เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 364 เมืองผิงเฉิง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 364 เมืองผิงเฉิง
เล่มที่ 13 ตอนที่ 364 เมืองผิงเฉิง
“ข้าก็จะไปด้วย!” หลิงมู่เอ๋อร์ออกความเห็น
“ไม่ได้! เมื่อครู่เจ้าให้เลือดหลิงจื่ออวี้มากเช่นนั้นร่างกายจึงอ่อนแอลงเป็นอย่างยิ่ง ไปเมืองผิงเฉิงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดวันอย่างมากก็สิบวัน ข้าเกรงว่าเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจะทำให้ร่างกายของเจ้ารับไม่ไหว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
“แทนที่จะให้ข้าทุกข์ใจเป็นห่วงพวกท่านสองคนอยู่ที่บ้านทั้งวัน ไม่สู้ให้ข้าไปด้วยจะดีกว่ากระมัง ยิ่งไปกว่านั้นหนานกงอี้จือที่มีเล่ห์เหลี่ยมถึงเพียงนั้นยังถูกจับไป หากท่านมีอันตรายอันใดอย่างน้อยข้าก็ยังสามารถช่วยเหลือได้มิใช่หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็หันหน้าหนีไปอย่างดื้อรั้น สรุปคือไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไปด้วย
ซั่งกวนเซ่าเฉินมิอาจเปลี่ยนใจนางได้ทั้งยังคิดว่าคำพูดของนางมีเหตุผล จึงจำต้องเห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก
ในคืนนั้นร่างกายของหลิงจื่ออวี้หาได้มีไข้อีก สภาพร่างกายทั้งหมดฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว หลังจากนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ให้เขาดื่มน้ำพุวิญญาณลงไปเยอะมาก เมื่อพบว่าในร่างกายของเขาไม่หลงเหลือพิษอยู่แล้วแม้แต่น้อยก็จัดเทียบยาเสริมพลังชี่และเลือดให้ กำชับให้เขากินยาให้ตรงเวลาอีกเจ็ดวันก็สามารถกลับไปสำนักศึกษาอีกคราได้แล้ว
หลิงจือเซวียนเพื่อเลี่ยงไม่ให้ท่านพ่อท่านแม่สงสัย ยามเช้าจึงมาดูแลหลิงจื่ออวี้ตกดึกก็กลับไปอยู่กับเจาหยาง ส่วนซางจือและเจี้ยงเซียงก็อยู่รับหน้าที่ต่อจากหลิงจือเซวียน
ที่ราชสำนักเป็นธรรมดาที่ฮ่องเต้จะไม่เห็นด้วยที่จะให้องค์ชายออกจากเมืองหลวงตามอำเภอใจ ดังนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินจึงหาเหตุผลไว้ให้ตัวเองล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เขาให้คนไปสร้างการจลาจลปลอมๆ ขึ้นมาโดยให้ข้าหลวงท้องถิ่นทูลข้อมูลนี้อีกครา เขาจึงได้อาสาจะไปปราบการจลาจลด้วยตัวเอง ดังนั้นฮ่องเต้จึงเห็นด้วยที่จะส่งเขาไปที่เมืองผิงเฉิงโดยไม่ต้องคิด
ส่วนเขาจะพาใครไปด้วยหรือไม่ก็หาได้มีคนสนใจไม่
เช้าวันต่อมาซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ก็ออกเดินทางไปยังผิงเฉิง
เพราะเป็นห่วงร่างกายของหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงไม่ได้ขี่ม้าแต่เลือกที่จะใช้รถม้า ทว่าม้าที่ใช้ลากรถม้ากลับเป็นม้าเหงื่อโลหิต
ในรถม้าหลิงมู่เอ๋อร์มองม้าเหงื่อโลหิตอย่างสงสาร “จุ๊ๆ ผู้อื่นใช้ม้าเหงื่อโลหิตในสนามรบ แต่พวกเรากลับใช้มันขับเคลื่อนรถม้าเป็นการใช้ม้าไม่เหมาะกับงานโดยแท้ เซ่าเฉินท่านไม่รู้สึกหรือว่าในแววตาของม้ามีความไม่พอใจอยู่? หรือพวกเราจะทิ้งรถม้าแล้วไปขี่ม้าแทนดี?”
“ไม่ได้!” ซั่งกวนเซ่าเฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “สีหน้าเจ้ายังซีดเซียวยิ่งเห็นได้ชัดว่าพลังชี่และเลือดไม่พอ หากขี่ม้าจนโคลงเคลงก็จะยิ่งเป็นการทำร้ายร่างกายเจ้า นั่งในรถม้าอย่างว่าง่ายเถอะ เจ้าวางใจได้ไม่ถึงเจ็ดวันพวกเราก็ถึงเมืองผิงเฉิงแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์เบ้ปากแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเงียบเสียงอย่างจำยอม
ครั้งนี้พวกเขาออกเดินทางไปเมืองผิงเฉิงแม้ว่าจะเพื่อจัดการเรื่องการจลาจล แต่ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งว่าต้องตรวจสอบสภาพจิตใจของราษฎรด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องออกตรวจราชการโดยปกปิดตัวตนเพราะเหตุนี้รถม้าจึงมีเพียงพวกเขาสองคนและคนบังคับรถม้าอีกสามคนเท่านั้น
“ฮ่ะ!” เสียงตะโกนดังขึ้นรถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในรถม้าไม่ทันระวังจึงเสียการทรงตัว
ยังดีที่ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์เอาไว้ในอ้อมแขน เมื่อแน่ใจแล้วว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บเขาก็แหวกม่านรถม้าถามอย่างเดือดดาล “เกิดเรื่องอันใดขึ้น!”
“เรียนเหยียสถานการณ์โดยรอบดูผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ” คนบังคับรถม้าเป็นองครักษ์ข้างกายของซั่งกวนเซ่าเฉินซึ่งมีวรยุทธ์สูงส่งยิ่ง
หากเขารู้สึกว่าสถานการณ์ผิดปกติจะต้องมีการซุ่มโจมตีเป็นแน่
“ในเมื่อถนนเส้นเล็กไปไม่ได้เช่นนั้นก็เปลี่ยนไปใช้ถนนหลักเสีย” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองรอบด้านอย่างถี่ถ้วน ตบไหล่คนบังคับรถม้าแสดงท่าทีให้เขาเปลี่ยนทิศทางไปใช้ถนนเส้นข้างๆ แทน
ถนนเส้นหลักมีผู้คนขวักไขว่พวกมือสังหารย่อมไม่กล้าลงมือง่ายๆ เป็นแน่
แต่คาดไม่ถึงว่ายามที่คนบังคับรถม้าเพิ่งตอบรับและเตรียมจะบังคับม้าอีกครา ก็มีธนูแหลมคมดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านข้างอย่างกะทันหัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่มีความสามารถในการได้ยินโดดเด่นเหนือใครรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ หลังจากส่งเสียงว่า ‘ระวัง’ ก็รีบกดหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอด
“เกิดอันใดขึ้น?” หลิงมู่เอ๋อร์ที่ตื่นตระหนกยังไม่อาจเรียกสติกลับมาจากอาการตกใจได้ นางรู้สึกเพียงว่าทั้งร่างถูกซั่งกวนเซ่าเฉินพาออกมาจากรถม้า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
แทบจะทันทีที่สิ้นคำพูดของนาง รถม้าที่หาได้มีข้อบกพร่องใดก็ราวกับได้รับความเสียหายจากบางสิ่ง จนแตกร้าวกระจายออกทุกทิศทางโดยพลัน
ดีที่ซั่งกวนเซ่าเฉินโอบหลิงมู่เอ่อร์พุ่งทะยานไปหลบหลังต้นไม้ได้ทันเวลา จึงไม่ถูกเศษซากของรถม้าทำให้บาดเจ็บ
พวกเขาออกเดินทางมาเมืองผิงเฉิงแน่นอนว่าย่อมต้องพบเจอกับมือสังหาร นี่คือปัญหาที่คิดระหว่างทางมาที่นี่แต่นี่ฝีมือผู้ใดกัน? ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้สายตาส่งสัญญาณให้คนบังคับรถม้าฝั่งตรงข้าม คนบังคับรถม้าโยนระเบิดควันลูกหนึ่งออกไปโดยพลัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเช่นนั้นก็โอบหลิงมู่เอ่อร์หนีไปยังทิศตรงกันข้ามโดยพลัน คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเตรียมการไว้แล้ว พวกเขามารอพวกนางอยู่ที่ถนนซึ่งห่างออกไปไม่กี่ลี้อยู่ก่อนแล้ว
เห็นเพียงทางออกจากป่าเต็มไปด้วยคนชุดดำยี่สิบคนขวางทางออกเพียงหนึ่งเดียวไว้ ทุกคนล้วนสวมผ้าโพกหัวสีดำถือดาบแหลมคม เห็นได้ชัดว่าเตรียมการมาล่วงหน้า
“พวกเจ้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่านายท่านของข้าคือผู้ใด?” คนบังคับรถม้ายืนอยู่เบื้องหน้าซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ถามอย่างเดือดดาล
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร แต่สิ่งที่ต้องการก็คือชีวิตของพวกเจ้า”
เมื่อผู้เป็นหัวหน้ากล่าวจบก็โบกมือส่งสัญญาณ คนในชุดดำจำนวนมากรวมกลุ่มเข้ามาโจมตีพวกเขาพร้อมกัน
“มู่เอ๋อร์ระวัง!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบดันนางไว้ข้างหลัง ดาบที่ถืออยู่ในมือพุ่งออกไปสังหารฝ่ายตรงข้ามโดนพลัน
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าคนชุดดำเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นทหารฝีมือล้ำเลิศที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็ซัดเข็มเงินออกไปหลายเล่มทุกทิศทาง คนชุดดำทั้งหมดจึงค่อยๆ ล้มลง
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองแข็งแกร่งมากพ่ะย่ะค่ะ!” คนบังคับรถม้ายกย่อง แต่เพราะประมาทที่แขนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็โยนระเบิดควันออกไปลูกหนึ่ง ทว่าระเบิดควันลูกนี้ต่างจากระเบิดควันของคนบังคับรถม้า นางเพิ่มส่วนผสมของผงเอ็นอ่อนเข้าไปเป็นจำนวนมาก นางสบโอกาสจึงพาคนบังคับรถม้าหนี และในยามที่มือสังหารไล่ตามมาหมายจะสังหารก็ได้สูดดมระเบิดควันเข้าไป แทบจะในพริบตาคนทั้งหมดนั้นก็ล้มลงไปกับพื้น
“คาดไม่ถึงว่ามู่เอ๋อร์ก็จะเตรียมการไว้ด้วยเช่นกัน!” เห็นคนในชุดดำยี่สิบคนเหลือเพียงไม่ถึงห้าคน ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กล่าวชื่นชม
“ข้าถึงได้บอกว่าท่านพาข้ามาด้วยย่อมหาใช่เรื่องผิดพลาด ยามนี้คงได้เปิดหูเปิดตาแล้วกระมัง?” หลิงมู่เอ๋อร์เชิดหน้าอย่างภูมิใจแต่หางตาก็เห็นว่ามีคนเข้ามาโจมตีซั่งกวนเซ่าเฉิน หลังจากนางเตือนว่าระวังคราหนึ่งก็ซัดเข็มเงินออกไปสามเล่มอีกครั้ง
เข็มเงินในครั้งนี้ต่างจากเมื่อก่อน มันเป็นของที่นางทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เข็มเงินมีตะขอโค้งและปลายด้านหนึ่งของเข็มเงินถูกนางผูกลวดตกปลาเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไว้
ดังนั้นหลังจากเข็มเงินทั้งสามเล่มพุ่งออกไปนางก็ออกแรงดึงคนชุดดำทั้งสามคนจึงถูกพันธนาการอยู่เบื้องหน้าแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเช่นนั้นก็แทงจุดตายของศัตรูอย่างรู้ใจนาง
“ช่างรู้ใจกันเสียจริง!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวชมเชยแต่การเคลื่อนไหวของมือก็หาได้หยุดนิ่ง รวมกับซั่งกวนเซ่าเฉินและคนบังคับรถม้าที่มีฝีมือล้ำเลิศแล้ว อีกสี่คนที่เหลือก็ถูกฆ่าอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
“เป็นไปดังคาด บนร่างไม่มีเบาะแสใดเลย” หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ค้นหาอย่างถี่ถ้วนก็ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“แม้จะหาเบาะแสใดไม่พบแต่เปิ่นหวางจื่อก็รู้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด เมื่อครู่นี้ที่ออกมาจากเมืองหลวงเขาก็ส่งคนมาหมายสังหาร เกรงว่าการซุ่มโจมตีข้างหน้าคงมีไม่น้อย” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว พยุงหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นขี่ม้าพันธุ์ดีด้วยตัวเอง “ยามนี้เจ้าก็ได้ขี่ม้าตามที่หวังแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์กลืนยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งลงไปตรงหน้าเขา “นี่เป็นของที่ข้าคิดค้นด้วยตัวเอง ปกติเพราะเสียดายจึงตัดใจใช้สมุนไพรบำรุงสิบขนานไม่ได้ เช่นนี้ท่านก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินบีบจมูกนางอย่างเอ็นดู “นั่งดีๆ” ทันใดนั้นแส้ยาวที่ถืออยู่ในมือของเขาก็ตีม้าจนมันห้อตะบึงออกไป
“แล้วคนบังคับรถม้าจะทำเช่นไร?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวซักถาม มีม้าพันธุ์ดีเพียงตัวเดียวไม่มีที่พอสำหรับสามคน คนบังคับรถม้ายังคงหยุดนิ่งอยู่ข้างหลัง
ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้พูดอันใดแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงผิวปากดังขึ้นมาจากข้างหลัง เพียงชั่วพริบตาก็มีม้าตัวหนึ่งวิ่งบึ่งมาจากระยะไกล
“ที่แท้ก็เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วหรือ?” เห็นคนบังคับรถม้าก็ขี่ม้าพันธุ์ดีแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์จึงตระหนักได้ในยามนี้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินมีเล่ห์เหลี่ยมยิ่ง
เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะมีมือสังหารมา การนั่งรถม้าก็เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น
“ตั้งแต่วินาทีที่ข้าอาสาจะไปเมืองผิงเฉิงเจ้าเจ็ดก็ตระหนักได้ว่าข้ากำลังไปหาเขา เขาย่อมไม่ปล่อยให้ข้าไปถึงเมืองผิงเฉิงอย่างสงบ ดังนั้นหากข้าไม่เตรียมตัวรับมือไว้ให้พร้อมจะไม่เป็นการปล่อยให้เขาทำแผนชั่วสำเร็จหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว “แต่ข้างหน้ายังมีคนอีกกี่มากน้อยพวกเราก็ยังไม่รู้ชัดเจน เส้นทางนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าย่อมไม่สงบสุข”
“ไม่เป็นไร ยิ่งเขาส่งคนมามากก็ยิ่งเป็นการเผยช่องโหว่ออกมา ตราบใดที่พวกเราหาจุดอ่อนของเขาเจอก็จะสามารถจับเขาได้ในคราเดียว” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เพียงแต่ไม่กลัวทว่าถึงขั้นรู้สึกตื่นเต้นอีกด้วย
“ในคราแรกยามที่พวกเรากลับจากชายแดนไปยังเมืองหลวงก็พบกับมือสังหาร ครานั้นข้าก็เดาว่าเป็นคนขององค์ชายเจ็ด ครั้งนี้เขาก็ยังใช้กลอุบายเช่นเดิมมาจัดการพวกเรากระดาษย่อมมิจากห่อไฟ [1] ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถทำการได้อย่างภูษาสวรรค์ไร้รอยตะเข็บ [2]”
ซั่งกวนเซ่าเฉินทอดถอนใจรู้สึกว่าชีวิตนี้ของเขาช่างมีวาสนายิ่ง ได้ตบแต่งกับภรรยาที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญเช่นนี้ “สวรรค์ทรงเมตตาข้าจริงๆ ที่ทำให้ชีวิตนี้ของข้าได้พบเจอเจ้า ไม่เพียงแต่มีทักษะแพทย์ล้ำเลิศแต่ยังฉลาดเฉลียวงดงาม มู่เอ๋อร์เจ้าว่าข้าควรจะรักเจ้าเช่นไรดี?”
“พูดมาก!”
หลิงมู่เอ๋อร์บุ้ยปากพิงอ้อมกอดของเขาอย่างวางใจ ทั้งสองคนขี่ม้าไปด้วยความรวดเร็วโดยที่มีคนบังคับรถม้าตามมาข้างหลัง
เป็นไปอย่างที่พวกเขาคาดเดา ถนนเส้นนี้แทบจะพบมือสังหารตลอดทั้งคืน นอกจากองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีก็ยังมีคนในยุทธจักรไม่น้อย แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ร่วมมือกันคนเหล่านี้ก็ไม่อาจทำแผนชั่วได้สำเร็จ เพียงแต่น่าเสียดายที่พวกเขาหาหลักฐานอันใดที่สามารถพิสูจน์ว่าคนพวกนี้เป็นองค์ชายเจ็ดที่ส่งมาไม่เจอเลย
เช้าวันที่เจ็ดพวกเขาก็มาถึงเมืองผิงเฉิงในที่สุด
แม้จะได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ แต่เพราะต้องการออกตรวจราชการโดยปกปิดตัวตนข้าหลวงประจำท้องถิ่นจึงไม่รู้ว่าองค์ชายรอง และเจิ้งเฟยขององค์ชายรองมาถึงแล้ว พวกเขาก็ล้วนอยากเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่าราษฎรทั้งหมดจริงๆ เช่นกัน
“เดิมทีคิดว่าภายใต้การปกครองขององค์ชายเจ็ดเมืองผิงเฉิงจะต้องเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าจะอ่อนแอเช่นนี้ เหล่าราษฎรมากมายต่างเร่ร่อนไร้ที่อยู่ ฉินเสียนถิงยักยอกเงินไปมากมายถึงเพียงนั้น หรือว่าจะไม่ได้เอามาใช้กับราษฎรแม้แต่น้อยเลยหรือ?”
เห็นข้างทางมีขอทานอยู่ไม่น้อยรวมทั้งเมืองผิงเฉิงยังไร้ซึ่งความเจริญ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เดือดดาลอย่างถึงที่สุด
คิดถึงเนื้อหาที่บันทึกบนสมุดบัญชีนางก็นึกถึงใบหน้าชั่วร้ายขององค์ชายเจ็ด ในช่วงหลายปีนี้เขายักยอกเงินที่เป็นเลือดเนื้อของราษฎรไปตั้งกี่มากน้อย จึงทำให้ความเป็นอยู่ของเหล่าราษฎรลำบากยากแค้นถึงเพียงนี้
“ถูกต้อง หากไม่มาด้วยตัวเองเกรงว่าคงมิมีผู้ใดเชื่อ เมืองผิงเฉิงที่ขึ้นชื่อว่าเจริญรุ่งเรืองกลับตกต่ำถึงเพียงนี้ ดูท่าหลังจากหาหนานกงอี้จือพบข้าจำต้องไปหาข้าหลวงเพื่อถามให้ได้ความเสียแล้ว ว่าตกลงมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว นิ้วมือกำหมัดแน่นเขาตั้งใจแล้วว่าหลังจากกลับไปครานี้จะต้องทูลความจริงทั้งหมดแก่เสด็จพ่อ อยากเห็นนักว่าฉินเสียนถิงจะแก้ตัวเช่นไร
“หยุด…หยุดนะ!”
จากระยะไกลคนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปทางด้านข้างอย่างกะทันหัน ในมือทุกคนต่างถือมีดปังตอราวกับไล่ตามอันใดอยู่
ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์มองไปตามเสียง ก็เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งที่ลับหายไปจากหัวมุม แต่เงาร่างนั้นช่างดูคุ้นตายิ่ง!
“เป็นหนานกงอี้จือ!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างตึงเครียด
เชิงอรรถ
[1] กระดาษย่อมมิจากห่อไฟ หมายถึง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้
[2] ภูษาสวรรค์ไร้รอยตะเข็บ หมายถึง สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ