เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 341 ฝากฝัง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 341 ฝากฝัง
เล่มที่ 12 ตอนที่ 341 ฝากฝัง
“เสด็จแม่ ทรงเรียกลูกมาทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนยังไม่ถึง เสียงของไท่จื่อก็ดังลอยมาแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งเขียนใบสั่งยาเสร็จ ก็เห็นเงาร่างของไท่จื่อเดินส่ายอาดๆ เข้ามา นางแอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง
เป็นอย่างที่คิด วันนี้ตอนออกจากบ้านมิได้ดูปฏิทินให้ดีจริงๆ เหตุใดจึงเอาแต่พบศัตรูในทางคับแคบได้
“หลิงมู่เอ๋อร์? เป็นเจ้าอีกแล้ว?” เห็นได้ชัดว่าไท่จื่อก็ไม่คิดว่าจะพบนางในตำหนักบรรทมของเสด็จแม่เช่นกัน เหลือบตามองนางอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง อ้อมผ่านนางตรงไปหาเสด็จแม่
เนื่องจากเขาพบว่า ขอเพียงปะทะฝีปากกับสตรีนางนี้ เขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ อีกทั้งเสด็จแม่ยังทรงปกป้องนาง แล้วเขาจะหาเรื่องไม่สบอารมณ์ไปเพื่อสิ่งใด
“เหตุใดสีหน้าของเสด็จแม่จึงได้ดูแย่เช่นนี้ เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ไท่จื่อพบว่าอวี้กุ้ยเฟยร่างกายอ่อนแอจากการมองเพียงครั้งเดียว เขาเรียกมัวมัวประจำกายมา “ที่แท้เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? มิใช่ให้เจ้าเฝ้าดูเสด็จแม่ให้ดีหรือ ไม่อนุญาตให้นางมีโทสะกริ้วโกรธ เจ้าปรนนิบัติอย่างไรกัน?”
มัวมัวรีบคุกเข่าลงกับพื้น “ไท่จื่อทรงโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ เหนียงเหนียงทรงประทับอยู่ในตำหนักบรรทมเป็นอย่างดีเพคะ… เพียงแต่วันนี้เพื่อแม่นางหลิงออกจากตำหนักไปรอบหนึ่ง ได้รับไอเย็นจึงเป็นเหตุให้โรคเก่ากำเริบเพคะ แต่ขอทรงวางพระทัย แม่นางหลิงได้ช่วยเหนียงเหนียงตรวจอาการแล้ว เหนียงเหนียงทรงไม่เป็นอะไรมากเพคะ”
“เป็นหลิงมู่เอ๋อร์อีกแล้ว?”
ไท่จื่อถอนหายใจอย่างหมดคำพูด เขาถลึงตาใส่หลิงมู่เอ๋อร์ครั้งหนึ่งก็มองไปที่อวี้กุ้ยเฟย “เสด็จแม่ ทรงร่างกายไม่สบาย ไม่อาจเหน็ดเหนื่อยเพื่อผู้ใดได้ ลูกมิใช่เคยเตือนพระองค์แล้วหรือว่า อย่าได้ทรงไปพัวพันกับผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องมากเกินไปนัก เหตุใดจึงทรงไม่ยอมฟังเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“โยว่ โตแล้ว ปีกแข็งแล้ว มาสั่งสอนเสด็จแม่เสียแล้ว?” หลังอวี้กุ้ยเฟยกินยาลูกกลอนที่หลิงมู่เอ๋อร์ส่งมาให้ลงไป ก็รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากแล้ว อดมิได้ที่จะล้อเล่นกับไท่จื่อขึ้นมา “ข้าดูว่าถ้าเจ้ามีกำลังมายุ่งกับข้า ก็ไปจัดการจวนไท่จื่อของเจ้าเถอะ ข้าได้ยินว่าสตรีที่เจ้าเพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ ไม่สงบเสงี่ยมเหลือเกิน”
ได้ยินชื่อของหลันเชี่ยนหยิ่ง หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา อดอยากรู้ไม่ได้
“ทรงตรัสถึงนางทำไมพ่ะย่ะค่ะ?” ไท่จื่อส่งเสียงไม่พอใจทีหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามิได้นำหลันเชี่ยนหยิ่งมาใส่ใจเช่นกัน “เสด็จแม่ พระวรกายของพระองค์สำคัญกว่า ไม่ว่าผู้ใดก็เทียบกับพระวรกายอันล้ำค่าของพระองค์ไม่ได้ ทรงเข้าพระทัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
อวี้กุ้ยเฟยกลับส่ายศีรษะ “ไม่ มีผู้หนึ่งสามารถเทียบได้” นางใช้คางชี้ไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ที่เดินเข้ามา
ไท่จื่อไม่เข้าใจถึงความหมายของนาง หรือพูดอีกอย่างคือเขาไม่เต็มใจที่จะเข้าใจ “เสด็จแม่ทรงหมายความว่าอย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”
ในเสี้ยววินาที เขาพลันเข้าใจขึ้นมา “ที่ทรงเรียกข้ามา คงมิใช่เพื่อหญิงสามัญชนผู้นี้อีกกระมัง”
“ไท่จื่อโปรดทรงวางพระทัย รอจนข้าตรวจอาการให้เหนียงเหนียงเสร็จก็จะจากไป จะไม่อยู่รกตาท่านเป็นอันขาด” หลิงมู่เอ๋อร์ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง คิดว่านางชอบมองเห็นเขาอย่างนั้นหรือ?
ช่างน่าขำนัก
“เหนียงเหนียง นี่เป็นใบสั่งยาที่ข้าเขียนขึ้นใหม่ตามอาการของร่างกายท่านในยามนี้ โปรดจำไว้ว่าจะต้องจัดยาตามใบสั่ง” นางก็หยิบใบที่สองออกมาอีก“ใบนี้ เป็นตารางเวลาที่ข้าจัดให้ท่าน หากท่านเชื่อมู่เอ๋อร์ ก็ขอให้ทรงปฏิบัติตามตารางรายการนี้ ข้ารับรองว่า ต้นฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า โรคเก่าทั้งหมดของพระองค์ล้วนหายดี” นางกล่าวอย่างมั่นใจ
“โรคเก่าทั้งหมดหายดี?” ไท่จื่อเยาะหยัน “เจ้ายังอวดอ้างคุยโวเหลือเกิน เหล่าราษฎรดวงตาพร่ามัวเรียกเจ้าเป็นแม่นางเซียนแพทย์ ยังเห็นว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าจริงๆ ไปเสียแล้ว?”
“เอ๊ะ เจ้าพูดกับมู่เอ๋อร์เช่นนี้ได้อย่างไร?” ยังไม่ทันที่หลิงมู่เอ๋อร์จะอ้าปากโต้ตอบ อวี้กุ้ยเฟยก็แย่งเอ่ยปากก่อนนางแล้ว
เมื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง บนใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความเมตตา “เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล ผู้ชายน่ะ มักจะพูดจาหยาบกระด้าง นิสัยตรงไปตรงมา คิดอะไรก็พูดออกมาเลย แต่เขาไม่มีเจตนาร้าย” หยิบวิธีการดูแลรักษาร่างกายมาไว้ในมือ มองซ้ายมองขวา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่เมื่อเห็นตารางการออกกำลังกายที่นางเขียนออกมา ใส่ใจทั้งการใช้ชีวิต และการพักผ่อนของนางเช่นนี้ ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก “เจ้าใส่ใจแล้ว ในชาตินี้ข้ามีโชคได้พบกับเจ้า ช่างเป็นวาสนาของข้าเหลือเกิน เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องเชื่อฟังคำของเจ้าอย่างดีแน่”
“เสด็จแม่ถึงกับฟังนางแต่ไม่ยอมฟังข้า?” ไท่จื่ออยากจะไปถามเสด็จพ่อให้ชัดเจนจริงๆ ว่าที่แท้ผู้ใดเป็นลูกที่แท้จริงของเขากันแน่ ใช่ตอนนั้นถูกสลับตัวรัชทายาทหรือไม่
“ฟังอะไรเจ้า? เจ้าเป็นหมอหรือ? แค่สตรีสองนางก็ยังจัดการได้ไม่ดี ยังจะกล้ามาร้องโวยวายตรงนี้อีก?” อวี้กุ้ยเฟยราวจะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
แม้นางจะอยู่ในวังหลัง แต่สำหรับทุกเรื่องราวในตำหนักรัชทายาทนั้นก็กระจ่างดุจดั่งอยู่ในฝ่ามือ ได้ยินว่าหลังหลันเชี่ยนหยิ่งแต่งไปแล้วก็ไม่สงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก ส่วนไท่จื่อเฟยก็กดดันนางไปเสียทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างไรหลันเชี่ยนหยิ่งก็มาจากจวนอัครเสนาบดี ย่อมมิใช่คนโง่งม ดังนั้น ภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่เขารับชายา ตำหนักรัชทายาทก็ถูกก่อเรื่องจนไก่บินสุนัขกระโดดแล้ว
“เสด็จแม่!” ไท่จื่อรู้สึกว่าทั้งหน้าและเหตุผลล้วนสูญสิ้นไปแล้ว “ช่างเถอะๆ ไม่ว่าอย่างไรขอเพียงเป็นที่ที่มีหลิงมู่เอ๋อร์ ในสายตาท่านก็มีแต่นางเท่านั้น เสด็จแม่ทรงตรัสเถิด เรียกลูกมาเพื่อสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ก็ทรงทราบว่าตำหนักรัชทายาทของข้ายุ่งอย่างยิ่ง”
รู้ว่าไท่จื่อโมโหแล้ว แต่อวี้กุ้ยเฟยรู้สึกว่าเรื่องของนางสำคัญยิ่งกว่า “ข้าจะฝากฝังคนผู้หนึ่งกับเจ้า”
ไท่จื่อตะลึงไป “เสด็จแม่ตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
อวี้กุ้ยเฟยส่งสายตาให้หลิงมู่เอ๋อร์ หลิงมู่เอ๋อร์งุนงงอยู่บ้าง “เหนียงเหนียง…”
“ไม่ผิด ก็คือหลิงมู่เอ๋อร์” อวี้กุ้ยเฟยพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา “ไท่จื่อ ข้าต้องการให้เจ้ารับปากข้า ไม่ว่าในอนาคตจะได้สืบทอดตำแหน่งรัชทายาทหรือไม่ จะต้องปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ให้ข้าให้ดี ดูแลนาง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้รังแกนาง ไม่อนุญาตให้คัดค้าน จะต้องรับปากเท่านั้น”
ไท่จื่อตะลึงงันไปแล้ว เขาแคะหู ยังคิดว่าตนเองฟังผิดไป “เสด็จแม่ทรงตรัสสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ? มิได้ทรงกำลังล้อเล่นใช่หรือไม่?”
“เจ้าดูเหมือนข้ามีเจตนาคล้ายกำลังล้อเล่นอยู่หรือ?” อวี้กุ้ยเฟยถามกลับ
หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตกตะลึงไปแล้วเช่นกัน “เหนียงเหนียง ทรงชำนาญในการล้อเล่นเหลือเกิน ข้าไม่จำเป็นต้องให้องค์ไท่จื่อมาดูแล อีกอย่าง…” คนผู้นี้ในอนาคตจะใช่ไท่จื่อหรือไม่ ยังไม่แน่นอนเลย
“นั่นสิ นางกำลังจะกลายเป็นพี่สะใภ้ของข้าแล้ว ข้าว่าเป็นนางมาดูแลข้ายังจะใช่กว่า” ไท่จื่อกล่าวอย่างอิจฉา ที่จริงแล้ว เขาเข้าใจถึงสถานะของตนดีเป็นอย่างมาก
“หุบปาก!” อวี้กุ้ยเฟยตำหนิอย่างโมโห “นี่เป็นคำสั่งหลังจากข้าตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างไร จะต้องรับปากข้า!”
นางมองหลิงมู่เอ๋อร์ มองนางอย่างพึงพอใจอย่างยิ่ง “ขอไม่ปิดบัง ข้าชอบเจ้ามาก หากมิใช่เพราะเจ้ากับองค์ชายรองใจตรงกัน ข้าคิดอยากจะส่งเจ้าไปอยู่ข้างกายของลูกชายจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ในยามเดียวกับที่องค์ชายรองปกป้องเจ้า วันหลังยังจะมีไท่จื่อคอยคุ้มครองเจ้าด้วยเช่นกัน ก็จะไม่มีเรื่องเช่นวันนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว”
ที่แท้อวี้กุ้ยเฟยกำลังตำหนิตนเองเพราะเรื่องในวันนี้อยู่ ดังนั้นจึงอยากมอบการรับประกันหนึ่งให้นาง หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก แต่นางไม่อาจรับปาก “เหนียงเหนียง มู่เอ๋อร์ขอบพระทัยต่อการดูแลของท่านมาก นับจากท่านกลับมายังวังหลวง ท่านได้ช่วยข้ามามากแล้ว มู่เอ๋อร์ไม่กล้าโลภมากจนเกินไป”
นางมองไปยังไท่จื่อ “ไท่จื่อในยามปกติก็มีธุระมาก ไม่เพียงต้องดูแลไท่จื่อเฟย ยังมีชายารองในจวน กับพระราชนัดดาอีก จะว่างมาดูแลข้าได้อย่างไร อีกอย่างข้าก็สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วย”
“ข้าพูดแล้ว พวกเจ้าทั้งสองล้วนไม่อนุญาตให้คัดค้าน นี่เป็นพระเสาวนีย์ของข้า อย่างไรกัน พวกเจ้าทั้งสองคนคิดจะขัดพระเสาวนีย์อย่างนั้นหรือ?” อวี้กุ้ยเฟยมีท่าทีเด็ดขาด อีกทั้งสีหน้าก็ไม่ดีเป็นอย่างมาก
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคิดจะกล่าวสิ่งใดอีก ไท่จื่อรีบแย่งตอบรับก่อนหน้านาง “พ่ะย่ะค่ะ ลูกรับพระบัญชา ขอเพียงเสด็จแม่ทรงดีพระทัย จะให้ลูกทำสิ่งใดก็ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์พลันรู้สึกว่าไท่จื่อได้เติบโตขึ้นภายในคืนเดียวแล้ว
นางยิ้มแล้วส่ายศีรษะ จากนั้นก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าอวี้กุ้ยเฟย “มู่เอ๋อร์ขอบพระทัยที่อวี้กุ้ยเฟยทรงดูแลมากเพคะ ในเมื่อเป็นคำสั่งของอวี้กุ้ยเฟย เช่นนั้นมู่เอ๋อร์เชื่อฟังก็พอแล้ว แต่มู่เอ๋อร์ก็มีคำขอร้องข้อหนึ่งเช่นกัน… ”
นางยกนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง หลังจากได้รับสายตารับปากจากอวี้กุ้ยเฟย นางเอ่ยปากกล่าวว่า “อวี้กุ้ยเฟยและตำหนักรัชทายาททั้งบนล่าง หากมีความต้องการใด ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าสามารถช่วยได้ ก็อย่าได้เกรงใจข้าเป็นอันขาด มู่เอ๋อร์จะต้องพยายามอย่างสุดกำลัง”
“ได้!” อวี้กุ้ยเฟยตอบรับอย่างรื่นรมย์ตรงไปตรงมา แต่หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า นางเพียงตอบรับด้วยวาจาไปเท่านั้น เพราะนางเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับมิตรไมตรี ไม่มีทางมารบกวนนางซึ่งเป็นผู้มีพระคุณอย่างแน่นอน
“หากเหนียงเหนียงและไท่จื่อไม่มีสิ่งใดจะกำชับอีก มู่เอ๋อร์ขอทูลลาก่อนแล้ว” นางไม่อยากรบกวนช่วงเวลาระลึกความหลังของพวกเขาสองแม่ลูก ฐานะของนางไม่อนุญาต
มองหลิงมู่เอ๋อร์จากไปโดยไม่อาจทำสิ่งใด อวี้กุ้ยเฟยจับมือของไท่จื่อ “คำพูดเมื่อครู่ของนางเจ้าได้ยินทั้งหมดแล้วหรือไม่ ยามนี้เจ้ารู้แล้วหรือไม่ว่าเหตุใดหมู่เฟยจึงทำเช่นนี้?”
“อย่างแรก เสด็จแม่เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณ อย่างที่สองเป็นเพราะอยากหาหมอที่วางใจได้ให้กับลูก ลูกทำให้เสด็จแม่ต้องทรงเป็นห่วงแล้ว ลูกไม่อาจคาดเดาถึงเจตนาของเสด็จแม่ได้ตั้งแต่ในครั้งแรก สมควรตายจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่ออยู่ในตำแหน่งรัชทายาทมานานหลายปี แม้จะมีความสามารถธรรมดา แต่เขาไม่โง่
“ในวังกำลังจะเกิดเหตุวิบัติครั้งใหญ่แล้ว ทุกคนต่างไม่อาจหลีกเลี่ยงการได้รับบาดเจ็บได้ ส่วนทักษะการแพทย์ของหลิงมู่เอ๋อร์นั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก หากเจ้าสามารถได้รับการช่วยเหลือจากนาง สิ่งนี้สำหรับเจ้าแล้วมีแต่ข้อดี แน่นอนว่าบางทีพวกเจ้าอาจกลายเป็นศัตรู แต่ข้าเชื่อว่า นางจะเห็นแก่ที่ข้าคอยดูแลหลายครั้ง ไม่สร้างความลำบากใจให้เจ้ามากเกินไป” อวี้กุ้ยเฟยกล่าวจบก็ได้เอนกายพิงพนักเก้าอี้หลับตาพักผ่อนไป
ไท่จื่อมิได้เข้าใจถึงความหมายในคำพูดนี้ของนาง “เสด็จแม่ ทรงทราบสิ่งใดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เขาคิดถึงข่าวที่เพิ่งสืบมาได้จากในวังหลวงเมื่อครู่ ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงย้ายฎีกาจากตำหนักองค์ชายเจ็ดไปที่ตำหนักองค์ชายรอง หรือว่า…
“เสด็จแม่…”
“กลับไปเถอะ ทุกสิ่งที่ควรเกิด ช้าเร็วก็ย่อมเกิด” อวี้กุ้ยเฟยหลับตา โบกมืออย่างรำคาญ ไล่เขาไปเสียแล้ว
ไท่จื่อยังคิดจะกล่าวสิ่งใด แต่เขาไม่อาจทำใจรบกวนเสด็จแม่พักผ่อน กล่าวว่า ‘พรุ่งนี้ค่อยมาถวายพระพร‘ ก็ถอยออกไปแล้ว ทว่าคนเพิ่งเดินไปถึงที่ประตู ด้านหลังก็มีคำเตือนของเสด็จแม่ดังลอยมา “สำหรับชายารองของเจ้า ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงของเจ้า ยามที่สามารถทำดีด้วยได้ก็ทำดีเถิด อย่าได้ทำให้ในตำหนักไม่สงบสุข เจ้าก็รู้ เสด็จพ่อของเจ้าทรงรังเกียจพวกที่แม้แต่เรื่องในครอบครัวก็จัดการไม่ได้เป็นที่สุด”
ไท่จื่อหันกลับมาอย่างสบายๆ ค้อมกายลงเก้าสิบองศา “ลูกขอบพระทัยที่เสด็จแม่ทรงแนะนำพ่ะย่ะค่ะ!”
จวนเสียนหวาง
ซูเช่ออยู่ในชุดราตรีตลอดร่าง มองคนชุดดำอาวุธครบมือทั้งสิบนายที่อยู่เบื้องหน้า ล้วนเป็นองครักษ์ลับที่เขาฝึกฝนขึ้นมาอย่างใส่ใจ หนึ่งในนั้นรวมถึงจื่อถง
“เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?” เขาตะโกนถามเสียงเย็น
คนทั้งหมดยืดตัวตรงและกล่าวเสียงดัง “ตอบคุณชาย ผู้น้อยทั้งหมดเตรียมพร้อมอยู่ตลอดขอรับ”
“ดีมาก ออกเดินทาง!”
ภายใต้สัญญาณมือครั้งหนึ่ง ซูเช่อเดินนำออกไปเบื้องหน้าก่อน ส่วนคนชุดดำทั้งสิบที่เบื้องหลังเห็นได้ชัดว่าแยกย้ายจากไปในหลากหลายทิศทาง
ไม่ผิด เขาจะไปแอบสอดแนมจวนองค์ชายเจ็ดในยามวิกาล แต่จะต้องสำเร็จในการลงมือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แผนการของเขาเรียบง่ายอย่างมาก เขาจงใจส่งองครักษ์ลับสิบคนบุกเข้าไปก่อนเพื่อเบี่ยงความสนใจขององค์ชายเจ็ด เขาค่อยแอบเข้าไปในห้องลับอย่างลับๆ
เขาจะทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ได้ครอบครองสิ่งที่นางต้องการ ต่อให้จวนขององค์ชายเจ็ดเต็มไปด้วยอันตราย เขาก็จะบุกดูสักครั้ง