับปากไม่ว่าส่วนใดก็ล้วนไม่อาจขยับได้แล้ว
“นางชั่วเจ้าทำอันใดกับข้า”
ในขณะเดียวกันกับที่เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ซั่งกวนเซ่าเฉินและมั่วชิงก็พาอีกสองคนมาแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ใช้วิธีปิดกั้นจุดลมปราณของพวกเขาเช่นเดียวกัน
“วางใจเถอะเข็มเงินของข้าไม่ต้องการชีวิตของพวกเจ้า เพียงแค่ปิดกั้นจุดลมปราณของพวกเจ้าไว้ ขอเพียงพวกเจ้าบอกข้อมูลที่ข้าอยากรู้ ข้าก็จะไม่ทำร้ายพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ รออีกเดี๋ยวข้าจะฝังเข็มลงบนจุดใดในร่างกายของพวกเจ้าต่อก็บอกยากแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเข็มเงินมาข่มขู่ แต่กลับยิ้มเหมือนปีศาจร้ายเป็นพิเศษ
เห็นได้ชัดว่ามองดูอ่อนโยนเป็นสตรีงดงามที่มือไม่มีแรงฆ่าไก่ คาดไม่ถึงว่าจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นปีศาจสาวชั่วร้าย ทั้งสามคนตกใจกลัวแต่พวกเขาก็ยืนหยัดกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง “เพ้ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นใคร? ข้าขอเตือนเจ้าว่าให้รีบปล่อยข้าเสีย ไม่เช่นนั้นผู้นำหอของพวกเราไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขำกับคำขู่ของเขา “จะตายอยู่แล้วยังทำตัวเป็นเป็ดตายแล้วปากยังแข็ง พวกเจ้าเป็นคนของหอวีรบุรุษก็แล้วไปเถอะ แต่หากข้าเดาไม่ผิดพวกเจ้าสามคนเป็นเพียงลิ่วล้อ พวกเจ้าคิดว่าผู้นำหอที่ลึกลับผู้นั้นจะพยายามมาช่วยพวกเจ้าหรือ?”
ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ คนผู้นั้นที่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์จับกุมก็คำรามอย่างเดือดดาลด้วยความไม่พอใจ “ไร้สาระ เขาสองคนเป็นลิ่วล้อก็จริงแต่ข้าเป็นคนสนิทที่ท่านผู้นำหอเชื่อใจมากที่สุด แม่นางน้อยข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร แต่ในเมื่อเจ้ารู้ว่าพวกข้าเป็นคนของหอวีรบุรุษ ข้าขอเตือนให้พวกเจ้าปล่อยข้าในทันทีจะเป็นการดีที่สุด ไม่เช่นนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นจะทำไม? จะฆ่าพวกข้าหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์เหน็บแนม “เจ้าแน่ใจหรือว่ายามนี้เจ้ามีความสามารถพอ?”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่หลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินสบสายตากันก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งโดยพลัน
คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะโชคดีเช่นนี้จริงๆ จับคนสำคัญของหอวีรบุรุษได้ ดูท่าหนทางการช่วยเหลือหนานกงอี้จือจะอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
“ข้าไม่มีความสามารถแต่หากท่านผู้นำหอรู้เข้าว่าพวกเจ้ากล้าทำร้ายคนของหอวีรบุรุษ แม้จะเป็นสุดหล้าฟ้าเขียวท่านผู้นำหอก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป!” ชายผู้นั้นไม่ยอมจำนนและข่มขู่พวกเขาอีกครา
“เกรงว่าหากข้าปล่อยเจ้าไปยามนี้จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางใช้สายตาส่งสัญญาณให้มั่วชิง เป็นการบอกให้เขาพาคนผู้นี้ไป
ส่วนอีกสองคนหรือ ในเมื่อไม่สำคัญเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยผู้ที่เป็นภัยต่อผู้คนเช่นนี้ไว้อีก!
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ชายที่กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นคนสนิทของผู้นำหอวีรบุรุษ ก็ถูกพาไปยังสถานที่อันมืดทึบแห่งหนึ่ง เขากลอกลูกตามองไปรอบด้านก็พบว่าที่นี่คือคุกใต้ดินแห่งหนึ่งทำให้เขาหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“พวกเจ้าเป็นใครกัน!”
“พวกเราทั้งสามารถเอาชีวิตของเจ้าได้ แต่ก็ช่วยชีวิตเจ้าได้เช่นกัน!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ ก่อนเห็นเพียงนางหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาถือ และเอามาวางไว้บนคอของเขาอย่างไม่ระวังแม้แต่น้อย
ชายผู้นั้นตะลึงงัน เขาไม่เห็นแม้แต่น้อยว่ามือของนางขยับเช่นไร กริชเล่มนี้มาได้อย่างไรกัน?
“อย่ากลัวไปเลย ข้าเคยบอกแล้วว่าตราบใดที่เจ้าเต็มใจให้ความร่วมมือกับข้า ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า หากเจ้าไม่ยอมให้ความร่วมมือ ด้วยกริชที่ตัดเหล็กราวกับตัดโคลนได้จะปลิดชีวิตเจ้าโดยพลัน!”
กล่าวจบนางก็ลองขยับกริช บางทีนางอาจจะตัดคอเขาจริงๆ ชายผู้นั้นเห็นเข้าก็ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา “อย่า อย่าฆ่าข้า พวกเจ้าอยากรู้สิ่งใดข้าจะบอก ข้าจะบอก”
“บอกข้ามาว่าที่ซ่อนตัวของพวกเจ้าอยู่ที่ใด!” ซั่งกวนเซ่าเฉินเข้ามาใช้เท้าข้างหนึ่งเตะไปที่ท้องของเขาอย่างรุนแรง
เดิมทีคิดว่าสตรีตรงหน้าเป็นหัวหน้าใหญ่สุด ชายผู้นั้นพบว่าคนผู้นี้ที่ลงมือกับเขาอย่างกะทันหันมีวรยุทธ์แกร่งกล้าที่สุด “ข้า ที่ซ่อนตัวของหอวีรบุรุษของพวกเรามีอยู่ทั่วทั้งเมืองผิงเฉิง ไม่ทราบ ไม่ทราบว่าเจ้าถามถึงที่ใด?”
“ที่ที่ขังหนานกงอี้จือเอาไว้!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสริม
ชายผู้นั้นเบิกตากว้างโดยพลัน เขายกมุมปากแย้มยิ้มออกมา “ที่แท้ ที่แท้พวกเจ้าก็มาเพื่อซื่อจื่อไร้ค่านั่น”
ราวกับหาจุดอ่อนของพวกเขาพบ ชายผู้นั้นยิ้มอย่างได้ใจมากยิ่งขึ้น “พวกเจ้าคิดว่าหากรู้สถานที่ที่เขาถูกคุมขังแล้วจะสามารถไปพาเขาออกมาได้หรือ? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ผู้นำหอส่งคนมาเฝ้าเขานับร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดยังล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ แค่พวกเจ้าสามคนไปช่วยเขาไม่ได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะไม่บอกสถานที่ที่เขาถูกคุมขังอยู่ให้พวกเจ้าหรอก ฮ่ะ ฮ่าๆๆ”
ได้ยินเสียงชายผู้นั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกเพียงในท้องปั่นป่วนไปหมด “สุราคารวะไม่ยอมกินจะกินสุราลงทัณฑ์ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!”
เห็นเพียงครู่เดียวหลังกล่าวจบกริชในมือนางก็พลิกกลับมาโดยพลัน แทงเข้ามาในต้นขาของเขาโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือน
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเสียดฟ้ามาเข้าหู
“เป็นอย่างไร ยามนี้ยังกล้าปากแข็งอีกหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันกล่าว
เหงื่อเม็ดใหญ่ร่วงลงมาจากหน้าผากของชายผู้นั้น สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดซึ่งพยายามข่มกลั้นแดงก่ำ เดิมทีเขาพบว่าพวกเขามาหาหนานกงอี้จือ ดังนั้นจึงคิดข่มขู่ให้พวกเขาปล่อยตัวเองไป แต่คาดไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเกินไปถึงเพียงนี้
“ข้าจะบอก ข้าจะบอกแล้ว หนานกงอี้จือถูกขังอยู่ชั้นล่างของหอหุยชุน ขอร้อง พวกเจ้าได้โปรดอย่าลงมือกับข้าเลย” ชายผู้นั้นหายใจหนักหน่วงพูดออกมาอย่างยากลำบาก
มั่วชิงอธิบายโดยพลัน “หอหุยชุนเป็นหอนางโลมที่มีชื่อเสียงในเมืองผิงเฉิงพ่ะย่ะค่ะ แต่ชั้นล่างของมันไม่ใช่ว่าเป็นธนาคารนอกกฎหมายหรือ?” ครึ่งประโยคหลังเห็นได้ชัดว่าถามชายผู้นั้น
ชายผู้นั้นรีบพยักหน้า “ถูกต้อง ฉากหน้าเห็นเป็นธนาคารนอกกฎหมาย แต่แท้จริงข้างล่างชั้นสองชั้นสามเป็นหนึ่งในที่หลบซ่อนตัวของหอวีรบุรุษ หลังจากหนานกงอี้จือหนีไปวันนี้จึงถูกขังไว้ที่นั่นเป็นพิเศษ”
“สถานการณ์ของเขาในยามนี้เป็นเช่นไร?” นี่เป็นคำถามที่มีผลกระทบต่อซั่งกวนเซ่าเฉินมากที่สุด เขากระชากคอเสื้อของชายผู้นั้น และบีบคอเขาอย่างแรงจนคอเกือบหัก
“อย่าฆ่าข้า อย่า…” ชายผู้นั้นรู้สึกเพียงหายใจได้ยากลำบากราวกับกำลังจะตาย เขารีบร้องขอชีวิต “สิ่งที่พวกเจ้าอยากรู้ข้าก็บอกพวกเจ้าไปแล้ว อย่าฆ่าข้า”
“ตอบสามีข้ามา!” หลิงมู่เอ๋อร์ยกกริชขึ้นมาคิดจะแทงไปที่ต้นขาอีกข้างหนึ่งของเขา ชายผู้นั้นหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งรีบร้องเสียงแหลมออกมา
“อย่า! ข้าจะบอก” ยามที่ชายผู้นั้นหลับตาและลืมตาขึ้นอีกครา นอกจากความหวาดกลัวก็ยังมีความรู้สึกที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่หลายส่วน “ในเมื่อเขาเป็นสามีของเจ้า แต่เจ้ากลับยังออกมาล่อลวงพวกข้าหรือ? ข้า…”
คำพูดของเขายังไม่ทันจบก็เห็นสายตาที่ราวกับจะกินคนของซั่งกวนเซ่าเฉิน เขารีบแก้คำพูด “หนานกงอี้จือเขาไม่ยอมเชื่อฟังคิดจะหลบหนีอยู่หลายครา ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำหอยังสั่งให้คนส่งสาส์นมาบอกว่า เขามาเพื่อทำลายหอวีรบุรุษของพวกเรา พวกเราจะต้องฆ่าเขาดังนั้นหลังจากเขาถูกจับตัวมาก็ถูกเอาเข้าเครื่องทรมานอยู่ทุกวันจนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส”
หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินคำพูดนี้ของเขาสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ชายผู้นั้นรีบกล่าวเสริม “แต่พวกเจ้าวางใจ เขา เขายังไม่ตาย วันนี้เขายังหนีออกมาได้ หากมิใช่เพราะถูกคนของพวกเราเจอตัวเข้าเกรงว่าคงหนีไปได้ไกลแล้ว พวกเจ้าก็เห็นว่าเขายังมีแรงหนีก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเขายังไม่เป็นอันใดมิใช่หรือ?”
คำพูดนี้ก็หาได้ไร้เหตุผล เมื่อรู้สถานที่ที่ใช้ซ่อนตัวของหนานกงอี้จือพวกเขาก็วางใจ
“เมื่อครู่เจ้าเรียกหนานกงอี้จือว่าซื่อจื่อไร้ค่า เหตุใดเจ้าจึงรู้สถานะของเขา?” หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับจับปัญหาทั้งหมดในคำพูดของเขาได้
ซั่งกวนเซ่าเฉินส่งสายตาชื่นชมให้นางคราหนึ่ง ยามที่มองชายผู้นั้นอีกคราในแววตาก็มีไอสังหารแผ่ออกมา
ชายผู้นั้นหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งรีบก้มศีรษะหลับตาแน่น “เป็นผู้นำหอ เป็นผู้นำหอส่งสาสาส์นมาบอกพวกเราด้วยพิราบสื่อสาร ครึ่งเดือนก่อนเขาบอกพวกเราว่าจะมีซื่อจื่อผู้หนึ่งมาตรวจสอบพวกเรา ให้พวกเราจับตาดูประตูเมืองไว้ตลอด ผลคือสิบวันก่อนคนผู้นั้นก็มาที่เมืองผิงเฉิง เขามาถึงก็ซื้อที่พักซึ่งถูกทิ้งร้างมานานไปอย่างมีอำนาจ ทั้งยังมาขัดขวางงานของพวกเราอยู่หลายคราและทำร้ายคนของหอวีรบุรษของพวกเราอยู่หลายครั้ง แต่หลังจากการตอบโต้กลับของพวกเราหลายคราเขาก็ได้รับบาดเจ็บ และพ่ายแพ้อยู่หลายครั้ง ดังนั้น ดังนั้นพวกเราจึงเรียกเขาว่าซื่อจื่อไร้ค่า”
นึกขึ้นได้ว่าหนานกงอี้จืออาจมีความสำคัญกับพวกเขามาก ชายผู้นั้นจึงรีบกล่าวเสริม “แต่คำเรียกเช่นนั้นหาใช่ข้าที่เรียก ไม่ใช่ข้าจริงๆ”
“เช่นนั้นพวกเจ้าจับเขาได้อย่างไรบอกมา!” ซั่งกวนเซ่าเฉินรวบรวมกำลังภายในที่ฝ่ามือคิดจะโจมตีเขา
ชายผู้นั้นตกใจกลัวรีบตอบ “เป็น เป็นหัวหน้าผู้คุมหางเสือของพวกเราที่จงใจปล่อยข่าวลวงล่อคนออกมา ยิ่งไปกว่านั้นคนของเขายังถูกใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำ ยามที่เหลือเพียงเขาคนเดียวพี่น้องของพวกเราร้อยคนก็ปิดล้อมเขาไว้และพาตัวเขาไป เพื่อขัดขวางไม่ให้คนหาเจอพวกเราจึงเคลื่อนย้ายตำแหน่งอยู่หลายครั้ง เพราะเหตุนี้จึงไม่เผยร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย”
ชายผู้นั้นกล่าว ตัวเองล้วนยังรู้สึกสงสัย “แต่พวกเราปิดบังเรื่องนี้ไว้ เหตุใดพวกเจ้าจึงรู้ว่าหนานกงอี้จือถูกพวกเราจับไว้ได้เล่า?”