เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 355 โชคชะตา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 355 โชคชะตา
เล่มที่ 12 ตอนที่ 355 โชคชะตา
“เหตุใดจึงเป็นพี่ใหญ่โจว?” หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินข่าวคืนนี้ก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะเคยคิดมาโดยตลอดว่าจะต้องมีสักวันหนึ่งที่นางต้องเผชิญหน้ากับโจวฉี่เยี่ยนในฐานะศัตรูเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเช่นนี้ อีกทั้งเขายังตายในบ้านของนางอีกด้วย
“ข้าก็คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะแอบเข้ามาในคืนวันแต่งงานของพวกเราจริงๆ ทว่ายามที่ข้าไปถึงองครักษ์ก็จัดการเขาแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวพลางมองท่าทีของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง มองออกถึงความเศร้าโศกอยู่ลึกๆ ภายในดวงตาของนางเขาก็รู้สึกปวดใจ
“พาข้าไปดูหน่อย”
โจวฉี่เยี่ยนถูกคนหามเข้าไปในห้องแล้ว เห็นเขานอนอย่างสงบอยู่บนพื้นโดยที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลท่าทางราวกับหลับอยู่ หลิงมู่เอ๋อร์ปิดปากในแววตามีความเจ็บปวด
นางยอมรับว่ายามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินบอกนางว่ามือสังหารในคืนนี้คือโจวฉี่เยี่ยนอีกทั้งยังตายแล้ว นางยังคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดไป
แต่เมื่อได้เห็นตัวเขาที่นอนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเข้าจริงๆ โลหิตทั่วทั้งร่างก็ไหลย้อนกลับขนลุกขึ้นมาทั้งตัว
“พี่ใหญ่โจว!” นางสะอื้นไห้แม้จะเคยบอกเขาว่าหากเจอหน้ากันอีกคราจะนับว่าเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อเห็นเขาล้มลงอยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะอย่างไรน้ำตาก็ไหลรินไม่หยุด
ภาพที่เคยทำเรื่องราวต่างๆ ด้วยกันในวันวานในยามนี้ยังคงไหลผ่านเข้ามา ในยามนั้นที่พวกเขาร่วมมือกันก็รู้ใจกันเป็นอย่างดี นางเพียงมองคราหนึ่งเขาก็เข้าใจว่านางต้องการวัตถุดิบสมุนไพรชนิดใด แต่ในวันนี้โจวฉี่เยี่ยนกลับ…
“ผู้ตายย่อมเป็นใหญ่ [1] เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเถอะ”
หลิงมู่เอ๋อร์เสนอ นางทนเห็นเขาอยู่ในสภาพจนตรอกเช่นนี้ไม่ได้
ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้สายตาส่งสัญญาณให้คนข้างตัวโดยพลัน จึงมีบ่าวนำเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านและเหมาะสมชุดหนึ่งมา
หลิงมู่เอ๋อร์ดึงลูกธนูที่อยู่ตรงหน้าอกของเขาออก รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ยังเหลืออยู่บนศพของเขา นางขมวดคิ้วแน่นความเกลียดชังต่อคนผู้นั้นยิ่งพวยพุ่งขึ้นมาราวกับคลื่นลมถาโถม
“เป็นฝีมือของเขาใช่หรือไม่?” นางหันกลับไปถามด้วยความโกรธเกรี้ยว ขอเพียงซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้านางก็แทบจะพุ่งออกไปอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้นโดยพลัน และจะบีบคอเขาเพื่อถามว่าเพราะเหตุใด!
“ใช่หรือไม่อีกเดี๋ยวก็รู้ พวกเราออกไปก่อนเถอะ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจับไหล่ของนางบังคับพานางออกมาจากห้อง หลังจากนั้นจึงมีองครักษ์เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โจวฉี่เยี่ยน
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปประตูห้องก็เปิดอีกครา โจวฉี่เยี่ยนหาได้ดูมีสภาพจนตรอกเช่นเมื่อครู่ยามที่ถูกสังหาร ร่างของเขาที่สวมชุดสีขาวดูสง่าผ่าเผยราวกับองค์ชายที่กำลังหลับใหล
“นี่คือพี่ใหญ่โจวที่ข้ารู้จัก” หลิงมู่เอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกที่ไม่อาจยอมรับได้ซึ่งมีต่อเขา ความเห็นใจที่มีต่อเขาพรั่งพรูเข้ามาในหัว
ยังจำครั้งแรกยามที่พวกเขาพบกันได้ ร่างของเขาก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกันทั้งยังมีสภาพจนตรอกราวกับขอทาน
แต่หลังจากนั้นคนผู้นี้ก็รักษาภาพลักษณ์คุณชายสูงศักดิ์ให้อยู่กับตัวของเขามาเสมอ ไม่ต่อสู้ชิงดีชิงเด่นมีท่าทีไม่แสวงหาเรื่องทางโลกราวกับไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่าง แม้นางจะรู้ว่าตลอดมาในใจเขามีความอาฆาตแค้นและความเกลียดชัง ทว่าต่อหน้านางโจวฉี่เยี่ยนก็อ่อนโยน ใจกว้าง เป็นพี่ชายข้างบ้านที่ทะนุถนอมนางอยู่เสมอ
“มู่เอ๋อร์?” เห็นมู่เอ๋อร์ทั้งโกรธทั้งแค้นและในแววตายังมีความโศกเศร้า ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
“องครักษ์พูดถูกที่ปลายดาบของเขามีพิษร้ายแรงอยู่จริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก ละทิ้งความรู้สึกโศกเศร้าทั้งหมดไป นางมองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างจริงจัง “พวกเราไปกันเถอะ”
หลังจากได้รับการพยักหน้าเห็นด้วยจากเขาทั้งสองคนก็เดินไปทางหน้าประตูทันที คาดไม่ถึงว่าหยางซื่อที่ไม่รู้ว่าได้ยินข่าวมาจากที่ใดกลับพุ่งพรวดเข้ามาอย่างกะทันหัน
“พ่อหนุ่มโจว? นั่นพ่อหนุ่มโจวจริงๆ หรือ?” ยามที่หยางซื่อพุ่งเข้ามาเห็นโจวฉี่เยี่ยนที่เงียบงันร่างก็แข็งทื่อ นางไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจริงๆ
พวกท่านยาย หลิงต้าจื้อ และหยางต้าหนิวที่ตามมาด้วยก็พากันตะลึงงัน
มีบ่าวรับใช้ที่คิดจะขวางพวกเขาไว้แต่กลับถูกสายตาเย็นชาของซั่งกวนเซ่าเฉินหยุดไว้ พวกเขาพุ่งเข้าไปตรงหน้าโจวฉี่เยี่ยนโดยพลัน
ยามที่ตรวจลมหายใจของเขาและยืนยันว่าเขาตายแล้วจริงๆ หางตาของหยางซื่อก็มีน้ำตาไหลลงมาโดยพลัน นางมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า “มู่เอ๋อร์ ไม่ใช่เจ้าบอกว่าพ่อหนุ่มโจวออกจากเมืองหลวงไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษหรือ? เขา เหตุใดเขาจึงกลายเป็นเช่นนี้?”
“ใช่ พวกเราได้ยินคนพูดว่าคืนนี้มีมือสังหารมาลอบฆ่าคน เหตุใดเขาจึงกลายเป็นมือสังหารเล่า ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หลิงต้าจื้อก็เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
ในใจของพวกเขาโจวฉี่เยี่ยนก็เกือบจะเป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่ง แม้จะอยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีแต่ก็กินอยู่ร่วม ความสัมพันธ์ฉันครอบครัวนั้นไม่ว่าคำพูดใดก็ไม่อาจใช้พรรณนาออกมาได้
เห็นเขาตายอยู่ตรงหน้าด้วยตาของตัวเองก็ราวกับคนผมหงอกส่งคนผมดำ [2] พวกเขาไม่ว่าใครก็ล้วนรับไม่ได้
“ท่านพ่อท่านแม่มีหลายเรื่องที่ไม่อาจอธิบายให้ชัดเจนด้วยคำพูดไม่กี่คำ พี่ใหญ่โจวหาใช่พี่ใหญ่โจวที่พวกเราเคยรู้จักขอรับ เขา…เขาก็มีความลำบากใจของตัวเองเช่นกันขอรับ” หลิงจือเซวียนฉลาดเฉลียวคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนสักหน่อยก็รู้ว่าคืนนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น และเพราะเหตุใดคนผู้นี้จึงเป็นโจวฉี่เยี่ยน แต่สุดท้ายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ก็ยังรักษาเกียรติและไมตรีจิตต่อเขาอยู่บ้าง
“พ่อหนุ่มโจวผู้น่าสงสาร เหตุใดเขาจึงทำเรื่องโง่เขลาที่คาดไม่ถึงเช่นนี้เล่า เขาจากไปเช่นนี้แล้วทิ้งเจ้าหนูรุ่ยไว้คนเดียวได้อย่างไร?” หยางซื่อรู้สึกปวดใจต่อพวกเขาพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง จับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ “มู่เอ๋อร์พ่อหนุ่มโจวก็ไม่อยู่แล้ว จะปล่อยให้เจ้าหนูรุ่ยจากไปอีกคนไม่ได้ เขาอยู่ที่ไหนหากสะดวกก็รับเขามาอยู่ที่จวนตระกูลหลิงกับพวกเราเถอะ”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าท่านแม่เป็นคนจิตใจดีจึงพูดเช่นนี้ แต่นางรู้ว่าคืนนี้ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้แล้ว
“ท่านแม่แท้จริงแล้วชีวิตของพี่ใหญ่โจวหาได้เหมือนเช่นที่ท่านคิด เจ้าหนูรุ่ยความจริงก่อนที่พวกเราจะมาที่เมืองหลวงก็…ถูกสังหารแล้ว”
“อะไรนะ!”
ได้ยินคำพูดนี้หยางซื่อก็แทบจะเป็นลมล้มลงไป ยังดีที่หลิงต้าจื้อประคองนางไว้อย่างมั่นคงได้ทันเวลา
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ พวกเขาสองพี่น้องเหตุใดจึงชีวิตอาภัพเช่นนี้!” หยางซื่อปล่อยโฮร้องไห้อย่างหนัก ในใจนางปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นลูกชายแท้ๆ มานานแล้ว ดังนั้นหลังจากได้ยินข่าวว่าพี่น้องโจวฉี่เยี่ยนและโจวฉี่รุ่ยพากันตายตกไปตามกันก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
“บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา ลูกสาววันนี้ถึงอย่างไรก็เป็นวันมงคลของมู่เอ๋อร์ ที่นี่วุ่นวายมากพอแล้วพวกเราที่ไม่เข้าใจเรื่องราวก็อย่าได้สร้างปัญหาเพิ่มอีกเลย พวกเราไปเถอะ” ท่านยายเกรงว่าหากพวกเขาเข้ามาร่วมวงด้วยจะทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่พอใจ และจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขากับมู่เอ๋อร์
“ท่านแม่ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะต้องทวงคืนความเป็นธรรมให้พี่ใหญ่โจวแน่นอนเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์รับรองเช่นนี้ก่อนจะใช้สายตาส่งสัญญาณให้หลิงจือเซวียน “ท่านพี่รบกวนท่านพาท่านแม่กลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวพวกเราก็กลับไปเช่นกัน”
หลิงจือเซวียนไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามู่เอ๋อร์กับน้องเขยจะไปที่ใด หัวคิ้วดูดีของเขาขมวดรวมกันเป็นเส้นเดียว “เจ้าวางใจส่งท่านพ่อท่านแม่มาให้ข้าเถอะ แต่มู่เอ๋อร์…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “ระวังตัวด้วย”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”
หลังสบสายตากับซั่งกวนเซ่เฉิน หลิงมู่เอ๋อร์กับเขาก็ออกไปจากตำหนักองค์ชายรอง ทันใดนั้นก็มีองครักษ์หามศพของโจวฉี่เยี่ยนตามหลังไป
เพราะดึกมาแล้วในตำหนักขององค์ชายเจ็ดเงียบสงัด
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายเจ็ดฉินเสียนถิงพักผ่อนแล้ว ยามที่เขาพาเซิงเอ๋อร์มาปรากฏตัวทั้งสองคนก็มีท่าทางสะลึมสะลือ
“มู่เอ๋อร์ องค์ชายรอง เหตุใดพวกท่านจึงมาดึกดื่นเช่นนี้หรือเจ้าคะ?” เซิงเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมบนร่าง นางลองดูเวลาก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
“หืม คืนนี้เป็นวันสมรสของเสด็จพี่รองกับภรรยา เหตุใดเสด็จพี่รองจึงทิ้งค่ำคืนหวานชื่นในคืนส่งตัวเข้าหอมาเช่นนี้ แล้ววิ่งมาที่ตำหนักองค์ชายเจ็ดของข้าเล่า?” ฉินเสียนถิงกล่าวยั่วเย้า
เห็นท่าทางราวกับไม่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นคืนนี้จริงๆ แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้น
“พี่เซิงเอ๋อร์พวกเรามาหาองค์ชายเจ็ดเพราะมีเรื่องสำคัญต้องหารือด้วย แต่ดึกมากแล้วเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของท่าน ถึงอย่างไรท่านก็มีสองชีวิตในร่างเช่นนั้นกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” หลังหลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างอ่อนโยนก็มองไปยังฉินเสียนถิงอย่างเย็นชาโดยพลัน มุ่งมั่นว่าหากไม่ได้รับคำตอบก็จะไม่ยอมรามือเด็ดขาด
“เป็นเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลิงมู่เอ๋อร์ต้องการกันนางออกไป ในใจของเซิงเอ๋อร์ก็สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา แต่นางก็ยังต้องการอยู่ต่อบางทีนางอาจสามารถช่วยสิ่งใดพวกนางได้
“ไม่ได้ยินหรือว่าพี่สะใภ้รองให้เจ้ากลับไปพักผ่อน?” ฝ่ามือของฉินเสียนถิงฟาดลงไปบนโต๊ะอย่างไม่พอใจโดยพลัน “ถึงอย่างไรพี่สะใภ้รองก็เป็นเซียนแพทย์ หมอบอกให้เจ้าไปพักผ่อนเจ้ายังไม่รีบเชื่อฟังอีก หากทำให้เกิดเรื่องอันใดกับทายาทในอนาคตของข้า ข้าย่อมโกรธเจ้าแน่”
ฉินเสียนถิงกล่าวส่งสัญญาณให้สาวใช้ที่อยู่ข้างนอก “เข้ามา ไปส่งเช่อเฟยกลับห้อง”
ยามที่เซิงเอ๋อร์ถูกบังคับพาเดินไปก็มองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตึงเครียด น่าเสียดายที่หลิงมู่เอ๋อร์กลับมิได้มองนางเพราะเหตุนี้จึงยิ่งทำให้ในใจนางไม่สบายใจ
แต่ในยามนี้ถึงหลิงมู่เอ๋อร์จะกังวลแต่ก็ไม่อาจพูดมากความ หลังจากนางสบสายตากับซั่งกวนเซ่เฉินก็กล่าวพึมพำ “ให้คนพาเขาเข้ามา”
ยามที่ศพของโจวฉี่เยี่ยนถูกหามมาตรงหน้าองค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดกลับยังมีท่าทีไม่สะทกสะท้าน สิ่งเดียวที่ต่างจากเมื่อครู่มีเพียงคิ้วของเขาที่ขมวดเล็กน้อยเท่านั้น
“จิ๊ๆๆ ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันมงคลของเสด็จพี่กับพี่สะใภ้ เหตุใดจึงหามศพมาที่ตำหนักของข้าเล่า เป็นลางร้ายจริงๆ” ฉินเสียนถิงเงยหน้ามองอย่างสงสัย “หรือเสด็จพี่กับพี่สะใภ้ไม่คิดว่าเป็นลางร้ายหรือ?”
“ฉิน…” หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะเรียกชื่อแท้จริงของเขา แต่ถูกซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ข้างหลังหยุดไว้
“น้องเจ็ดไม่คิดว่าคนผู้นี้ดูคุ้นๆ หรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้เมตตาราวกับตำหนิติเตียน
ฉินเสียนถิงที่ยืดคอมามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับเพิ่งจำสถานะของเขาได้ เขารู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง “โจวฉี่เยี่ยน?”
เขาเงยหน้ามองหลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉิน แผ่มือทั้งสองข้างออกด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดศพของโจวฉี่เยี่ยนจึงมาอยู่ที่นี่? แล้วเสด็จพี่กับพี่สะใภ้หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดหามศพนี่เข้ามาตำหนักข้ากลางดึกเช่นนี้?”
“ฉินเสียนถิงเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยังแสร้งถาม!” หลิงมู่เอ๋อร์เรียกชื่อจริงขององค์ชายออกมาอย่างไม่สนใจอีกต่อไปว่าจะเป็นความผิดร้ายแรงหรือไม่ นางชี้ไปที่ใบหน้าของเขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ากล้าบอกว่าเรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ? โจวฉี่เยี่ยนเป็นคนของเจ้าเหตุใดศพของเขาจึงมาอยู่ในมือของพวกเรา เรื่องนี้พวกเราควรจะถามเจ้าจึงจะถูก!”
“พี่สะใภ้ช่างกล้าหาญมากเสียจริง แม้แต่นามแท้จริงขององค์ชายก็ยังกล้าเอ่ยออกมาได้อย่างอาจหาญ ดูท่าเสด็จพี่จะยังไม่ทันได้สอนกฎเกณฑ์ในวังหลวงให้ท่าน” สีหน้าของฉินเสียนถิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เขาเดินไปหาหลิงมู่เอ๋อร์หยุดอยู่ห่างจากนางหนึ่งก้าวมองลงไปที่นาง “พี่สะใภ้ก็รู้ว่าตามกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเรียกนามแท้จริงขององค์ชายตรงๆ ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษตามกฎของวังหลวง!”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยังคงมองมาที่เขาด้วยความเกรี้ยวกราด เขาก็ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แต่ไม่เป็นไรเห็นแก่ที่วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของพวกท่าน ผู้เป็นน้องจะไม่ถือสาเอาความ”
“เจ้าไม่เอาความก็หาใช่ว่าพวกข้าจะไม่เอาความ!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “โจวฉี่เยี่ยนเป็นคนของเจ้านี่คือเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี คืนนี้เขาไปลอบสังหารองค์ชายรองที่ตำหนักขององค์ชายรอง ฉินเสียนถิงเจ้าจะอธิบายเช่นไร!”
เชิงอรรถ
[1] ผู้ตายย่อมเป็นใหญ่ หมายถึง การแสดงความเคารพแก่ผู้ตาย เมื่อมีคนตายย่อมต้องมีงานศพ เมื่อมีคนตายก็ต้องให้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี
[2] คนผมหงอกส่งคนผมดำ หมายถึง คนอายุน้อยหรือคนรุ่นหลังที่ตายก่อนคนแก่หรือคนอายุมาก