เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 344 หนีออกมา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 344 หนีออกมา
เล่มที่ 12 ตอนที่ 344 หนีออกมา
ในยามที่ลุกขึ้นมา ซูเช่อมิได้สังเกตว่าถุงเครื่องหอมที่นำออกมาเมื่อครู่ตกอยู่บนพื้น
เขาเดินไปที่หน้าต่างอย่างยากลำบาก พบว่าบริเวณทางออกที่อยู่ไม่ไกลมีองครักษ์หลายคนเฝ้าอยู่ หากเป็นยามปกติ เขาบุกออกไปล้วนจะไร้รอยขีดข่วนแม้เพียงเส้นผม ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่บาดเจ็บสาหัสเช่นในยามนี้ เกรงว่าจะเป็นการท้าทายที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
“ควรทำเช่นไรดี?”
เขาหลับตาลง ใคร่ครวญนิ่งๆ เขารู้ว่ามีเพียงสงบใจลงมา จึงจะมีโอกาสที่จะหนีเอาชีวิตรอดได้
และในขณะที่เขากำลังทุกข์ใจเพราะคิดวิธีไม่ออกนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นางหนึ่งดังมาจากนอกประตู
“อ๊า! มีมือสังหาร ใครรีบมาเร็ว!”
ในเวลานั้นเอง นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายสับสนดังมา
ซูเช่อมองผ่านกระดาษหน้าต่างออกไปทันที ก็เห็นคนจำนวนมากวิ่งไปทางทิศที่เกิดเสียง บริเวณทางออกไม่มีคนเฝ้าแม้แต่คนเดียว
เหตุใดจึงได้บังเอิญเช่นนี้ คนทั้งหมดล้วนจากไปแล้ว? หรือองค์ชายเจ็ดพบว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ จงใจล่อเขาออกไป?
ในขณะที่ซูเช่อกำลังลังเลตัดสินใจมิได้ว่าควรจะจากไปหรือไม่นั่นเอง นอกประตูก็มีเสียงที่บางเบาดังเข้ามาอย่างกะทันหัน
“รับคำสั่งจากเหนียงเหนียงของข้า คนทั้งหมดล้วนถูกข้าล่อออกไปแล้ว หากท่านต้องการจะจากไปก็รีบไปเสีย”
เสียงนี้ฟังไปแล้วสั่นอย่างมาก คล้ายกับรู้ว่าตนกำลังทำเรื่องที่อันตรายมากกระนั้น
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงช่วยข้า?” ทันทีที่ซูเช่อเอ่ยปากก็พบว่าไปกระทบเข้ากับบาดแผลอีกแล้ว เขาพยายามอดทนให้ฟังดูเหมือนว่าตนเองมิได้รับบาดเจ็บสาหัสมากนัก
“เวลาของท่านมีไม่มากแล้ว” เสียงที่สั่นสะท้านดังมาอีกครั้ง ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าที่ตระหนกสับสน
นอกประตูคล้ายจะไม่มีคนแล้ว ซูเช่อรีบเปิดหน้าต่างอย่างระมัดระวังทันที แม้เขาจะไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่ในเวลานี้เป็นโอกาสที่จะหนีที่เหมาะสมที่สุดจริงๆ เขายึดลมหายใจเฮือกสุดท้ายหนีออกจากจวนองค์ชายเจ็ดอย่างเร่งร้อน
ในห้องของเซิงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายแนบตนเองกับประตูห้องราวกับโจร หอบหายใจอย่างหวาดวิตก
“เป็นอย่างไร จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” เซิงเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปจูงนางมานั่งบนเก้าอี้
“จัด จัดการเสร็จแล้วเพคะ” สาวใช้ยังคงสั่นสะท้านอยู่ นางมองไปด้านนอกอย่างวิตก จากนั้นก็มองเจ้านายของตนอีกครั้ง “นายหญิง เหตุใดจึงทรงช่วยโจรผู้หนึ่งด้วยเพคะ เรื่องนี้หากให้เหยียทรงรู้เข้า…”
เซิงเอ๋อร์มิได้ให้โอกาสนางได้พูดจบ อุดปากนางไว้แน่น “เสี่ยวหลัน แม้เจ้าจะติดตามอยู่ข้างกายข้ามาเป็นเวลาไม่นานนัก แต่ข้าก็เห็นเจ้าเป็นดั่งพี่น้องของตน จำไว้ เรื่องในวันนี้ ต่อให้เน่าอยู่ในท้อง ก็ไม่อาจพูดกับคนนอกอย่างเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เสี่ยวหลันผงกศีรษะไม่หยุด “นายหญิงวางใจเถิดเจ้าค่ะ แต่ว่า…แต่ว่าเสี่ยวหลันไม่เข้าใจ เหตุใดจึงทรงช่วยเขาเล่าเพคะ?”
“มู่เอ๋อร์ช่วยข้าไว้มาก ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงพวกนี้ ต่อจากนี้ก็ต้องดูวาสนาของเขาแล้ว” เซิงเอ๋อร์กล่าวจบ ราวกับได้ยินสิ่งใด นางรีบวิ่งลนลานไปนอนลงบนเตียงอย่างเรียบร้อย
ในนาทีถัดจากที่นางนอนลงนั่นเอง องค์ชายเจ็ดก็เปิดประตูเข้ามา นำหมอหลวงมา
“พักผ่อนไปครู่หนึ่ง รู้สึกอย่างไรบ้าง” องค์ชายเจ็ดนั่งลงข้างเตียงของนางอย่างกังวลยิ่ง เห็นหยดเหงื่อบนหน้าผากของนางหายไปหมดแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้นมาก เขาจึงพยักหน้ากับหมอหลวง “ตรวจนางดูให้ละเอียด หากในร่างกายขาดสิ่งใด ใช้อาหารบำรุงที่ดีที่สุดชดเชยกลับมาให้ข้า”
“ไม่ต้องแล้วเพคะเหยีย เซิงเอ๋อร์พักผ่อนไปครู่หนึ่งก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเพคะ” เซิงเอ๋อร์รีบจับข้อมือขององค์ชายเจ็ดไว้ แต่น้ำเสียงฟังดูแล้วยังคงอ่อนแออย่างมาก
องค์ชายเจ็ดมิได้กล่าววาจา แต่ตบหลังมือของนางมอบสายตาให้นางวางใจ แล้วจึงลุกขึ้นให้หมอหลวงเข้ามาตรวจอาการ
หลังหมอหลวงตรวจชีพจรแล้วพบว่าไม่มีสิ่งใดร้ายแรง พลันวางความประหม่าลง “องค์ชายเจ็ดโปรดวางพระทัย พระชายารองเพียงแค่ร่างกายอ่อนเพลีย รวมกับวันนี้ตรากตรำเกินไปเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมาก เพียงพักผ่อนให้ดีก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามั่นใจ? แต่เมื่อครู่นางดูเหมือนไม่สบายอย่างมาก!” องค์ชายเจ็ดไม่เชื่อคำพูดของหมอหลวง ที่เขายิ่งกังวลคือเด็กในท้องของเซิงเอ๋อร์
“ทูลองค์ชายเจ็ด พระชายารองอาจทรงรับประทานยาบำรุงบางอย่างเข้าไป ทำให้ร่างกายของพระนางดีกว่าหลายวันก่อนเสียอีก ไม่มีปัญหาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียในวันนี้เป็นเหตุ โปรดทรงระลึกไว้ว่าพระชายารองไม่อาจเหน็ดเหนื่อยเกินไปอีก ยิ่งไม่อาจเดินระยะไกล ก็จะไม่เกิดเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง ฉินเสียนถิงก็นึกได้ทันทีว่า เมื่อครู่เซิงเอ๋อร์ตามเขาไปค้นห้องทีละห้อง อาจเป็นเพราะฝีเท้าของเขาเร็วเกินไป ทำให้นางตามไม่ทัน
โบกมือไล่หมอหลวงออกไป ฉินเสียนถิงกลับมานั่งอยู่ข้างกายเซิงเอ๋อร์อย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “เหนื่อยแล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้า? วันนี้ไม่เหมือนในอดีต ยามนี้เจ้าตั้งครรภ์ไม่อาจประมาทได้ จำไว้ วันหน้าไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ล้วนต้องแจ้งข้าในทันที เข้าใจหรือไม่?”
แม้น้ำเสียงขององค์ชายเจ็ดจะอ่อนโยนอย่างมาก แต่เซิงเอ๋อร์มองออกว่าสายตาของเขาเย็นชาอย่างมาก เซิงเอ๋อร์ไม่กล้าเผชิญสายตากับเขา รีบพยักหน้า “เซิงเอ๋อร์เข้าใจแล้วเพคะ คืนนี้เหยียจะรั้งอยู่ไหมเพคะ?”
“ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เจ้านอนก่อน”
หลังจากทิ้งคำพูด ‘ดูแลเจ้านายของเจ้าให้ดี’ แก่สาวใช้ องค์ชายเจ็ดก็สาวเท้ายาวออกจากห้องไปแล้ว
กระทั่งมั่นใจว่าเขาจากไปไกลแล้ว เซิงเอ๋อร์จึงได้เลิกผ้าห่มลุกนั่งขึ้นมา หอบหายใจเร็วด้วยความรู้สึกประหม่าในความผิด
เมื่อมองเสี่ยวหลันอีกครั้ง ก็หวาดกลัวจนตัวสั่นไม่หยุดไปนานแล้ว
“เจ้ากลัวอะไร หรือว่าเรื่องเมื่อครู่เผยพิรุธใดออกมาแล้ว?” เซิงเอ๋อร์ถาม
เสี่ยวหลันเพิ่งคิดจะตอบตามความจริง แต่เมื่อเห็นสายตาเยียบเย็นของนายหญิง นางก็รีบก้มหน้าลง “นายหญิงกล่าวสิ่งใด เสี่ยวหลันฟังไม่เข้าใจเพคะ เสี่ยวหลันเฝ้านายหญิงอยู่ตรงนี้ตลอด ไม่ว่าสิ่งใดก็มิได้ทำเลยเพคะ”
ได้ยินคำตอบที่อยากได้ยิน เซิงเอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
“มือสังหารเล่า? เมื่อครู่มิใช่มีคนร้องตะโกนว่าพบมือสังหารหรือ?” เพิ่งออกจากห้องของเซิงเอ๋อร์มา องค์ชายเจ็ดก็มาหาพ่อบ้านและคนทั้งหมด ถามด้วยความโมโห
“ทูลเหยีย ตามไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“เศษสวะ อยู่ใต้สายตายังตามไม่ทัน ไปตามหาต่อให้ข้า!”
องค์ชายเจ็ดทรงพิโรธอย่างหนัก หมุนกายได้ก็จากไปในทิศทางบางแห่ง พ่อบ้านรู้สึกประหลาดใจ “เหยีย โปรดทรงอภัยที่บ่าวชราปากมาก แท้ที่จริงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเราล้วนมิได้เห็นมือสังหารที่พูดถึงนั่นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดที่กำลังเร่งรีบหยุดฝีเท้าลงทันที เขาใช้สมองอย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เห็นมาก่อน? แล้วเช่นนั้นเมื่อครู่พวกเจ้าไล่ตามสิ่งใด?”
“เป็นเหล่าองครักษ์ได้ยินสาวใช้คนหนึ่งร้องตะโกนเสียงดัง ทุกคนจึงได้ไล่ตามไปพ่ะย่ะค่ะ แต่ในยามที่พวกองครักษ์ไปถึงนั้น ก็มิได้เห็นตัวมือสังหารพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านรายงานตามความจริง
ในใจขององค์ชายเจ็ดค่อยๆ เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้น “แล้วสาวใช้นางนั้นเล่า?
“ก็ไม่พบเช่นกับพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านก้มศีรษะลงด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง
“ไม่ดีแล้ว!”
องค์ชายเจ็ดราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ฝีเท้าที่ก้าวไปเบื้องหน้าของเขาเพิ่มความเร็วขึ้น ในยามที่มาถึงประตูทางเข้าห้องรับแขก เขาตะคอกอย่างกริ้วโกรธ “ล้วนรออยู่ตรงนี้” ไม่ทันที่เหล่าข้ารับใช้จะตอบกลับ เขาก็บุกเข้าไปด้วยตนเองแล้ว
มิผิด นี่ก็คือห้องสุดท้ายที่เขาพาคนมาตรวจค้นด้วยตนเอง และก็เป็นห้องลับของเขา
แต่รอบด้านไม่มีความผิดปกติใดแม้แต่น้อย ไม่มีร่องรอยคล้ายเคยมีคนมาและถูกรื้อค้นมาก่อนแม้แต่น้อย
หรือว่าการตัดสินของเขามีความผิดพลาด คนชุดดำพวกนั้นมิได้ล่อเสือออกจากถ้ำจริงๆ?
องค์ชายเจ็ดพร่ำบ่นอยู่ในใจ รีบเดินเข้าไปหน้าเตียงทันที เหมือนกับสถานการณ์ภายในห้อง ที่นอนผ้าห่มซ้ายขวาล้วนตรวจสอบไม่พบร่องรอยของการถูกคนเคลื่อนย้ายแม้เพียงครึ่งส่วน เขากำลังเตรียมตัวจะหมุนกายจากไป แต่หางตาเหมือนจะเห็นบางสิ่งเข้า
เขารีบหมุนกายทันที ก็เห็นบริเวณด้านข้างของล่างหน้าต่างที่ยากจะมีคนสังเกตเห็นคล้ายจะมีบางสิ่งตกอยู่
สีหน้าของเขาเขียวคล้ำ รีบก้าวเข้าไป ค้อมเอวเก็บถุงเครื่องหอมใบหนึ่งขึ้นมา
ห้องรับแขกห้องนี้แม้จะเป็นห้องรับแขก แต่ไม่เคยมีคนเข้าพักมาก่อน อย่าพูดถึงว่าเป็นถุงเครื่องหอม ต่อให้เป็นเพียงเส้นผมเพียงเส้นเดียวก็ไม่มีทางมีได้? เช่นนั้น ของสิ่งนี้เป็นของผู้ใดกัน?
องค์ชายเจ็ดรู้สึกท่าไม่ดี รีบเปิดถุงเครื่องหอมออกทันที กลิ่นหอมอันเข้มข้นของสมุนไพรโชยออกมาทันที
กลิ่นนี้เหตุใดจึงคุ้นเคยถึงเพียงนี้?
รูม่านตาขององค์ชายเจ็ดพลันขยายกว้างขึ้นในเสี้ยววินาที เขาเทยาในถุงหอมทิ้งทั้งหมด เป็นอย่างที่คิด ภายในปักตัวอักษร ‘หลิง’ ไว้ตัวหนึ่ง
“หลิงมู่เอ๋อร์?” ในสมองพลันมีนามนี้ปรากฏขึ้นมาในเสี้ยววินาที หัวใจขององค์ชายเจ็ดก็พลันลอยขึ้นมาถึงลำคอในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน
เขาไม่อาจสนใจสิ่งอื่นได้อีก กำถุงเครื่องหอมแน่นรีบหมุนกายกลับไปยังข้างเตียงทันที หมุนเปิดกลไกห้องลับทันทีโดยไม่ลังเล
ในยามที่เขาเดินเข้าไปในห้องลับเห็นความเละเทะที่อยู่เต็มพื้น กับกลไกทั้งหมดที่กระจัดกระจายไปทั่ว ในใจของเขาก็ตระหนกอย่างมาก!
“สมควรตาย!”
สบถด่าออกมาคำหนึ่ง ไม่อาจสนใจสิ่งอื่นอีก วิ่งเข้าไปด้านในอย่างบ้าคลั่ง
เห็นเพียงทุกที่ที่เขาไปถึง ล้วนเป็นกลไกที่ถูกทำลาย ยังมี…รอยเลือดจำนวนหนึ่ง
เขารีบยื่นมือไปลูบ รอยเลือดยังไม่แห้ง ดูท่าโจรผู้นี้เพิ่งจะมาแล้วจากไป!
“แย่แล้ว!”
คิดถึงสมุดบัญชี เขาก็ไม่มีใจไปคิดไล่ตรวจสอบเรื่องอื่นอีก รีบวิ่งเข้าไปส่วนในสุดของห้องลับทันที ในยามที่หากล่องผ้าไหมที่เขาใช้ใส่ของสำคัญพบ เขาพบว่าด้านบนมีรอยฝ่ามือเลือดที่น่าตกใจอยู่เป็นรอยๆ
ดูท่า ในยามที่โจรบุกเข้ามาถึงที่นี่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว!
หัวใจของเขาเต้นตึกตักตึกตักไม่หยุด ในเวลาเดียวกันก็ภาวนาอยู่ในใจ อย่าได้เป็นเหมือนที่เขาคิดเด็ดขาด แต่ในยามที่เขาเตรียมใจจนเพียงพอและเปิดออกดูพบว่าภายในว่างเปล่านั้น เขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรุนแรง
ไม่มีแล้ว ของทั้งหมดที่อยู่ภายในล้วนไม่มีแล้ว!
ของที่เขาคิดว่าไม่มีทางที่ผู้ใดจะตรวจสอบพบได้นี้ ก็หายไปเช่นนี้แล้ว!
ของชิ้นนี้ทันทีที่หายไป ตำแหน่งองค์ชายเจ็ดของเขาก็ใกล้จะไม่ปลอดภัยแล้ว กระทั่งยังจะชักนำเภทภัยถึงชีวิตมาด้วย
“อ๊าก!!!”
ฉินเสียนถิงร้องตะโกนด้วยความโมโห รีบค้นไปตามทางลับอย่างละเอียด แต่อย่าได้พูดถึงคนหนึ่งคน แม้แต่ลมหายใจสายหนึ่งก็ไม่มี!
“เหยีย มีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เห็นองค์ชายเจ็ดออกมาจากด้านในห้องอย่างคลุ้มคลั่ง พ่อบ้านพุ่งเข้าไปไต่ถามอย่างไม่กลัวตาย
“ไล่ตามให้ข้า เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจะต้องหนีไปได้ไม่ไกลแน่ จะเป็นหรือตายก็ต้องหาให้ข้าให้พบ ไล่ตาม เดี๋ยวนี้!”
องค์ชายเจ็ดขยุ้มคอเสื้อของพ่อบ้าน ยกเขาขึ้นมาอย่างแข็งกร้าว หลังกล่าวจบก็โยนออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะไม่รู้ว่าผู้ที่เจ้านายพูดถึงเป็นใคร แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดวงตากระหายเลือดของเจ้านาย พ่อบ้านก็ตกใจอย่างมาก รีบนำคนทั้งหมดไปพลิกหาทั่วทั้งจวนองค์ชายเจ็ดทันที
หน้าประตูห้องรับแขก องค์ชายเจ็ดจ้องถุงเครื่องหอมที่กำไว้แน่นในมือ มองอักษร ‘หลิง’ ที่บาดตาอยู่บนนั้น เขาโมโหจนถึงขีดสุด
“หลิงมู่เอ๋อร์? ซั่งกวนเซ่าเฉิน? บิดาไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปอย่างเด็ดขาด!”
จวนสกุลหลิง
หลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์จัดการกับตนเองเสร็จเตรียมจะพักผ่อน ก็ได้ยินเสียงร้องอู้อี้ที่ข้างหู นางรีบหันสายตาไปมอง ก็เห็นภาพที่หน้าต่างเปิดออกแล้วปิดลง
จากนั้น เงาร่างหนึ่งก็แวบผ่านไป
นางร้องด้วยความตกใจ “ผู้ใดกัน?”
ไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่นอย่างสิ้นเชิง หลิงมู่เอ๋อร์รีบเปิดหน้าต่างไล่ตามออกไป แต่นอกหน้าต่างว่างเปล่าไร้สิ่งใด แม้แต่เงาร่างครึ่งตัวก็ยังไม่มี บนทางหินปูนด้านนอกใต้หน้าต่างกลับวางของสีดำๆ ไว้ชิ้นหนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์รีบออกจากประตูมาเก็บมันขึ้นมา ยังคิดว่าเป็นเรื่องตลกอะไรที่ใครบางคนทำขึ้นมา แต่ในยามที่นางเปิดออกและเห็นของทั้งหมดที่อยู่ภายใน นางก็ตะลึงค้างไปแล้ว!