เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 365 ลานล่าสัตว์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 365 ลานล่าสัตว์
เล่มที่ 13 ตอนที่ 365 ลานล่าสัตว์
ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์รวมถึงคนบังคับรถม้าที่ตามมาออกไล่ตามไปโดยพลัน แต่น่าเสียดายที่คลาดกันไปเสียแล้ว
“เมื่อครู่เงาร่างของคนผู้นั้นคือหนานกงอี้จืออย่างแน่นอน แต่คนพวกนั้นเป็นใครเหตุใดจึงต้องการจับเขาเล่า? หรือเขาวิ่งหนีออกมาจากที่ใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกสงสัย เมื่อครู่ช่วงเช้าที่ตลาดยังไม่เห็นมีคน ยิ่งไปกว่านั้นคนสิบกว่าคนที่วิ่งผ่านหน้าไปกล่าวได้ว่าจู่ๆ ก็หายไปอย่างกะทันหัน ดูท่าแถวนี้คงมีที่หลบซ่อนของพวกเขาเป็นแน่
“อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ยืนยันได้แล้วว่าเจ้าเด็กหน้าเหม็นหนานกงอี้จือในยามนี้ชีวิตยังมิได้ตกอยู่ในอันตราย ส่วนเรื่องที่เหตุใดเขาจึงถูกคนตามไล่ฆ่า ดูท่าการคาดเดาของเจ้าจะถูกต้องมู่เอ๋อร์ บางทีเขาอาจจะหลบหนีออกมาแล้วถูกคนของเจ้าเจ็ดเจอตัวเข้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินวิเคราะห์พลางมองไปรอบด้านอีกครา ทั้งบ้านเรือนและร้านรวงทุกแห่งมองแล้วไม่มีอันใดแตกต่างกันเลย แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนต่างถิ่น บริเวณโดยรอบซุกซ่อนอันใดไว้ก็ล้วนไม่อาจรู้ได้จึงมิอาจบุ่มบ่ามได้เป็นอันขาด
“ไปเถอะ กลับไปยังที่พักของอี้จือก่อน”
ยามที่มาถึงบ้านพักชั่วคราวของหนานกงอี้จือซึ่งอยู่ที่ผิงเฉิง องครักษ์ลับที่ติดต่อกับซั่งกวนเซ่าเฉินก่อนหน้านี้ก็มารออยู่ก่อนนานแล้ว
“กระหม่อมมั่วชิงถวายพระพรองค์ชายรอง และเจิ้งเฟยขององค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ เปิ่นหวางจื่อมาออกตรวจราชการที่เมืองผิงเฉิงตามพระบัญชาของฝ่าบาท และไม่อยากให้ผู้ใดรู้สถานะของข้า จำไว้ว่าข้าและมู่เอ๋อร์ทำการค้าชาอยู่ที่เมืองหลวง ฉากหน้ามาเพื่อซื้อใบชาสดใหม่ แท้จริงคือมาตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรในเมืองผิงเฉิงอย่างลับๆ รวมถึงมาช่วยชีวิตหนานกงอี้จือ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจูงหลิงมู่เอ๋อร์ไปนั่งลงบนที่นั่งเจ้าบ้าน ครานี้เขามาเยือนอย่างกะทันหันหาใช่เพื่อมาเที่ยวเล่น หากหาหนานกงอี้จือไม่พบในวันเดียวยิ่งนานวันเข้าก็จะยิ่งอันตราย “ยามที่ข้ากับมู่เอ๋อร์เข้าออกเมืองผิงเฉิงเห็นคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามคนผู้หนึ่ง เงาร่างของคนผู้นั้นเหมือนหนานกงอี้จือเป็นอย่างยิ่ง บอกมาเถอะว่าในยามนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร?”
“เรียนเหยีย สถานการณ์เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับรายงาน “ยามที่กระหม่อมและหนานกงซื่อจื่อมาถึงเมืองผิงเฉิงก็ถูกคนจับตามองแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนกลุ่มนั้นราวกับว่ารู้จุดประสงค์ของพวกเรา จึงสร้างเรื่องก่อจลาจลทุกรูปแบบเพื่อขัดขวางการตรวจสอบของพวกเรา แต่เพราะบารมีของเหยีย เมื่อเจ็ดวันก่อนหนานกงซื่อจื่อก็หาร่องรอยเบาะแสที่องค์ชายเจ็ดแอบฝึกปรือกองกำลังทหารกล้าไว้อย่างลับๆ เจอพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีวันนั้นกระหม่อมต้องออกเดินทางไปกับซื่อจื่อเพื่อสืบหาความจริง แต่คาดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วนี่จะเป็นหลุมพรางที่ศัตรูวางไว้ กระหม่อมและหนานกงซื่อจื่อถูกบีบบังคับให้ต้องแยกกัน ยามนั้นกระหม่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงบุกฝ่าวงล้อมออกไปคิดจะไปตามหาซื่อจื่อ ทว่าซื่อจื่อกลับถูกพวกเขาจับตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินรายงานของมั่วชิง ใบหน้างดงามน่าเกรงขามของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ฉายแววความเป็นห่วงออกมา “เจ็ดวัน? เจ้าบอกว่าหนานกงอี้จือหายตัวไปเจ็ดวันเต็มๆ เลยหรือ?”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ในยามนั้นกระหม่อมติดต่อองครักษ์เงาคนอื่นเพื่อออกตามหาร่วมกัน แต่กลับหาข่าวคราวเกี่ยวกับซื่อจื่อไม่พบเลยพ่ะย่ะค่ะ ราวกับว่าซื่อจื่อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กระหม่อมจนปัญญาจึงส่งพิราบสื่อสารไปหาเหยียพ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงก้มศีรษะอย่างละอายใจ “กระหม่อมทำหน้าที่ล้มเหลวไม่อาจปกป้องหนานกงซื่อจื่อให้ดีได้ ขอเหยียโปรดลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อแม้แต่เจ้านายตัวเองยังปล่อยให้หายไปได้พวกเจ้าก็สมควรถูกลงโทษจริงๆ!” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างเดือดดาลน่าเกรงขาม แต่เขารู้ว่าในยามนี้หาใช่เวลาที่จะมาโกรธเกรี้ยว “รอให้หาหนานกงอี้จือพบก่อนเขาจะจัดการลงโทษพวกเจ้าเอง แต่ยามนี้สถานการณ์ในผิงเฉิงเป็นเช่นไร?”
“เรียนเหยีย เมืองผิงเฉิงเป็นเช่นเดียวกับที่ท่านเห็นยามที่มาพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ได้ยินมาแม้แต่น้อยทั้งยังล้าหลังเงียบเหงา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อตกดึกที่นี่จะวุ่นวายเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าเป็นเพราะเมื่อห้าปีก่อนจู่ๆ ก็มีกลุ่มที่ชื่อว่าหอวีรบุรุษก่อตั้งขึ้นมา โดยเป็นกลุ่มที่มีการกระทำชั่วช้าออกปล้นสะดมและข่มเหงชาวบ้าน โดยเฉพาะในยามค่ำคืนคนของหอวีรบุรุษจะกำเริบเสิบสานเป็นอย่างยิ่ง ข้าราชการท้องถิ่นเคยไปจัดการพวกเขาอยู่หลายคราแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นเหยียและฮูหยินโปรดจำไว้ว่ายามที่อยู่ในเมืองผิงเฉิง หลังจากฟ้ามืดไม่ควรออกไปข้างนอกตามอำเภอใจเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
“ห้าปีก่อน? หรือจะเป็นช่วงที่เจ้าเจ็ดมาที่ผิงเฉิงเป็นครั้งแรก?” ดวงตาทั้งสองข้างของซั่งกวนเซ่าเฉินหรี่ลงจนเป็นขีดเดียวราวกับคาดเดาอันใดได้
“หัวหน้าของกลุ่มหอวีรบุรุษคือผู้ใด?”
“เรียนเหยีย ได้ยินว่าเขาเป็นคุณชายอายุน้อยผู้หนึ่ง แต่เหล่าชาวบ้านแต่ไหนแต่ไรก็มิเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงขอเขาพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าเขามักจะสวมหน้ากากเสมอ แต่ร่ำลือกันว่าคนผู้นี้แม้จะอัปลักษณ์หาใดเปรียบทว่าวรยุทธ์สูงส่งยิ่ง ถึงแม้หอวีรบุรุษจะกระทำการต่ำช้าโดยเฉพาะมามากมายแต่หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติต่อลูกน้องอย่างดียิ่ง ดังนั้นชายหนุ่มจำนวนมากจึงสมัครใจเข้าร่วมกับหอวีรบุรุษ ยามนี้แม้แต่เมืองหรงเฉิงที่อยู่ใกล้กับเมืองผิงเฉิงก็ล้วนถูกยึดไปแล้ว ขนาดของกลุ่มหอวีรบุรุษนับวันก็ยิ่งใหญ่ขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงกล่าวทำให้ไฟโทสะของซั่งกวนเซ่าเฉินพวยพุ่งขึ้นมาโดยพลัน
“ชั่วช้า! มิมีผู้ใดอยู่เหนืออำนาจฮ่องเต้แต่กลับมีการกระทำอันกำเริบเสิบสานเช่นนี้ หอวีรบุรุษหรือ? เหอะ ข้าเห็นเป็นรังโจรเสียมากกว่า”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้ดูโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่งแต่กลับทำให้หลิงมูเอ๋อร์รู้สึกขบขัน ทว่าเพียงพริบตาเดียวนางก็กลับเข้าเรื่อง “มั่วชิงเจ้ากับหนานกงอี้จือมาถึงไม่นานทว่ากลับตรวจสอบได้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง ดูท่าแล้วคงใช้ความพยายามมากทีเดียว แต่ผู้ที่ลักพาตัวหนานกงอี้จือไปคือคนของหอวีรบุรุษหรือ?”
มั่วชิงพยักหน้า “แม้กระหม่อมจะไม่มีหลักฐานยืนยันทว่าต้องเป็นฝีมือของพวกเขาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ว่ามั่วชิงจะพยายามค้นหาอย่างไรก็หาที่หลบซ่อนของหอวีรบุรุษไม่พบ เพราะเหตุนั้น…”
ประโยคหลังเขามิได้พูดจนจบแต่เพียงแค่คิดดูก็จะรู้ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร
หมัดของซั่งกวนเซ่าเฉินทุบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง “เหอะ ในกลุ่มมีคนมากมายเช่นนั้นทั้งยังออกปล้นสะดมกันเป็นพิเศษแต่กลับหาแหล่งซ่อนตัวไม่เจอหรือ? เมืองผิงเฉิงจะว่าใหญ่ก็มิใช่จะว่าเล็กก็มิเชิง ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะไม่เผยเบาะแสของแหล่งกบดาน!”
ในเมื่อมีทิศทางให้ไปต่อแล้วเช่นนั้นเขาก็จะเริ่มตรวจสอบจากที่หอวีรบุรุษ!
“มู่เอ๋อร์เจ้ากับข้าไปอาบน้ำพักผ่อนกันสักประเดี๋ยวเถอะ รอให้ฟ้ามืดพวกเราค่อยไปที่หอวีรบุรุษ” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ยังไม่ทันถึงข้างกายนางก็ได้ยินเพียงเสียง ‘ฟิ้ว’ เสียงหนึ่ง ลูกธนูดอกหนึ่งถูกยิงมาจากฝั่งตรงข้ามทะลุเข้าไปบนกำแพงระหว่างทั้งสองคน
“ใคร?” มั่วชิงตอบสนองออกมาก่อน และลุกขึ้นไล่ตามไปโดยพลัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินหลังจากสบตากับหลิงมู่เอ๋อร์ก็คิดจะดึงลูกธนูออกมาด้วยมือเปล่า ทว่ากลับถูกหลิงมูเอ๋อร์ขวางไว้
“ช้าก่อน ระวังมีพิษ” หลิงมู่เอ๋อร์เตือนก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจับที่ลูกธนู ผลคือบนผ้าเช็ดหน้านั้นถูกย้อมเป็นสีดำชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็วทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง
และที่ปลายลูกธนูยังมีจดหมายฉบับหนึ่งด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมากางจดหมายออกบนโต๊ะ ทั้งสองคนมองดูอย่างละเอียดโดยพลัน
‘หากต้องการชีวิตของหนานกงอี้จือคืนนี้ยามไฮ่ [1] ให้มาที่ลานล่าสัตว์ของเมืองผิงเฉิง หากช้าไปหนึ่งก้านธูปนิ้วของเขาจะถูกตัดออกหนึ่งนิ้ว เมื่อถึงรุ่งเช้าจะนับว่าหมดเวลา’ ลงนาม หอวีรบุรุษ
ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์สบตากันโดยพลัน ทั้งสองคนพากันหน้าซีดในยามนั้นเองมั่วชิงที่ไล่ตามคนไปก็กลับมา เห็นเพียงเขาส่ายศีรษะอย่างละอายใจ “เหยีย คนหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“คนพวกนี้ตกลงแล้วเป็นใครกัน ตอนเช้าที่พวกเราไล่ตามไปก็คลาดกัน วิชาตัวเบาของเจ้าล้ำเลิศถึงเพียงนี้ก็ยังตามไม่ทันหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกพ่ายแพ้ มั่วชิงเป็นเพราะมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศที่สุด ดังนั้นเขาจึงจัดให้มาอยู่ข้างกายหนานกงอี้จือเพื่อมาเมืองผิงเฉิงด้วยกัน
แม้แต่เขาก็ยังตามคนไม่ทัน เขารู้สึกขึ้นมาโดยพลันว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ แต่ยังกล่าวได้ว่าในเมืองผิงเฉิงนี้มีที่ซ่อนตัวของพวกเขามากเกินไป!
“ดูท่าว่าตั้งแต่ที่พวกเรามาถึงเมืองผิงเฉิงก็คงถูกคนจับตามองแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว ดวงตาอันเฉียบแหลมมองไปยังรอบด้านโดยพลันขนบนร่างลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
สถานการณ์ที่ศัตรูอยู่ในที่ลับส่วนพวกเราอยู่ในที่แจ้งเช่นนี้นับว่าเลวร้ายเกินไปอย่างแท้จริง
“ไม่ ถูกคนจับตามองตั้งแต่เดินทางออกจากเมืองหลวงแล้วต่างหาก!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวออกมาในที่สุด แต่ก็เป็นเพราะเขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มหอวีรบุรุษคือฉินเสียนถิง
ผิงเฉิงเป็นเขตปกครองของเขา เขาจะทนให้มีกลุ่มคนออกมากระทำการกำเริบเสิบสานเช่นนี้ในเมืองผิงเฉิงอยู่นานหลายปีเช่นนี้ได้อย่างไร เช่นนั้นก็มีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคือมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเขาเองที่ก่อตั้งกลุ่มขึ้นมา ดูท่าแล้วที่ปกติประชาชนถูกขูดรีดก็ล้วนเป็นเพราะที่นี่เช่นกัน
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร? หากนี่เป็นกับดักเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์กังวลอยู่บ้าง “มั่วชิง ลานล่าสัตว์ของเมืองผิงเฉิงอยู่ที่ใด?”
“เหยียและฮูหยินเหตุใดจึงถามถึงลานล่าสัตว์หรือพ่ะย่ะค่ะ?” มั่วชิงรู้สึกสงสัยแต่ยามที่รับจดหมายที่หลิงมู่เอ๋อร์ส่งให้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน “เหยีย ท่านไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าหากข้าไม่ไปพวกมันจะตัดนิ้วของอี้จือทิ้งนิ้วหนึ่ง ดูท่าอี้จือคงตกอยู่ในกำมือของพวกมันอีกครั้งแล้ว!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินสูดหายใจเข้าลึก เขานึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองก้าวช้าไป หากเขาลงมือเร็วกว่านี้ก้าวหนึ่งอีกเพียงก้าวเดียว บางทีอาจได้พบกับหนานกงอี้จือและช่วยเขาได้แล้ว
“แต่ลานล่าสัตว์ของเมืองผิงเฉิงอันตรายเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ เป็นสถานที่ล่าสัตว์ที่เหล่าพ่อค้าของเมืองผิงเฉิงชื่นชอบที่สุด ได้ยินมาว่าที่นั่นมีสัตว์ป่าอยู่มากมายอีกทั้งยังเป็นชัยภูมิที่ปกป้องง่ายรุกรานยาก คนของหอวีรบุรุษจะต้องจงใจล่อเหยียเข้าไปเป็นแน่ เช่นนั้นเหยียและหวางเฟยพวกท่านจะไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกสัตว์ป่าหาใช่ปัญหาข้าเตรียมยาพิเศษมาจำนวนหนึ่ง หากสัตว์ป่าพบข้าก็จะหลับไปไม่เข้ามาทำร้าย สิ่งที่ข้ากังวลคือคนของหอวีรบุรุษ” หลิงมู่เอ๋อร์มองมั่วชิงพลางถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนของหอวีรบุรุษที่อยู่ในเมืองผิงเฉิงมีกี่มากน้อย หรือทุกครั้งยามที่พวกเขาเคลื่อนไหวจะมีคนมากเท่าใด”
“ใช่ ครั้งนี้เปิ่นหวางจื่อพาคนมาไม่มากและผิงเฉิงก็อยู่ห่างไกลจากเมืองชิ่งเฉิงค่อนข้างมาก หากคิดจะระดมกำลังคนของข้าก็คงไม่ทันการแล้ว พึ่งได้เพียงคนของพวกเราที่อยู่ผิงเฉิงเท่านั้น เจ้าดูแล้วคิดว่ามีโอกาสชนะหรือไม่?”
“เหยียกระหม่อมขอกล่าวตามตรง หากครานี้หอวีรบุรุษเตรียมการรับมือไว้แล้วจริงๆ เกรงว่าพวกเราคงหาใช่คู่ต่อสู้พ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงรู้สึกหมดกำลังใจอยู่บ้าง
แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินหาได้หมดกำลังใจเพราะขาดกำลังคน เขาหาได้ทำสิ่งใดซับซ้อนเพียงแค่ต้องเตรียมจิตใจให้พร้อม “แม้จะเป็นถ้ำเสือบึงมังกร [2] ตราบใดที่สามารถช่วยอี้จือออกมาได้ข้าก็ต้องบุกเข้าไป”
เพื่อลงมือคืนนี้หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์พักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้มั่วชิงเรียกรวมตัวสายลับที่อยู่ในผิงเฉิงทันที ถึงนับดูแล้วจะมีไม่ถึงยี่สิบคนแต่พวกเขาก็ยังมาที่ลานล่าสัตว์ตามเวลานัดหมาย
กวาดสายตามองไปทั่วทั้งลานล่าสัตว์นั้นกระจายตัวอยู่ทั่วภูเขาทางใต้ของเมืองผิงเฉิง หากจะกล่าวว่าลานล่าสัตว์มิสู้บอกว่าถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งลูกจะดีกว่า และนอกลานล่าสัตว์ยังสามารถได้ยินเสียงของเหล่าสัตว์ป่าได้อีกด้วย ดูท่าแล้วมั่วชิงจะพูดถูก ที่นี่ดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
“เอาสิ่งนี้ติดตัวไว้สัตว์ป่าทั้งหมดที่ได้กลิ่นล้วนจะหลับใหลไปเอง สิ่งที่พวกเราต้องระวังมีเพียงคนของหอวีรบุรุษ” หลิงมูเอ๋อร์แจกถุงหอมให้พวกซั่งกวนเซ่าเฉินคนละถุง ข้างในเป็นยาที่ทำให้สัตว์ป่าหลับใหลซึ่งนางเตรียมไว้ในช่วงบ่าย
มั่วชิงรับหน้าที่แจกจ่ายหลังเสร็จเรียบร้อยคนยี่สิบกว่าคนก็ยืนตัวตรงอยู่ข้างหลังซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ในเมื่อหอวีรบุรุษเตรียมการไว้แล้ว ทั้งยังส่งจดหมายท้าทายมาทันทีที่ข้าถึงเมืองผิงเฉิง ดูท่าพวกมันคงวางกับดักเอาไว้ก่อนแล้ว จะต้องมีเล่ห์กลมากมายเป็นแน่” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว “ทุกคนต้องระวังตัวด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์เดินไปข้างหน้าโดยมีทุกคนเดินตามหลังมา ทุกคนทั้งร่างระแวดระวังภัยด้วยความตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง
“คนที่มาใช่ซั่งกวนเซ่าเฉินหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ยามไฮ่ หมายถึง ช่วงระหว่าง 21:00-23:00 น.
[2] ถ้ำเสือบึงมังกร หมายถึง สถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย