เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 354 โจวฉี่เยี่ยนตาย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 354 โจวฉี่เยี่ยนตาย
เล่มที่ 12 ตอนที่ 354 โจวฉี่เยี่ยนตาย
ในมุมลับตาคนฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวดื่มเหล้าทั้งแก้วภายในอึดใจเดียว มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจของซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครา แต่นางกลับส่ายศีรษะอย่างอ่อนโยน
“หาใช่ความผิดของเจ้าไม่” หลังจากได้ยินรายงานเรื่องสถานการณ์ของหนานกงอี้จือ นางก็กล่าวอย่างอ่อนโยน
“ท่านน้าจะไม่ตำหนิข้าหรือ?” ความละอายบนใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินยังไม่ลดลง
วันนี้เขาได้รับข่าวอีกครั้งว่าหนานกงอี้จือหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ หากเขาเดาไม่ผิดนี่ต้องเป็นกลอุบายของเจ้าเจ็ดเป็นแน่
แม้หนานกงอี้จือจะเป็นญาติผู้น้องของเขา แต่ก็ยังเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขาอีกด้วย หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ คนที่เขารู้สึกละอายใจด้วยมากที่สุดก็คือท่านน้า
ท่านน้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกชายแท้ๆ มาตั้งแต่เด็ก ยังจำได้ว่าตอนยังเด็กหนานกงอี้จือเคยถามนางอย่างอิจฉาว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเป็นลูกชายแท้ๆ ของนางกันแน่ แต่ท่านน้ากลับบอกว่า “แน่นอนว่าเป็นเจ้า แต่แม่ของเฉินเอ๋อร์จากไปแล้วข้าก็นับว่าเป็นแม่ของเขา ข้าต้องให้ความรักกับเขามากเป็นสองเท่าจึงจะทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ใช่เด็กกำพร้าได้”
เขาจำคำพูดนี้ได้อยู่ตลอดอีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่ท่านน้าดูแลเขามา
“ตำหนิเจ้าแล้วอย่างไร ไม่ตำหนิเจ้าแล้วอย่างไร มันจะทำให้เจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นโผล่ออกมาจากอากาศหรือ?” หลังจากฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวยิ้มก็กุมมือซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างอ่อนโยน “เฉินเอ๋อร์ แม้ว่าเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นจะเป็นลูกชายที่แสนล้ำค่าของข้า แต่เขาก็เป็นซื่อจื่อแห่งจวนหนิงกั๋วโหวด้วยเช่นกัน เขามีหน้าที่ของเขาหาใช่ว่าเขาไปเล่นสนุกจนตกอยู่ในอันตราย เขาไปจัดการเรื่องที่สำคัญยิ่ง ข้าเชื่อว่าเขาก็เชื่อใจเจ้าเช่นกันเช่นนี้ข้าจะยังตำหนิเจ้าได้อย่างไร”
รู้มาตลอดว่าท่านน้าเป็นคนที่มีเหตุมีผลอย่างถึงที่สุด แต่ยิ่งท่านน้าเป็นเช่นนี้ในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ
“ท่านน้าโปรดวางใจข้าจะเร่งจัดการเรื่องทั้งหมดในเมืองหลวงให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด และจะมุ่งหน้าไปยังผิงเฉิงทันที ข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องกับเขาเด็ดขาดขอรับ!” ซั่งกวนเซ่าเฉินรับปาก
“มีเจ้ารับปากเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว แต่ไหนแต่ไรน้าก็ไม่เคยผิดหวังในตัวเจ้า และสัญญาที่เจ้ารับปากตั้งแต่เด็กจนโตก็ล้วนไม่เคยผิดคำพูด ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องพาเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
ท่านน้ากล่าวพลางส่งแก้วเหล้ามาให้เขาอีกครา “วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของเจ้าพวกเราอย่ายกเรื่องที่ไม่มีความสุขเหล่านั้นขึ้นมาพูดเลย มาเถอะน้าจะดื่มให้เจ้าอีกแก้วหนึ่ง ขออวยพรให้เจ้าและมู่เอ๋อร์มีความสุขตลอดไป”
“ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับท่านน้า!” พันหมื่นคำพูดไหลรวมไปอยู่ในเหล้า ซั่งกวนเซ่าเฉินหาใช่คนพูดมากแต่ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ล้วนเข้าใจอย่างชัดแจ้งยิ่ง
เขาจะไม่ทำลายความเชื่อใจที่ท่านน้ามีต่อเขาเด็ดขาด!
“มีมือสังหาร ทหารมีมือสังหาร!” ทันทีที่มีเสียงตะโกนก้องดังมาจากท้ายตำหนักฝูงชนที่ครื้นเครงก็เงียบลงโดยพลัน
หลังจากที่ซั่งกวนเซ่าเฉินและฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวสบสายตากันก็รีบร้อนลุกขึ้น ในขณะนั้นเององครักษ์ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทั้งสองคน
“ทูลองค์ชายรองที่ท้ายตำหนักมีมือสังหารปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ขอองค์ชายรองโปรดมีรับสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นไปดังคาด สิ่งที่น่าจะเกิดได้เกิดขึ้นแล้ว
แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะเมาอยู่บ้างแต่ในสถานการณ์คับขัน ก็ราวกับสุราที่ดื่มไปเมื่อครู่ทั้งหมดล้วนเป็นน้ำแร่ธรรมดา เขาฟื้นคืนสติโดยพลัน
“ทหารพาแขกทั้งหมดเคลื่อนย้าย คุ้มกันสตรีและเด็ก ทุกคนตามข้ามา!” เขาส่งสัญญาณมือองครักษ์ก็แยกเป็นสองแถวเดินตามหลังเขาไปโดยพลัน
แต่เพิ่งออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าวทันใดนั้นเขาก็หมุนกายกลับมาชี้นิ้วไปยังทหารผู้หนึ่ง “เจ้านำองครักษ์ยอดฝีมือสิบนายไปคุ้มครองครอบครัวมู่เอ๋อร์ให้ดี ส่วนคนอื่นตามข้ามา!”
พวกหยางซื่อที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดแจ้งก็ราวกับตระหนักได้ถึงความอันตรายที่กำลังจะมาถึง แต่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ก็เห็นว่าซั่งกวนเซ่าเฉินยังห่วงใยพวกเขาเช่นนี้ พวกหยางซื่อก็พากันทำได้เพียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ท่านแม่ขอรับดูเหมือนในตำหนักจะพบมือสังหาร ไม่สู้ท่านกับท่านยายไปอยู่เป็นเพื่อนมู่เอ๋อร์ที่ห้องหอก่อนจะดีกว่าขอรับ” หลิงจือเซวียนมองสถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาด
ในยามนี้เองฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็มาอยู่ข้างกายทุกคนแล้ว “ทุกคนไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกไป เฉินเอ๋อร์จะเป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อยเอง อีกทั้งข้าได้ส่งคนไปอยู่คุ้มครองข้างกายมู่เอ๋อร์ก่อนแล้ว ในยามนี้พวกเจ้าอย่าไปจะดีกว่าหากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นจริงๆ กลับจะเป็นพวกเจ้าที่เข้าไปพัวพันแทนมู่เอ๋อร์ พวกเจ้าวางใจเถอะข้าก็จะปกป้องพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”
พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดามีอย่างที่ไหนจะใช้ให้ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวปกป้องตัวเอง พวกหยางซื่อรู้สึกละอายใจแต่เห็นสีหน้าท่าทางที่ไม่ยอมลดราวาศอกโดยเด็ดขาดของฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหว พวกเขาก็ทำได้เพียงปิดปากอย่างว่าง่ายและรออยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ เฝ้าภาวนาให้อันตรายในค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว
ณ ท้ายตำหนัก
โจวฉี่เยี่ยนลากขาข้างที่ไม่สมประกอบวิ่งออกมาจากห้องพักแขกห้องหนึ่งอย่างยากลำบาก เดิมทียังคิดจะใช้วิชาตัวเบาทะยานออกมาแต่จู่ๆ ก็มีลูกธนูแหลมคมลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาจากข้างหลัง
“อ๊าก!”
เขาร้องออกมาอย่างน่าสงสารเสียงหนึ่งก่อนที่ทั้งร่างจะโถมตัวไปเบื้องหน้าโดยพลัน และยามที่หยัดกายขึ้นอีกคราลูกธนูก็แทงทะลุหน้าอกเสียแล้ว
เห็นองครักษ์ของตำหนักองค์ชายรองพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง เขาก็หยิบพลุสัญญาณที่องค์ชายเจ็ดเคยให้เขาออกมาจากอกทันที
แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตกตะลึง เหตุใดพลุสัญญาณจึงใช้การไม่ได้!
‘เจ้ารับพลุสัญญาณนี้ไว้เสีย เมื่อพบอันตรายอันใดที่ตำหนักองค์ชายรองก็ให้โยนพลุสัญญาณไปกลางอากาศ องครักษ์เงาชั้นยอดยี่สิบคนจะพุ่งเข้าไปช่วยเจ้าที่ตำหนักองค์ชายรองทันที’
ในหัวนึกถึงคำพูดที่องค์ชายเจ็ดเคยบอกโดยพลัน ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวก็เห็นองครักษ์เงายี่สิบคนนั้นหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้ตำหนักองค์ชายรองด้วยตาตัวเอง แต่เหตุใดพลุสัญญาณจึงใช้การไม่ได้เล่า?
ในสายตาเห็นองครักษ์ที่หมายจะพุ่งเข้ามาจับเป็นเขา โจวฉี่เยี่ยนร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาสีแดงก่ำกระหายเลือดทั้งสองข้างฉายแววเย็นยะเยือก ยิ่งเขาร้อนรนการเคลื่อนไหวก็ยิ่งตื่นตระหนก แต่ไม่ว่าเขาจะตื่นตระหนกอย่างไรเขาก็สามารถยืนยันได้ว่าพลุสัญญาณนี้เป็นของปลอม
“หรือว่าองค์ชายเจ็ดหลอกข้า?”
โจวฉี่เยี่ยนนึกถึงสาเหตุอื่นไม่ออก และองครักษ์หลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของเขาแล้ว เขาหาได้สนใจลูกธนูแหลมคมที่กลางอกพยายามหยัดกายอย่างยากลำบาก ดาบในมือฟาดฟันลงไปสังหารองครักษ์ผู้หนึ่งได้ในดาบเดียว
คืนนี้เป็นงานมงคลสมรสขององค์ชายรอง เขาเตรียมตัวอย่างเต็มที่ปฏิบัติตามรับสั่งขององค์ชายเจ็ด ลอบเร้นเข้ามาในหมู่แขกเหรื่อวางแผนจะสังหารซั่งกวนเซ่าเฉิน ใครจะรู้ว่าแม้แต่ในงานสมรสของตัวเองเขาก็ล้วนไม่ลืมที่จะเสริมกำลังองครักษ์ เขาจึงทำได้เพียงเข้าไปลอบขโมยตามรับสั่งขององค์ชายเจ็ดก่อน แต่หลังจากเผยพิรุธอย่างไม่ทันระวังก็ต้องเผชิญหน้ากับองครักษ์จำนวนมากที่โอบล้อมโจมตีอย่างรวดเร็ว
เขาคิดว่ามีพลุสัญญาณขององค์ชายเจ็ดอยู่ จึงมีองครักษ์เงาชั้นยอดยี่สิบคนนั้นด้วย ต่อให้เผชิญอันตรายเขาก็ยังสามารถหลบหนีออกมาได้ แต่ในยามนี้ดูท่าแล้วคงเป็นองค์ชายเจ็ดที่ทอดทิ้งเขา!
“อ๊าก!!”
โจวฉี่เยี่ยนแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำราม ถือดาบในมือฟาดฟันอย่างไร้แบบแผนแม้ว่าจะมีองครักษ์มากมายที่ถูกเขาแทงจนบาดเจ็บ แต่สุดท้ายเขาก็ตัวคนเดียวถึงจะป้องกันหน้าแต่ก็ไม่อาจระวังหลัง แผ่นหลังของเขาถูกคนแทงอย่างรุนแรงดาบหนึ่งอีกครา
“อั่ก”
เลือดสีแดงฉานถูกพ่นออกมาอึกหนึ่ง โจวฉี่เยี่ยนคุกเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง มือทั้งสองข้างกุมดาบที่แทงทะลุตัวเองไว้แน่น เห็นเพียงเขาออกแรงคราหนึ่งดึงดาบออกมาด้วยตัวเอง ภายใต้สายตาตกตะลึงขององครักษ์โดยรอบ เขาโยนดาบทิ้งทั้งยังปลิดชีพองครักษ์เคราะห์ร้ายอีกสามคน
พลธนูเร่งรีบยิงลูกธนูออกไปโดยพลัน เดิมทีโจวฉี่เยี่ยนก็เตรียมใจจะยอมแพ้อยู่แล้ว รู้สึกเพียงความแสบร้อนบนร่างกายหลายแห่ง ในชั่วขณะหนึ่งนั้นเองภาพช่วงชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาก็แล่นเข้ามาในสมอง เขายกมือขึ้นคิดจะไขว่คว้าแต่อย่างไรก็ไม่อาจไขว่คว้าไว้ได้
‘พี่ใหญ่โจวหลังจากนี้ท่านมารักษาตัวที่โรงหมอของข้าเถอะ ข้าเชื่อใจท่าน’
‘พี่ใหญ่โจว การติดตามองค์ชายเจ็ดจะเป็นการกลบฝังความสามารถของท่าน ท่านต้องคิดให้ถี่ถ้วนนะเจ้าคะ’
‘พี่ใหญ่โจวหลังจากวันนี้พวกเราเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านทางมา หากพบหน้ากันอีกนับว่าเป็นศัตรูกัน!’
คำพูดที่หลิงมู่เอ๋อร์เคยบอกเขาดังขึ้นข้างหูไม่หยุด ทุกการแสดงออกของนาง ทุกการกระทำของนาง ราวกับว่าสตรีผู้นั้นที่นำแสงสว่างสดใสเข้ามาในชีวิตของเขาอยู่เบื้องหน้าเขา
ที่แท้ช่วงชีวิตที่งดงามที่สุดก็คือที่เมืองเล็กๆ ที่อยู่หน้าหมู่บ้านตระกูลหลิง และยามที่นางเปิดโรงหมอ
ที่แท้ก็เป็นเขาที่เดินทางผิดมาตลอด
รูม่านตาของเขาขยายออกราวกับมองเห็นบางสิ่งกำลังวิ่งมาหาเขาแต่เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว
“ข้าขอโทษ มู่เอ๋อร์”
ตุบ เขาล้มลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง
ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินพาคนเร่งรุดเข้ามา องครักษ์โดยรอบก็คุกเข่าลงบนพื้นโดยพลัน “ถวายบังคมองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นหัวหน้าเงยหน้าขึ้นมา “ทูลองค์ชายรองมือสังหารทำการขัดขืนอยู่หลายคราจึงถูกพวกกระหม่อมสำเร็จโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจกำลังเดินตรงเข้าไปทางมือสังหาร เพราะร่างของมือสังหารสวมชุดดำสำหรับลอบเร้นกายที่มีผ้าคลุมหน้า ในคราแรกเขาจึงยังจำอีกฝ่ายไม่ได้
“องค์ชายรองโปรดระวังพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เตือนด้วยเกรงว่าหากมือสังหารยังไม่ตกตายไปจริงๆ กลัวว่าเขาจะทำอันตรายต่อเจ้านายของตน
ซั่งกวนเซ่าเฉินโบกมือส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไร หลังจากเขาเข้าไปใกล้ก็รู้สึกโดยพลันว่าร่างของคนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคย เขาดึงดาบข้างเอวขององครักษ์ข้างกายออกมาโดยพลัน ก่อนจะใช้ปลายดาบเปิดผ้าคลุมหน้าของอีกฝ่าย
ยามที่เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของโจวฉี่เยี่ยน เขาก็ตกตะลึงยิ่ง “เหตุใดจึงเป็นเขา?”
“องค์ชายรองรู้จักคนผู้นี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ใบหน้าของผู้เป็นหัวหน้าปรากฏความสงสัย
หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินสูดหายใจเข้าลึกก็หลับตาและลืมตาขึ้นมาอีกครา ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา “ทหาร รายงานสถานการณ์ในยามนี้มา ตกลงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขามีผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่?”
“ทูลองค์ชายรอง ยามที่กระหม่อมกำลังเฝ้ายามอยู่ก็เกิดเสียงแปลกๆ ขึ้นทางด้านนี้ ยามที่เข้าไปใกล้จึงพบว่าคนผู้นี้แอบลอบเข้ามาที่ห้องหนังสือขององค์ชายรองด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ กระหม่อมทำการเข้าจับกุมเขาทันทีแต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าขัดขืน จึงต้องยิงธนูปลิดชีพเขาอย่างไม่มีทางเลือกพ่ะย่ะค่ะ ทว่าไม่พบผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาในตำหนักเลยพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์รายงาน
จิตใจของซั่งกวนเซ่าเฉินตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน โจวฉี่เยี่ยนคือผู้ใด? คนของฉินเสียนถิง! เหตุใดอีกฝ่ายจึงลอบเข้ามาในห้องหนังสือของตน? แน่นอนว่าเพราะต้องการขโมยบัญชีของฉินเสียนถิงกลับไป
คาดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเป็นไปดั่งที่เขาคาดเดาไว้ แต่ถึงเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วก็ยังคิดไม่ถึงว่าเจ้าเจ็ดจะโหดร้ายส่งคนขาพิการผู้หนึ่งมาคนเดียว ทั้งยังเป็นสหายของมู่เอ๋อร์ให้มาทำเรื่องนี้
“คนผู้นี้มิใช่คนขององค์ชายเจ็ดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงที่เร่งรีบตามหลังมาจำสถานะของโจวฉี่เยี่ยนได้ เขามองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินโดยพลัน “เหตุใดคนขององค์ชายเจ็ดจึงมาสร้างเรื่องวุ่นวายที่ตำหนักขององค์ชายรอง องค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะเรื่องนี้ต้องกราบทูลฝ่าบาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ระยะนี้เสด็จพ่อกลัดกลุ้มเรื่องของหวางโฮ่วมากแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเอาไปรบกวนเสด็จพ่อจะดีกว่า แต่คนผู้นี้มาจากตำหนักองค์ชายเจ็ดเองหรือ?” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “ให้คนไปเตรียมม้า”
“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์รับคำสั่งก่อนออกไปทันที แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับไม่ได้รีบร้อนออกจากตำหนัก ทว่ากลับเดินเข้าไปในลานของตำหนัก
โจวฉี่เยี่ยนเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของมู่เอ๋อร์ อีกฝ่ายตายแล้วเขาจึงคิดว่าควรจะไปบอกข่าวนี้แก่มู่เอ๋อร์
“องค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ…” มีองครักษ์ผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหลังอย่างกะทันหัน
เห็นท่าทางอึกอักของเขาก็เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอันใดอยากจะพูด ซั่งกวนเซ่าเฉินหยุดฝีเท้า “มีเรื่องอันใดพูดมาเถอะ”
“ทูลองค์ชายรอง เมื่อครู่ยามที่กระหม่อมตรวจสอบดาบในมือของมือสังหารผู้นั้น พบว่าปลายดาบของเขาอาบยาพิษกระหม่อมจึงคาดเดาว่าเขาหาได้มาเพื่อขโมยสิ่งใดเพียงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หากมาขโมยของเหตุใดต้องใช้ดาบอาบยาพิษ?
สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินแปรเปลี่ยนไป “ดูท่าเจ้าเจ็ดคงอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว สิ่งที่เขาต้องการก็คือชีวิตของข้า!”