เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 356 ไม่คู่ควร
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 356 ไม่คู่ควร
เล่มที่ 12 ตอนที่ 356 ไม่คู่ควร
“ลอบสังหารเสด็จพี่รอง?” ฉินเสียนถิงตาเบิกกว้างราวกับไม่อาจยอมรับได้ว่าเรื่องนี้คือความจริง แต่เพียงชั่วพริบตาก็หัวเราะออกมา
“เกรงว่าพี่สะใภ้คงยังไม่รู้ว่าเมื่อสามวันก่อน โจวฉี่เยี่ยนผู้นี้ทำตัวกระด้างกระเดื่องไม่เคารพข้า ข้าจึงไล่เขาออกจากตำหนักองค์ชายเจ็ด เขามิใช่คนของข้าแล้วเช่นนั้นเขาจะทำเรื่องใดแล้วเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า?”
ได้ยินคำอธิบายขององค์ชายเจ็ด หลิงมู่เอ๋อร์ก็โกรธจนแทบอยากซัดเข็มเงินสามเล่มพุ่งเข้าไปทำลายเส้นเลือดใหญ่ของเขาเสีย
“เจ้า!” หลิงมู่เอ๋อร์เดือดดาล เขาไม่คู่ควรกับความรู้สึกของโจวฉี่เยี่ยนจริงๆ
“โจวฉี่เยี่ยนต่อสู้สุดชีวิตเพียงลำพังเพื่อเจ้า เสี่ยงชีวิตทำเรื่องอันตรายเพื่อเจ้า แต่พอเกิดเรื่องเจ้ากลับทอดทิ้งเขาอย่างไม่แยแสไม่ยอมรับสถานะของเขา องค์ชายเจ็ด เจ้าช่างเป็นเจ้านายที่ดีเสียจริง!”
หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองเขาอย่างดุดัน หากกล่าวว่าสายตาของนางสามารถฆ่าคนได้ นางรับรองว่าฉินเสียนถิงคงถูกทิ่มแทงจนกลายเป็นรังแตนไปแล้ว
“พี่สะใภ้!” ฉินเสียนถิงก็ตะโกนอย่างเดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน “ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งตบแต่งให้เสด็จพี่จึงอดทนต่อความไร้มารยาทของเจ้าได้ แต่มิได้หมายความว่าเปิ่นหวางจื่อจะไม่โกรธ เจ้าใส่ความข้าเช่นนี้มีเจตนาอันใดกันแน่!”
ทันทีที่ฉินเสียนถิงพูดจบก็มองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉิน “เสด็จพี่รองพวกท่านมาที่ตำหนักข้ากลางดึกเช่นนี้ทั้งยังหามศพมาคิดบัญชีกับข้า พวกท่านต้องการทำอันใดกัน? ต้องการใส่ร้ายป้ายสีว่าข้าส่งคนไปลอบสังหารท่านหรือ? เช่นนั้นก็ดี พวกเราเข้าวังหลวงไปหาเสด็จพ่อให้ช่วยตรวจสอบเถอะ ข้าก็อยากจะรู้ว่าตกลงแล้วผู้ใดกันที่ต้องการใส่ความข้า!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่งปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ข้างหลัง อยู่ในระยะห่างแค่ปลายนิ้วเงยหน้ามองสายตาของฉินเสียนถิงด้วยความโอหัง “เปิ่นหวางจื่อยังไม่ได้พูดอันใด แล้วน้องเจ็ดรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นี้มาที่ตำหนักองค์ชายรองของข้าเพื่อสังหารข้า หาใช่เพื่อขโมยอันใด?”
ตระหนักได้ว่าตัวเองเผยพิรุธ องค์ชายเจ็ดกลอกตาไปมารีบหาข้อแก้ตัวอื่นให้ตัวเอง “ข้าไม่สนว่าเขาจะไปทำอันใด ข้ายอมรับว่าเมื่อก่อนเขาเป็นคนของข้าแต่ก่อนหน้านี้เขาถูกไล่ออกจากตำหนักองค์ชายเจ็ดแล้วเบื้องสูงเบื้องล่างองค์ชายเจ็ดล้วนรู้ดี หรือบ่าวผู้หนึ่งถูกขับไล่ออกไปแล้วไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนต้องมาหาข้าที่เป็นเจ้านายเก่าเพื่อคิดบัญชีด้วยหรือ? เช่นนั้นหากเป็นบ่าวที่เคยอยู่ตำหนักของข้าไปก่อเรื่องฆ่าทำร้ายปล้นชิงทั้งหมดก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของเปิ่นหวางจื่อหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กับซั่งกวนเซ่าเฉินพูดไม่ออกไปโดยพลัน ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าฉินเสียนถิงจะหาข้อแก้ตัวไว้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้แล้ว
ใช่ พวกเขาจับโจวฉี่เยี่ยนได้แต่ก็ไร้หนทางยืนยันว่าโจวฉี่เยี่ยนได้รับคำสั่งมาจากองค์ชายเจ็ด
“พี่ใหญ่โจวหนอพี่ใหญ่โจว หากท่านยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเชื่อคำพูดของมู่เอ๋อร์ ท่านพบเจอคนชั่วอยู่กับเจ้านายผิดคนจึงต้องตายตกอย่างไม่คู่ควรเช่นนี้!”
หลิงมู่เอ๋อร์ดูหมิ่นอยู่ในใจยามที่มองฉินเสียนถิงก็ราวกับมองศัตรู
“ข้ารู้เพียงว่ามีบางคนที่ไม่เหมาะสมจะเป็นเจ้านาย เขาขาพิการข้างหนึ่งเจ้ากลับยังส่งเขาไปทำหน้าที่อันตรายเช่นนี้ นับว่าเจ้าส่งให้เขาไปตาย!” หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันกล่าว นางสาบานว่าในอนาคตจะต้องทำให้องค์ชายเจ็ดชดใช้กับทุกสิ่งที่เขาทำ!
แม้นางจะไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุแต่นางก็สามารถคาดเดาทุกอย่างได้ว่า โจวฉี่เยี่ยนในช่วงเวลาที่ใกล้ตายจะต้องไร้ความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง
ยามนี้นางเข้าใจอย่างชัดเจนว่าองค์ชายเจ็ดจงใจส่งโจวฉี่เยี่ยนมาลอบสังหาร หากภารกิจสำเร็จนั่นก็เป็นความรับผิดชอบของเขา หากภารกิจล้มเหลวนั่นก็นับเป็นโชคร้ายของเขา
“หืม? เช่นนั้นไม่รู้ว่าในใจพี่สะใภ้คิดว่าคนเช่นไรเหมาะสมจะเป็นเจ้านาย? หรือต้องเป็นคนที่ผลักไสญาติผู้น้องของตัวเองไปยังสถานที่ที่อันตราย คนเช่นนี้หรือ?” ฉินเสียนถิงถามกลับ
ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็ก้าวไปเบื้องหน้าคว้าคอเสื้อของเขาไว้แน่นโดยพลัน “หนานกงอี้จือเขาอยู่ที่ไหน!”
“เสด็จพี่รองกำลังทำอันใด?” องค์ชายเจ็ดหาได้โต้ตอบอันใดต่อการกระทำของเขา แต่กลับยังยิ้มอย่างสดใสมองไปทางเขา “หนานกงอี้จือไม่ใช่ว่าเป็นญาติผู้น้องคนสนิทของท่านหรือ? ข้าก็ยังสงสัยว่าวันนี้เป็นวันมงคลของท่าน แต่เหตุใดญาติผู้น้องคนสนิทของท่านจึงไม่มาเข้าร่วมด้วยตัวเอง ทำไม หรือเขาได้รับหน้าที่ให้ไปทำภารกิจลับอันใด?”
รู้ว่าต่อให้ซักไซ้ต่อไปอย่างไรชายผู้นี้ก็ไม่ยอมรับเป็นแน่
ซั่งกวนเซ่าเฉินผลักร่างของเขาออกไปอย่างรุนแรง “ในเมื่อการละเล่นครั้งนี้เป็นน้องเจ็ดลงมือ เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไร้เมตตา”
สิ้นคำพูด ซั่งกวนเซ่าเฉินก็พาหลิงมู่เอ๋อร์ออกไปจากตำหนักองค์ชายเจ็ด
จัดระเบียบเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงเรียบร้อยองค์ชายเจ็ดก็เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขวา แววตาชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่งมองตามพวกเขาสองคนจากไป เขาจงใจป้องปากตะโกนเสียงดัง “เสด็จพี่รองต้องรีบลงมือหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าเป็นห่วงจริงๆ ว่าจะมีใครบางคนทนไม่ไหวไปเสียก่อน”
ได้ยินคำพูดนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็มีโทสะแต่นางไม่ได้ปรึกษาซั่งกวนเซ่าเฉิน เข็มเงินสามเล่มก็พุ่งทะยานออกไปจากแขนเสื้อของนางซัดไปข้างหลังอย่างรุนแรง
ฉินเสียนถิงหลบไม่ทันเข็มเงินสามเล่มจึงพากันแทงลงไปยังแขนขวาที่ใช้กำบังของเขา เพียงชั่วครู่แขนที่เคยขาวของเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำโดยพลัน
“สมควรตายนักหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ามันสมควรตาย!”
เขาอยากไล่ตามออกไปแต่ไม่ทันระวังจึงสะดุดร่างของโจวฉี่เยี่ยนที่นอนอยู่บนพื้นจนล้มลง ด้วยความบังเอิญอย่างคาดไม่ถึงหัวของเขาก็หล่นลงไปบนอกของโจวฉี่เยี่ยนพอดี เห็นดวงตาสองข้างที่เบิกกว้างอย่างไม่เต็มใจตายของอีกฝ่าย เขาก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงโดยพลัน
รีบร้อนหยัดยืนขึ้นมาก็หาได้ให้ความสำคัญกับพิษที่แขนมากมายนัก เขารีบตะโกน “ทหาร ทหาร!”
เหล่าองครักษ์พากันทะยานเข้ามาแต่ยามที่ทุกคนเห็นศพตรงหน้าก็ล้วนตกตะลึง
ในห้องของเจ้านายเหตุใดจึงมีศพได้? ทั้งยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เจ้านายไว้ใจที่สุดอีกด้วย?
“ยังงงอันใดอยู่อีกเอาเขาออกไปทิ้งเดี๋ยวนี้!” เห็นว่าพวกเขาไม่ลงมือ ฉินเสียนถิงก็ออกคำสั่ง
หางตายังมองไปยังเห็นดวงตาที่ตายตาไม่หลับของโจวฉี่เยี่ยน เขาก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกคราไม่กล้ามองไปยังเขาอีก
“เหยียกระหม่อมควรเอาเขาไปทิ้งไว้ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?” ผู้ใต้บังคับบัญชาถามอย่างระมัดระวัง
โจวฉี่เยี่ยนเป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานต่อหน้าของเหยีย หากไม่เข้าใจความคิดของเหยียไม่ใช่ว่าจะต้องถูกฝังไปด้วยกันเลยหรือ?
“ไร้ค่าเสียจริงเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องมาถามข้าหรือ? ในอนาคตหากลูกเมียเจ้าตายก็ต้องมาถามข้าหรือว่าจะเอาไปฝังที่ใด?” ฉินเสียนถิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือเพราะกินปูนร้อนท้อง ในก้นบึ้งของหัวใจจึงเกิดเปลวเพลิงไร้ที่มาขึ้น ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจยิ่ง “เอาไปทิ้งไว้หลังเขาให้เป็นอาหารสุนัข”
ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าคนโปรดในสายตาของเหยียจะถูกปฏิบัติเช่นนี้ เหล่าองครักษ์ตกตะลึงแต่ก็ไม่กล้าหยุดการกระทำ
ยามที่ฉินเสียนถิงหมุนกายกลับไปก็เห็นว่าสายตาของเหล่าองครักษ์ผิดปกติ เขากระแอมคอพลางรีบพูดเสริม “โจวฉี่เยี่ยนผู้นี้กำเริบเสิบสานไม่เคารพข้า ถึงขั้นวางแผนขโมยตำราพิชัยสงครามของเปิ่นหวางจื่อ ให้คนมาถ่ายทอดคำสั่งผู้ใดกล้ามีความคิดเช่นนี้แบบเขาจะมีจุดจบเช่นนี้”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชายเจ็ด!”
เหล่าองครักษ์เข้าใจสาเหตุที่โจวฉี่เยี่ยนตายแล้วเหตุใดจึงถูกเอาไปทิ้งให้เป็นอาหารสุนัข ก็ไม่กล้าโทษเจ้านายอีกแม้แต่ประโยคเดียว
ข้างนอกข้างตำหนักองค์ชายเจ็ดในรถม้าที่ซ่อนอยู่ หลิงมู่เอ๋อร์มองออกไปข้างนอกอย่างเคร่งเครียดอยู่ตลอด หลังจากเห็นว่ามีหลายคนออกมาทั้งยังทำเรื่องที่โหดเหี้ยมยิ่ง นางก็พุ่งลงไปจากรถม้าโดยพลัน
“ฉินเสียนถิงเจ้ามันคนชั่วช้าอย่างที่คิดจริงๆ”
เกรงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะหุนหันพุ่งออกไปทำเรื่องอันใดเพราะความโกรธ ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงรีบใช้มือส่งสัญญาณให้คนเหล่านั้น “มานี่ เอาศพของเขามาแล้วไปเสีย”
ถูกต้อง เหล่าองครักษ์ที่ออกมาจากตำหนักขององค์ชายเจ็ดหาได้นำโจวฉี่เยี่ยนไปไว้ที่หลังภูเขา แต่กลับเอาไว้ที่ตรอกข้างตำหนักองค์ชายเจ็ดอย่างหยาบคาย
ที่นี่มักจะมีหมาแมวจรจัดผ่านทางมา ไม่ต้องรอให้ถึงรุ่งสางโจวฉี่เยี่ยนก็คงถูกกินจนไม่เหลือกระดูกแล้ว
“ขอบคุณเซ่าเฉิน” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกตื้นตันใจกับการกระทำของสามีเป็นอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรคืนนี้ก็เป็นเพราะโจวฉี่เยี่ยนทำให้คืนส่งตัวเข้าห้องหอของพวกเขาล่าช้า พวกเขากลับยังต้องหามศพกลับไปในวันมงคลเช่นนี้อีก
“หากไม่ใช่เพราะเลือกตามเจ้านายผิดคนโจวฉี่เยี่ยนก็คงไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้ น่าเสียดายความสามารถของเขา ผู้ตายย่อมเป็นใหญ่นี่คือเรื่องสุดท้ายที่พวกเราสามารถทำเพื่อเขาได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวโอบกอดหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน จุมพิตที่หน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา “คนตายไม่อาจฟื้นคืน อย่าได้เศร้าโศกเกินไปเข้าใจหรือไม่?”
“พาเขาไปฝังเถอะ” หลิงมู่เอ๋อร์เสนอ เป็นธรรมดาที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจะไม่โต้แย้งอันใด เขาพยักหน้าสั่งให้เหล่าองครักษ์จัดการเรื่องนี้โดนพลัน
หวนนึกถึงทุกเรื่องที่เกิดกับโจวฉี่เยี่ยน อารมณ์ของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ซับซ้อนยิ่ง แม้ว่าในช่วงหลังพวกเขาจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันแล้ว แม้ว่านางจะไม่ได้รอคอยคำอวยพรของโจวฉี่เยี่ยนในงานแต่งงาน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยร่วมมือกันอย่างมีความสุขถึงเพียงนั้นมาก่อน
คราแรกยามที่ยังไม่มาเมืองหลวง นางรู้สึกอยู่เสมอว่าการมีโจวฉี่เยี่ยนอยู่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย เขาเป็นเหมือนร่มเงาที่คอยปกป้องนาง
แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงแต่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองปีทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงไปหมด
เชื่อว่าโจวฉี่เยี่ยนที่ตายไปก็คาดไม่ถึงว่า เขาจงรักภักดีต่อองค์ชายเจ็ดมาโดยตลอดแต่สุดท้ายกลับมีจุดจบถูกคนโยนศพให้ไปเป็นอาหารสุนัข
“หวางเฟยควรฝังศพเขาที่ใดจึงจะเหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” บ่าวรับใช้ถามอย่างระมัดระวัง
“ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนพี่ใหญ่โจวเคยบอกว่า โจวฉี่รุ่ยถูกฝังศพไว้ข้างสุสานบรรพบุรุษของตระกูลโจว เอาเขาไปฝังด้วยเถอะ ในที่สุดคนตระกูลโจวก็ได้กลับไปยังบ้านเกิด” หลิงมู่เอ๋อร์พูด นึกถึงยามนั้นขึ้นมาที่โจวฉี่เยี่ยนบอกว่าโจวฉี่รุ่ยจะต้องโศกเศร้าเพราะภาพที่เขาตาย ยามนี้นางเข้าใจความโศกเศร้านั้นแล้ว
นางสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดที่อยู่รอบตัวนางถูกทำร้ายอีก ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม!
“ดึกแล้วพวกเราก็ควรกลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ายังต้องเข้าวังไปทำพิธียกน้ำชาด้วย” ซั่งกวนเซ่าเฉินเตือนขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าหากนางตามเฝ้าดูการฝังศพของโจวฉี่เยี่ยน จะต้องมีข่าวลือแพร่ออกไปเป็นแน่ หากฮ่องเต้รู้ว่ามีคนมาลอบสังหารองค์ชายรองที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดกลางดึก เกรงว่าสุสานบรรพบุรุษทั้งหมดของตระกูลโจวคงได้ถูกขุดขึ้นมาเป็นแน่
นางทำได้เพียงส่งพี่ใหญ่โจวถึงตรงนี้
“ได้ พวกเรากลับตำหนักเถอะ”
จนกระทั่งยามที่กลับมายังตำหนักองค์ชายรองและนอนลงบนเตียง จิตใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังวนเวียนกับความจริงเรื่องการตายของโจวฉี่เยี่ยน รู้สึกอยู่ตลอดว่านี่ราวกับเป็นความฝันฉากหนึ่ง
แต่เพียงครู่เดียวนางก็นึกถึงเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“เซ่าเฉินคำพูดสุดท้ายของฉินเสียนถิงหมายความว่าอย่างไร หรือหนานกงอี้จือจะตกอยู่ในกำมือของเขาจริงๆ? ทั้งยังมีสมุดบัญชีนั่นด้วย?”
“มู่เอ๋อร์วางใจเถอะสมุดบัญชียังอยู่ ส่วนเรื่องอี้จือข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว”
ยามที่ชื่อของหนานกงอี้จือหลุดออกมาจากฉินเสียนถิง เขาก็ตระหนักได้ว่าคนผู้นั้นตกอยู่ในอันตรายจริงๆ อีกทั้งยังอาจเป็นเพราะคำสั่งของเขาด้วย
ยามนี้พอลองดูแล้วเจ้าเจ็ดคงส่งคนมาจับตาดูที่ตำหนักองค์ชายรองมาโดยตลอด
“มู่เอ๋อร์หลังจากพิธียกน้ำชาพรุ่งนี้ข้าจะเร่งแก้ปัญหาที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ข้าอยากไปผิงเฉิงด้วยตัวเองสักครั้ง” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวในแววตาฉายถึงความละอายใจ
“ฉินเสียนถิงโหดเหี้ยมอำมหิต หากหนานกงอี้จือตกอยู่ในกำมือของเขาจริงเกรงว่าชีวิตย่อมอยู่ในอันตราย ข้าจะไปกับท่านด้วย ฟยามจำเป็นย่อมสามารถรักษาเขาได้” หลิงมู่เอ๋อร์อาสาด้วยตัวเอง
เดิมทีซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เห็นด้วยถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็อันตราย หากเกิดการปะทะกับคนของเจ้าเจ็ดจริงเกรงว่าตัวเขาก็ยากที่จะปกป้องตัวเอง
แต่มู่เอ๋อร์พูดถูกหากหนานกงอี้จือได้รับบาดเจ็บจริง มีมู่เอ๋อร์อยู่ด้วยย่อมสามารถวางใจได้
“แต่ท่านเป็นองค์ชายรอง หากไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาทก็ไม่อาจออกจากเมืองหลวงโดยพลการได้ พวกเราจะไปผิงเฉิงอย่างราบรื่นได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างลำบากใจ
“ไม่มีเหตุผลก็แค่ต้องสร้างเหตุผลขึ้นมา ข้ามีวิธีทำให้เสด็จพ่อมีรับสั่งส่งข้าไปที่ผิงเฉิงด้วยตัวเอง จะไม่มีทางให้โอกาสใดกับเจ้าเจ็ดอีกเด็ดขาด”