เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 345 ตื่นเต้น
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 345 ตื่นเต้น
เล่มที่ 12 ตอนที่ 345 ตื่นเต้น
“คุณชายได้รับบาดเจ็บแล้ว?” จื่อถงด้านหนึ่งพูดไป ก็รีบพยุงซูเช่อเข้าไปในห้อง “ข้าจะไปหาหมอเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“หยุดตรงนั้น!” จนกระทั่งนอนอยู่บนเตียง จึงได้รู้สึกว่าร่างกายมีกำลังอยู่บ้าง เมื่อครู่ในยามที่เขาโยนสมุดบัญชีไว้ที่หน้าประตูห้องของมู่เอ๋อร์ เขารู้สึกเพียงว่าตนเองใกล้จะตายแล้ว หากมิใช่ความยึดมั่นสายนั้นที่ประคองไว้ในตอนท้าย เกรงว่าเขาคงไปพบพระยายมแล้ว
“เจ้าออกไปหาหมอในยามนี้ มิใช่เป็นการประกาศให้คนทั้งแผ่นดินรู้ข่าวที่เปิ่นหวางได้รับบาดเจ็บสาหัส? เชื่อว่ายามนี้จวนองค์ชายเจ็ดคงกำลังค้นหาคนร้ายอย่างเข้มงวด และได้สั่งการให้คนตรวจสอบความเคลื่อนไหวในคืนนี้อย่างลับๆ แล้ว เจ้าต้องการให้เปิ่นหวางตายหรือ?” หลังซูเช่อตำหนิด้วยความโมโหก็ไอออกมาอย่างรุนแรง
จื่อถงรีบตบหลังของเขาและยกน้ำชาให้เขา “คุณชาย ท่านเป็นอย่างไรแล้วขอรับ?”
หลังจากเห็นซูเช่อช้อนสายตาขึ้นมา ก็ส่ายศีรษะอย่างยากลำบาก จื่อถงถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เป็นผู้น้อยใคร่ครวญไม่รอบคอบ แต่ว่าคุณชายได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หากดึงเวลาต่อไปเกรงว่า…”
“ไม่เป็นไร” กล่าวทิ้งไว้เบาๆสามคำ ซูเช่อหลับตานอนอยู่บนเตียง
แต่ไรมาเขาเป็นคนรักความสะอาด หากเป็นในยามปกติเขาไม่มีทางอนุญาตให้ตนเองนอนลงในสภาพที่ทุลักทุเลเช่นนี้ แต่วันนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ
โยนยาขวดหนึ่งออกจากอก เขาหลับตาสั่งการว่า “ใส่ยาให้ข้า”
แม้จื่อถงยังคิดจะกล่าวสิ่งใด แต่สุดท้ายก็ปวดใจกับอาการบาดเจ็บของคุณชาย ได้แต่ใส่ยาให้เขาอย่างสงบ
แต่ในยามที่เขาเปิดเสื้อของคุณชายออก เห็นบาดแผลที่ร้ายแรงจนมิอาจมองได้นั้น เขาก็โมโหจนคิดจะสบถออกมา “ทางลับของจวนองค์ชายเจ็ดอันตรายถึงเพียงนี้ คุณชายท่าน…”
“ไม่อันตราย แล้วจะเป็นห้องลับได้อย่างไร?” ซูเช่อเยาะหยัน “แต่ว่า พวกเจ้ามีคนได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ขอบพระคุณคุณชายอย่างมากที่เป็นห่วงขอรับ พวกเรามิได้บาดเจ็บขอรับ คุณชายวางใจ ไม่เพียงไม่ได้รับบาดเจ็บ ยังมิได้เผยพิรุธใดๆ ด้วยขอรับ คนที่เหลือทั้งเก้าคนได้ถูกข้าส่งออกนอกเมืองไปในคืนนี้แล้วขอรับ ต่อให้องค์ชายเจ็ดตรวจค้นทั้งเมือง ก็หามาไม่ถึงศีรษะของจวนเสียนหวางเราขอรับ” จุดนี้จื่อถงมั่นใจเป็นอย่างมาก
“ทำได้ดี” ซูเช่อกล่าวชม แต่เนื่องจากบาดแผลลึกเกินไป และยังถูกยาถอนพิษเข้าไปอีก เขาเจ็บจนสูดลมหายใจทีหนึ่ง
“เฮือก!”
จื่อถงตกใจจะแย่แล้ว “คุณชายท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ? ข้า ข้าจะระวังขึ้นอีกหน่อย”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลังใส่ยาเสร็จออกจากห้องไป จำไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา เปิ่นหวางไม่ว่าใครก็ไม่พบ!”
เห็นคุณชายหลับตาพักผ่อน จื่อถงยังคงไม่วางใจ “หากคุณชายไม่ต้องการพบหมอ เช่นนั้นจื่อถงไปหาหลิง…?”
“หุบปาก!” ซูเช่อพลันลืมตาทั้งคู่ตำหนิด้วยความโกรธ “หรือที่เปิ่นหวางกล่าวเมื่อครู่ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ? ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่พบ ใส่ยาเสร็จก็ออกไป!”
“…ขอรับ คุณชาย!” คำที่มีอยู่เต็มท้องถูกยัดกลับเข้าไปในท้อง สุดท้ายจื่อถงก็ได้แต่เชื่อฟังคำสั่งจากไป
แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของคุณชายเกรงว่าจะรับไม่ไหว ในยามดึกเช่นนี้เขาจะทนผ่านไปได้อย่างไร?
“เจ้าบอกว่าเป็นคนชุดดำผู้หนึ่งทิ้งไว้?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองสิ่งของที่หลิงมู่เอ๋อร์ส่งมาในยามวิกาล ดีใจจนรูม่านตาขยายกว้าง ดีใจอย่างยิ่งไปทั่วทั้งร่าง
ไม่ผิด นี่ก็คือของที่เขาต้องการตามหาอยู่ตลอด บัญชีของเจ้าเจ็ด
เปิดออกดูเนื้อหาภายในอย่างละเอียด เป็นดั่งที่หลิงจือเซวียนกล่าวจริงๆ ด้านในบันทึกการคดโกงแต่ละรายการของเจ้าเจ็ด และเงินที่หลายปีมานี้เขาบีบบังคับหลอกลวงมาจากประชาชน
“ใช่ เพียงแต่มองไม่ชัดว่าผู้ที่มาเป็นใคร” หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะก็ดูเนื้อหาที่อยู่ภายใน ดีใจจนแทบอยากจะไปคิดบัญชีกับองค์ชายเจ็ดเสียเดี๋ยวนี้
“คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดที่เย่อหยิ่งอยู่ตลอดจะเหลือบัญชีการกระทำความผิดของตนไว้จริงๆ เพียงมอบสิ่งนี้ให้ฮ่องเต้ เขาจะต้องได้รับลงโทษแน่!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวไป มุมปากก็ยกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่อาจคลายความโกรธที่เขารังแกพี่ชายได้
“เกรงว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอเพียง” แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะดีใจมากเช่นกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เจ้าเจ็ดฝีปากคมคาย ขอเพียงเขาหาข้ออ้างอะไรมาอธิบาย หรือชิงความได้เปรียบลงมือก่อนบอกว่ามีคนใส่ร้ายป้ายสี บัญชีส่วนนี้ย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้ เพียงชดเชยเงินทองให้หยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนและกักบริเวณอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ทว่า ขอเพียงหนานกงอี้จือทางด้านนั้นได้หลักฐานมา สามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินสกปรกที่เจ้าเจ็ดโกงมาทั้งหมดล้วนนำมาใช้ในการเพาะเลี้ยงกองทัพ ก็จะทำให้เขาไม่มีโอกาสได้พลิกฟื้นอีกตลอดกาล!”
หลิงมู่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง “แต่ทางหนานกงอี้จือไม่มีข่าวติดต่อกันมาหลายวันแล้ว”
คำนี้เมื่อกล่าวจบ นางก็เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางรีบปลอบใจว่า “ไม่แน่ว่าเขาอาจตรวจสอบพบบางสิ่ง พวกเรายังคงอย่าได้กังวลมากเกินไปแล้ว เจ้าคนนั้นเป็นคนที่มีบุญ จะต้องไม่เกิดเรื่องแน่”
ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงคำพูดที่นางปลอบใจตนเองเท่านั้น ยามนี้ หนานกงอี้จือที่อยู่ในเมืองผิงเฉิงกำลังประสบกับการทดสอบที่เป็นตายถึงชีวิต
“พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปหาร่องรอยของหนานกงอี้จือเพิ่มอีก แต่ว่าบัญชีเล่มนี้ ที่แท้เป็นผู้ใดส่งมากันแน่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินอดสงสัยไม่ได้ ของที่แม้แต่เขาก็หาไม่พบ เป็นผู้ใดร้ายกาจถึงเพียงนี้ถึงกับหาพบแล้ว?
เมื่อครู่ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งนำบัญชีมา เขาได้ส่งคนไปสืบความเคลื่อนไหวที่จวนขององค์ชายเจ็ด คำนวณเวลาดูผู้ที่ไปก็ควรจะกลับมาแล้ว
คิดเช่นนี้ ด้านนอกประตูก็ได้ยินเสียงผู้ใต้บังคับบัญชากลับมารายงาน
เขากล่าว “เข้ามา”
องครักษ์ลับชุดดำผู้หนึ่งเข้ามารายงานอย่างเร่งร้อน “นายท่าน คืนนี้ที่จวนองค์ชายเจ็ดมีชายชุดดำหลายคนบุกเข้าไปขอรับ องค์ชายเจ็ดยังทรงนำคนไปไล่ตามด้วยตัวเองของรับ แต่มิได้มีผลลัพธ์”
“ดูท่าคงจะมีคนไปเพื่อสมุดบัญชีจริงๆ แต่ว่าเขาได้สมุดบัญชีแล้วเหตุใดจึงส่งมาที่จวนสกุลหลิง?” หลิงมู่เอ๋อร์สงสัย แต่คำพูดนี้เมื่อกล่าวจบในสมองของนางก็คิดถึงชื่อหนึ่งขึ้นมา
นางมองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินทันที เห็นได้ชัดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินก็คิดถึงสิ่งใดได้ หลังจากเขาโบกมือให้องครักษ์ลับถอยออกไป ก็อ้าปากแต่มิได้ส่งเสียงออกมา “ซูเช่อ?”
“มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นเขา!” เมื่อคิดถึงว่าเป็นซูเช่อ และมองรอยเลือดบนสมุดบัญชีอีกครั้ง ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์พลันเกิดความวิตกลนลานขึ้นมา “ในจวนขององค์ชายเจ็ดจะต้องมีกลไกมากมาย ดังนั้นเขาจึงได้บาดเจ็บสาหัส พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
“เจ้าอย่าเพิ่งวิตก ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้” หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินปลอบใจหลิงมู่เอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว ก็ส่งคนไปตรวจสอบจวนเสียนหวางทันที แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ห้ามไว้
“รอก่อน หากตอนนี้ท่านส่งคนไปตรวจสอบจวนเสียนหวาง หากถูกคนของฉินเสียนถิงรู้เข้า จะไม่เป็นการพิสูจน์ว่าคนที่บุกจวนองค์ชายเจ็ดในวันนี้เป็นคนของจวนเสียนหวางหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวแยกแยะ “เมื่อครู่องครักษ์ลับมารายงาน องค์ชายเจ็ดจับคนร้ายไม่ได้ เป็นไปได้มากที่เขาก็ไม่รู้ว่าคนที่ขโมยสมุดบัญชีเป็นใคร พวกเราไม่อาจแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดของนางมีเหตุผล “ดูท่าจะเป็นข้าที่ไม่รอบคอบเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่ามู่เอ๋อร์ของข้าจะมีสติมากกว่าข้าอีก”
เขากล่าวไปก็ลูบผมยาวของนางอย่างชื่นชม “แต่ว่า ซูเช่อรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรากำลังหาของสิ่งนี้?”
นี่ก็เป็นคำถามที่หลิงมู่เอ๋อร์อยากรู้มากเช่นกัน “เรื่องเป็นมาอย่างไร พวกเราหาโอกาสถามดูก็รู้แล้ว”
เพื่อไม่ให้คนขององค์ชายเจ็ดค้นพบ หลิงมู่เอ๋อร์มิได้ให้ซั่งกวนเซ่าเฉินตามมาด้วย แต่กลับมาที่จวนเสียนหวางเพียงผู้เดียว
“แม่นางหลิงเหตุใดจึงเป็นท่าน?” ในยามที่จื่อถงได้รับรายงานจากลูกน้องและมาถึงบริเวณหน้าจวน ในวินาทีที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายดุจทองคำ แต่เมื่อนึกถึงการกำชับของคุณชาย รอยยิ้มยินดีของเขาก็ถูกเก็บกลับมาเปลี่ยนเป็นเคร่งครัดขึ้นมา “ยามวิกาลเช่นนี้ ไม่ทราบว่าเหตุใดแม่นางหลิงจึงมาที่จวนหวางขอรับ คุณชายได้หลับไปแล้ว ขอเชิญแม่นางกลับไปเถิดขอรับ”
“งานแต่งของข้ากับองค์ชายรองใกล้จะมาถึงแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อส่งเทียบเชิญให้เสียนหวางโดยเฉพาะ” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเทียบเชิญฉบับหนึ่งออกมาจากอก จากนั้นดูเวลาอีกครั้ง “เวลานี้ยังไม่ดึก เหตุใดคืนนี้เสียนหวางจึงได้พักผ่อนเร็วเช่นนี้”
“เรื่องของคุณชาย พวกเราที่เป็นบ่าวไพร่จะกล้าสอบถามได้อย่างไรขอรับ? เทียบเชิญนี้จื่อถงขอเป็นตัวแทนท่านอ๋องรับไว้ขอรับ” จื่อถงกล่าวจบก็จะไปรับเทียบเชิญ แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธ
“เทียบเชิญของข้า ย่อมต้องมอบถึงมือขอเสียนหวางจึงจะแสดงถึงความจริงใจได้ จะยืมมือผู้อื่นได้อย่างไร” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็จะบุกเข้าประตูจวนไป จื่อถงรีบขวางไว้เบื้องหน้าของนาง
“แม่นางหลิง นี่ท่านกำลังจะทำสิ่งใดขอรับ? ท่านอ๋องของข้าเข้านอนแล้ว หรือเมื่อครู่ท่านได้ยินไม่ชัด?”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้ใส่ใจเสียงร้องตะโกนด้วยโทสะของเขา แต่ยังใช้เสียงที่มีเพียงคนทั้งสองได้ยินถามอย่างลับๆ ว่า “ข้ามาตรวจอาการให้เขา หากเจ้าอยากให้เขาผ่านพ้นคืนนี้ไปได้แล้วละก็ ทางที่ดีที่สุดคือหลีกทาง ”
ในใจของจื่อถงสั่นสะท้านครั้งหนึ่ง “ที่แท้ท่านรู้?”
“เดาก็เดาออกแล้ว” หลังหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็ถอยหลังไปหลายก้าว ในเสี้ยววินาทีนั้นก็เปลี่ยนสีหน้า “บังอาจ! เจ้าเป็นเพียงข้ารับใช้ตัวเล็กๆ ถึงกลับกล้าขวางพระชายาขององค์ชายรองในอนาคต เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากข้าต้องการหัวของเจ้าก็สามารถทำได้ตลอดเวลา หรือว่าเจ้าจะลองดู?”
คิดไม่ถึงเลยว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะเปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน แต่ขอเพียงหลับตาก็จะคิดถึงภาพคุณชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด สุดท้ายจื่อถงก็ยอมแพ้แล้ว
“เชิญแม่นางขอรับ”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในจวนเสียนหวางก็ตรงไปที่ห้องของซูเช่อ มองจากด้านนอกประตูเข้าไป ด้านในมืดมิดไปหมด หรือว่าซูเช่อหลับไปแล้วจริงๆ?
ทว่าขอเพียงคิดถึงรอยเลือดที่อยู่บนสมุดบัญชี ลมหายใจของนางก็เคร่งเครียดขึ้นมา
เป็นอย่างที่คิด ในวินาทีที่พวกเขาเปิดประตูห้องออกนั่นเอง กลิ่นฉุนจมูกของคาวเลือดและสมุนไพรก็โชยเข้ามา หลังจากนางขมวดคิ้วก็รีบเดินไปยังข้างเตียงทันที เดิมเข้าใจว่าซูเช่อรู้ว่านางมาจึงจงใจไม่ส่งเสียง แต่เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้และมองดู จึงได้พบว่าซูเช่อได้เป็นลมหมดสติไปแล้ว
“ซูเช่อ ซูเช่อ…”
นางลองเรียกชื่อของเขา แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีคนตอบรับ นางรีบลองสำรวจหน้าผากของเขาทันที เป็นอย่างที่นางคาด หน้าผากของซูเช่อร้อนลวก เห็นได้ชัดว่าเป็นไข้แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์รีบหยิบยาลูกกลอนออกมาให้เขากินลงไปอย่างเร่งร้อน แต่ซูเช่อที่อยู่ในภาวะหมดสติไม่สามารถกินยาเม็ดใดๆ ลงไปได้เลย พวกเขามีฐานะที่แตกต่าง นางก็ไม่อาจใช้วิธีพิเศษได้ ด้วยความจนใจนางจึงได้แต่หยิบเข็มและสายยางออกมาให้ยาทางสายแก่เขา
มีนางอยู่ คืนนี้เขาจะต้องไข้ลด แต่จะต้องมีคนผู้หนึ่งคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอด หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ทำสิ่งเหล่านี้หมดจึงได้พบว่า ซูเช่อไม่เพียงไข้ขึ้นสูง บนร่างยังมีบาดแผลฉกรรจ์ที่แทบดูไม่ได้มากมาย
มิน่าบนสมุดบัญชีจึงได้มีเลือดอยู่จำนวนหนึ่ง มิน่าเขาจึงได้เข้านอนอย่างรวดเร็ว และยังห้ามไม่ให้รบกวน เจ้าโง่คนนี้ หรือว่าไปเผชิญการต่อสู้ที่จวนองค์ชายเจ็ดมาคนเดียวงั้นหรือ?
ความอบอุ่นสายหนึ่งไหลผ่านก้นบึ้งหัวใจ ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ตื้นตันเป็นอย่างมาก นางไม่รู้ว่า เหตุใดซูเช่อจึงรู้ว่าตลอดเวลานี้พวกเขากำลังสืบหาสมุดบัญชีขององค์ชายเจ็ดอยู่ แต่เขาช่วยนางนำสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจนำมาได้มา นางจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร?
“ซูเช่อ เจ้าโง่คนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่?”
นั่งอยู่ข้างกายของซูเช่อ หลิงมู่เอ๋อร์ทั้งรู้สึกขอบคุณ ทั้งรู้สึกสงสาร เพราะถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเพื่อนคนแรกหลังจากนางมาถึงเมืองหลวงเลยนะ
แต่คิดไม่ถึงว่า ซูเช่อที่หมดสติอยู่กลับตอบกลับแล้ว