เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 367 ซ่อนตัว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 367 ซ่อนตัว
เล่มที่ 13 ตอนที่ 367 ซ่อนตัว
“สองคนนั้นเห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยู่ตรงนี้เหตุใดจู่ๆ จึงหายไปเล่า?” คนผู้หนึ่งกล่าว เสียงของคนผู้นี้คล้ายชายชุดดำที่บัญชาการกองทัพทหารนับพันหมื่นบนยอดเขาอย่างถึงที่สุด
“ผู้อาวุโสไม่พบศพของสองคนนั้นเลยขอรับ เหตุใดจึงแปลกประหลาดถึงเพียงนี้?” เสียงผู้ที่หอบหายใจเสียงหนึ่งตอบกลับ
“เป็นไปไม่ได้ มือธนูของข้าอยู่รอบด้านอย่าว่าแต่คนผู้หนึ่ง แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ไม่อาจรอดออกไปได้ จงหาอย่างละเอียดอีกรอบ!” ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสออกคำสั่ง เสียงกรอบแกรบดังขึ้นมาที่ข้างหูโดยพลัน
หลิงมู่เอ๋อร์กอดแขนซั่งกวนเซ่าเฉินแอบยิ้มอยู่ในมิติ แต่พวกเขายังไม่รู้ความสามารถพื้นฐานของมิติจึงไม่กล้าส่งเสียงออกไปตามอำเภอใจ
“เรียนผู้อาวุโสหาแล้วแต่ไม่พบเลยขอรับ!” เพียงไม่นานเสียงรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาก็ดังขึ้นอีกครา
“ไม่ได้เรื่อง แค่คนสองคนยังหาไม่เจอท่านผู้นำหอเลี้ยงดูให้พวกเจ้ากินสิ่งใดกัน!” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวแต่เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ผู้นำหอเคยบอกว่าตัวสตรีผู้นั้นมีสมบัติลับอยู่ หรือเป็นเพราะสมบัตินั่นทำให้พวกมันหนีไปได้?”
เสียงนี้ราวกับพึมพำอยู่กับตัวเองคนเดียว แต่กลับมีคนข้างกายเห็นพ้องอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสกล่าวถูกต้อง หรือนี่จะเป็นคุณสมบัติของสมบัตินั่นขอรับ? ท่านก็เห็นว่าสัตว์ป่ามากมายถึงเพียงนี้พวกเขาก็จัดการเอาชนะได้ง่ายๆ สองคนนี้ตกลงแล้วคือผู้ใดเหตุใดจึงร้ายกาจถึงเพียงนี้ขอรับ?”
“เป็นผู้ใดก็หาใช่เรื่องที่เจ้าต้องถาม!” ผู้อาวุโสเห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะบอกความลับแท้จริงแก่ลูกน้อง เขาตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “จงค้นหาต่อไป ทั้งลานล่าสัตว์ถูกพวกเราล้อมเอาไว้หมดแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าจะหาพวกมันไม่เจอ!”
“ขอรับ แต่ท่านผู้อาวุโสพวกเราต้องรายงานเรื่องนี้แก่ผู้นำหอหรือไม่ขอรับ?” เสียงของคนผู้หนึ่งกล่าวเตือน
“ผู้นำหออยู่ไกลเป็นพันลี้เจ้าจะไปรายงานหรือ ไร้สาระ!” ผู้อาวุโสดูเหมือนจะชกคนผู้นั้น เพราะหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในมิติได้ยินเสียงร้องโอ๊ยอย่างน่าเวทนาของคนผู้นั้น
“ผู้นำหอส่งมอบอำนาจทั้งหมดในเรื่องนี้ให้ข้าแล้ว จำไว้ว่าภารกิจของพวกเราคือการฆ่าสองคนนั้น แล้วค่อยไปปลิดชีพคนที่อยู่ในคุกใต้ดิน แต่ยามนี้ยังหาสองคนนั้นไม่พบก็นับเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของพวกเรา หากท่านผู้นำหอล่วงรู้เข้าพวกเราย่อมต้องได้รับผลที่ตามมา รีบไปหาเสีย!”
“ขอรับ!”
เพียงชั่วพริบตาเสียงฝีเท้าสลับซับซ้อนก็ดังขึ้นข้างหูอีกครา
ดูท่าคนเหล่านั้นจะแยกย้ายกันไปแล้วเพื่อตามหาพวกเขา
หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสัญญาณมือให้ซั่งกวนเซ่าเฉินเพื่อบอกให้เขาอยู่ที่เดิมก่อน นางใส่ยาให้เขาจนกระทั่งเสียงทั้งหมดข้างหูหายไปจนสิ้น นางก็เพิ่งส่งเสียงไอออกมาอย่างระมัดระวัง
“ดูท่าเสียงของพวกเราที่นี่หาได้ทะลุออกไป เซ่าเฉินท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
นางมองสำรวจเขาขึ้นลงรอบหนึ่งก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแขนของเขาที่ได้รับบาดเจ็บ แต่แผ่นหลังเองก็มีบาดแผลจากคมดาบมากมายเช่นกัน
“ข้าไม่เป็นไรรีบให้ข้าดูมือของเจ้าเร็วเข้าว่าเป็นเช่นไรบ้าง?” ซั่งกวนเซ่าเฉินพลิกมือจับข้อมือของนางไว้ เมื่อเห็นว่าบนนั้นมีบาดแผลที่ลึกลงไปหลายชุ่น เขาก็ปวดใจอย่างยิ่งยวด “มาเร็วข้าจะใส่ยาให้เจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มมองความเคร่งเครียดของเขา ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “นี่เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยไม่ถึงตายหรอก ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดท่านจึงไม่สงสัยเรื่องมิตินี้แม้แต่น้อยเลยเล่า?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเพียงเลิกคิ้วกวาดตามองไปรอบด้าน แต่เพียงชั่วพริบตาเขาก็พบว่ามือของนางหยุดชะงักไปจึงใส่ยาให้นางอย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง “ข้ามิได้สนใจเรื่องนี้เลย ข้ายอมรับว่าเรื่องนี้ทำให้คนตกตะลึงมากจริงๆ แต่บาดแผลของเจ้าสำคัญที่สุด”
เห็นท่าทางอ่อนโยนของเขา ในก้นบึ้งจิตใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกซาบซึ้ง นางยืดคอจุมพิตลงบนมุมปากของเขา ยามที่เขากำลังตกตะลึงก็จับมือของเขาไว้โดยพลัน “เอาเถิดบาดแผลของข้าหาได้เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องตื่นตูมเกิดเหตุเช่นนี้ พวกเรารีบไปสำรวจฐานลับของท่านกันเถอะ”
เขาไม่สงสัยแต่นางสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
นางแทบจะรอไม่ไหวจนอยากขุดความลับของมิติแห่งนี้โดยทันที
“มาเร็วข้าจะแนะนำท่านเสียหน่อย นี่คือน้ำพุวิญญาณ ทุกครั้งยามที่ท่านได้รับบาดเจ็บข้าก็ล้วนใช้สิ่งนี้ล้างบาดแผลให้ท่านทั้งยังป้อนให้ท่านดื่มด้วย น้ำพุวิญญาณนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งไม่เพียงแต่ช่วยเสริมพลังหยิน แต่ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีให้ใช้ไม่หมดสิ้นด้วย เป็นอย่างไรน่าอัศจรรย์ยิ่งใช่หรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่บ่อน้ำลึกที่ใกล้ที่สุดพลางกล่าว
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองตามไปยังสถานที่ที่นางชี้นิ้วไป เห็นเพียงบ่อน้ำลึกที่มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาไม่หยุด แต่น้ำพุกลับไม่กระเด็นออกมาแม้แต่หยดเดียวท่าทีราวกับจะไม่หยุดไหลไปตลอดกาล
เขาใช้ฝ่ามือรองมาดื่มอึกหนึ่งก็พบว่าหวานอร่อยและใสสะอาดเป็นอย่างยิ่ง เขายกริมฝีปาก “ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปจริงๆ”
“ที่อื่นก็ยังมีความอัศจรรย์อีกนะ” หลิงมู่เอ๋อร์พาเขาไปยังที่ดินสองผืนเบื้องหน้า “สำเนามิติของท่านเหมือนมิติของข้ายามที่ยังมิถูกขุดเลย ที่นี่มีที่ดินอยู่สองผืนไม่ว่าท่านจะปลูกสิ่งก็จะล้วนอุดมสมบูรณ์กว่าข้างนอก ที่สำคัญหากผลผลิตข้างนอกต้องใช้เวลาปลูกหนึ่งปีที่นี่จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เป็นอย่างไรรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อเลยใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ในใจคิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นองค์ชายที่คาบช้อนทองมาเกิด เกรงว่าเขาคงไม่เข้าใจหลักการเรื่องการเพาะปลูกอันใด เช่นนั้นที่ดินผืนนี้ก็เป็นของนางแล้ว
ในมิติของนางเพาะปลูกสมุนไพรและผักส่วนหนึ่ง เช่นนั้นที่นี่นางจะปลูกเพียงผักและอาหารทั้งหมด เช่นนี้หากพวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันจริงๆ พวกเขาก็ไม่อดตายแล้ว
“มีสมบัติที่วิเศษถึงเพียงนี้ในโลกด้วยจริงหรือ?” ในที่สุดซั่งกวนเซ่าเฉินก็ถูกมันดึงดูดความสนใจ “แต่มู่เอ๋อร์เจ้าได้รับสมบัตินี้มาได้อย่างไร?”
“ความลับ!”
หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นใส่เขาอย่างซุกซน “แต่หากท่านยืนกรานจะถามข้า ความจริงข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันตั้งแต่เกิดมาข้าก็มีของสิ่งนี้แล้ว”
ในยามนี้หลิงมู่เอ๋อร์ได้พาเขามาที่เรือนเก่าอันทรุดโทรมตรงหน้าแล้ว เป็นไปดังคาดเหมือนกับที่นางพบเจอเมื่อคราแรก ในเรือนทั้งหลังธรรมดาเป็นอย่างยิ่งมีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว เตียงหนึ่งหลัง และมีหนังสือแนะนำเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
นางไปอ่านอย่างละเอียดสุดท้ายก็พยักหน้า “ที่แท้กฎเกณฑ์ทุกอย่างก็ล้วนเหมือนกัน ขอเพียงท่านใช้สอยมิติอย่างสมเหตุสมผล ขุดค้นความสามารถของมิติให้มากมิตินี้ก็จะขยายออก เรือนก็จะเปลี่ยนไปหรูหรางดงามมากยิ่งขึ้นเช่นกัน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองพิจารณาเรือนหลังนี้รู้สึกราวกับฝันไป พูดตามจริงเขายังไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงลองดึงเก้าอี้มานั่งลงผลคือเขาพบว่าเก้าอี้ตัวนี้เป็นของจริง
“น่าอัศจรรย์นัก ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว พวกเราอยู่ที่นี่โดยที่คนข้างนอกไม่อาจพบเจอทั้งยังไม่ได้ยินเสียงของพวกเราด้วยจริงๆ หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ถูกต้อง ดังนั้นก่อนหน้านี้ยามที่อามู่เต๋อและฉินเสียนถิงคิดจะทำร้ายข้า ข้าจึงซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
หลิงมู่เอ๋อร์พยายามใช้จิตใจคิดรับรู้ถึงภายนอกแต่นางก็ยังมองไม่เห็นทุกสิ่งข้างนอก “น่าเสียดายที่ความสามารถของมิติพื้นฐานยังต่ำเกินไปดังนั้นพวกเราจึงไม่เห็นภายนอก แต่ไม่เป็นไรข้าจะช่วยท่านดูแลจัดการมันเอง ขอเพียงสามารถมองเห็นข้างนอกได้ท่านก็จะพบว่าข้างนอกมีคนแอบสังเกตการณ์อยู่หรือไม่ ทั้งยังสามารถเข้าออกได้ตามใจอีกด้วย!”
ได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รู้สึกเพียงว่าบุญหล่นทับ ตกลงเขาตบแต่งกับสมบัติล้ำค่าเช่นไรกัน
“มู่เอ๋อร์ มิน่าเล่าทุกคนจึงต้องการตัวเจ้า เจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ข้ามีวาสนาอันใดชีวิตนี้จึงได้พบกับเจ้ากัน” ซั่งกวนเซ่าเฉินทอดถอนใจ
“ต่อให้พวกเขาจะลงทุนลงแรงไปก็ไม่อาจได้มันไปอยู่ดี แต่ท่านพูดถูกท่านมีวาสนาจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างเย่อหยิ่ง
“รอบข้างไม่มีเสียงแล้วไม่สู้พวกเราออกไปดูเสียหน่อยจะดีกว่ากระมัง มั่วชิงน่าจะไปพากำลังสนับสนุนมาได้แล้ว”
หลังซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าเห็นด้วย หลิงมู่เอ๋อร์ก็จับมือเขาคิดในใจว่า ‘ออก’ เพียงหนึ่งคำ ผลคือพวกเขาออกมาจากมิติได้อย่างราบรื่น กลับมายังสถานที่ที่พวกเขาหายตัวไปเมื่อครู่อีกครั้ง
เห็นเพียงว่ารอบด้านมีแต่ซากศพทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดอยู่ในอากาศด้วย เพื่อไม่ให้ถูกคนของหอวีรบุรุษพบตัวพวกเขาจึงหลบซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้ที่โผล่พ้นออกมาจากป่าทึบโดยพลัน
“ในเมื่อสำเนามิติเปิดได้แล้ว เช่นนั้นหลังจากนี้ยามที่พบเจออันตรายท่านก็สามารถซ่อนตัวในนั้นได้” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายให้ซั่งกวนเซ่าเฉินฟัง ทั้งยังอธิบายการใช้มิติอย่างละเอียดยามที่เขาใช้คนเดียว นางจึงเพิ่งวางใจ
“แม้จะไม่สามารถใช้มิติต่อหน้าผู้อื่นได้แต่ในภายภาคหน้าข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าท่านจะได้รับบาดเจ็บอีก” มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์แขวนความตื่นเต้นดีใจอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ นางมองไปรอบด้าน “เพื่อไม่ให้พวกเขาสงสัยที่พวกเราหายตัวไปอย่างกะทันหัน พวกเราต้องปลอมแปลงร่องรอยเสียหน่อย เซ่าเฉินพวกเราค่อยๆ เคลื่อนตัวจากที่นี่ไปถึงทางออกจากลานล่าสัตว์กันดีหรือไม่?”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา” ซั่งกวนเซ่าเฉินได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังตั้งตัวรับหน้าที่ปกป้องด้วยตัวเอง
เขาเดินไปข้างหน้าทั้งยังจงใจทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้วย
ผ่านไปนานแต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงอันใดของคนของหอวีรบุรุษดังขึ้น
“น่าแปลก เหตุใดพวกเขาจึงหายไปเลยเล่า?” ยามที่ทั้งสองคนมาถึงทางออกก็ยังไม่เห็นคนของหอวีรบุรุษ พวกเขาจับอาวุธมาสู้รบเสียยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นจะยอมแพ้ไปเช่นนี้หรือ?
ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน กำลังจะเปิดปากพูดแต่กลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยสายหนึ่งดังขึ้นจากระยะไกล
“เหยียเป็นท่านจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงเห็นเขากับหลิงมู่เอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ยังดีที่เหยียและเจิ้งเฟยไม่เป็นอันใด”
มองชายวัยกลางคนที่สวมชุดขุนนางผู้หนึ่งข้างหลังเขาอีกครา เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นข้าหลวงท้องถิ่น
ซั่งกวนเซ่าเฉินหยัดกายขึ้น “ให้เจ้าไปเรียกกำลังเสริมมาแต่มีเพียงเจ้าสองคนหรือ?”
ข้าหลวงท้องถิ่นรีบค้อมกายถวายความเคารพเขา “กระหม่อมหลิ่วฉางอวี้ข้าหลวงท้องถิ่นประจำเมืองผิงเฉิงขอถวายความเคารพองค์ชายรอง ถวายความเคารพเจิ้งเฟยขององค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทั้งสองไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินโบกมือให้เขาเป็นการบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร ก่อนสายตาจะมองไปยังมั่วชิงเพื่อบอกให้เขาพูด
“ทูลเหยีย เพราะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินกระหม่อมจึงจำต้องเปิดเผยสถานะของพระองค์ แต่พระองค์โปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ นอกจากใต้เท้าข้าหลวงที่ล่วงรู้ฐานะของท่านก็หาได้มีผู้อื่นรู้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงกล่าว “ใต้เท้าข้าหลวงได้สั่งการทหารทั้งหมดของเมืองผิงเฉิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในยามนี้พวกเขาได้เข้าไปในพื้นที่ส่วนลึกของลานล่าสัตว์ ทว่าเมื่อครู่กระหม่อมค้นหารอบลานล่าสัตว์รอบหนึ่ง เหตุใดจึงไม่เห็นเหยียกับเจิ้งเฟยเลยพ่ะย่ะค่ะ?”
ได้ยินคำพูดนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ก็สบสายตากัน ยามนี้จึงเพิ่งรู้ว่าสาเหตุว่าเหตุใดจึงไม่เห็นคนของหอวีรบุรุษเลย
ดูท่าเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในมิตินานเกินไป ยามที่กำลังสนับสนุนมาถึงคนของหอวีรบุรุษก็ล้วนหนีไปแล้ว
“ส่วนลึกของป่ามีถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ พวกเราไปซ่อนตัวอยู่ที่นั่นชั่วครู่บางทีคนของพวกเจ้าอาจพลาดไป” หลิงมู่เอ๋อร์หาข้ออ้างขึ้นมา “พวกเจ้าส่งคนไปไล่ล่าคนของหอวีรบุรุษหรือ? ในเมื่อพวกเขาเลือกลานล่าสัตว์บางทีรอบบริเวณนี้คงมีพื้นที่ปักหลักของพวกเขาอยู่กระมัง”
“ขอบพระทัยเจิ้งเฟยที่กล่าวเตือน กระหม่อมจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงที่เพิ่งรู้สึกตัวตอบกลับ และกลับไปที่ลานล่าสัตว์อีกครา แต่คนของเขาแทบพลิกลานล่าสัตว์แล้วก็ยังหาเบาะแสใดไม่พบ