เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 335 สายเกินการ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 335 สายเกินการ
เล่มที่ 12 ตอนที่ 335 สายเกินการ
วันนั้น นางกำลังว้าวุ่นเรื่องจะทำอย่างไรจึงจะแต่งงานกับซั่งกวนเซ่าเฉินได้สำเร็จ ในห้องพลันมีคนชุดดำผู้หนึ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน นางจำได้ในการมองแวบแรกว่า คนผู้นี้ก็คือ เสียนหวางที่ปะทะฝีปากกับนางในงานเลี้ยง ซูเช่อ
“บังอาจ…เจ้า…เจ้าถึงกับกล้าบุกรุกวังตากอากาศของเปิ่นกงจู่?” นางรีบลุกขึ้นและคว้ากรรไกรที่อยู่บนโต๊ะประทินโฉมติดมือมา ในยามที่มองซูเช่ออีกครั้ง สีหน้าของนางดุร้าย คล้ายมีเจตนาว่าจะไม่เกรงใจเด็ดขาด
ใครจะคาดว่า ซูเช่อมิได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวก็พุ่งเข้าหานาง กดนางลงบนกำแพงที่เย็นดุจน้ำแข็ง บังคับจุมพิตนาง
ในตอนนั้นนางตกใจจนงงงันไปแล้ว พยายามออกแรงให้หลุดพ้นจากการกักขังของเขา ยกมือขึ้นได้ก็เป็นหนึ่งฝ่ามือ “เจ้า เจ้ามันคนสารเลวไร้ยางอาย ถึงกับกล้าหยามเกียรติเปิ่นกงจู่ ดูว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือไม่”
นางเงื้อกรรไกรขึ้นมา คิดจะแทงเข้าไปในคอของซูเช่อ ใครจะรู้ว่า ซูเช่อบีบข้อมือของนางอย่างเผด็จการ บังคับให้นางสบตากับตน “มั่วจวินเหยาใช่หรือไม่ เปิ่นหวางสนใจเจ้าเป็นอย่างมาก”
จนถึงวันนี้นางยังจำน้ำเสียงที่หนักแน่นและทรงพลังของซูเช่อได้ ราวกับสามารถแทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของนาง ไพเราะถึงเพียงนั้น
แต่ตัวนางในยามนั้นโมโหจนเสียสติแล้ว “เจ้า เจ้าดื่มสุรามาหรือ?”
ปีศาจสุราผู้หนึ่ง ถึงกับมาที่ห้องของนาง และยังทำพฤติกรรมที่ไร้มารยาทเช่นนี้กับนางอีก นางราวกับใช้พลังทั้งหมดจึงสามารถผลักเขาออกไปได้ “สารเลว ไร้ยางอาย! เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว ใครก็ได้…อื้อ!”
ไม่ทันที่นางจะส่งเสียงร้องตะโกนออกไป ปากก็ถูกคนปิดอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของซูเช่อโอบเอวของนาง อีกข้างจับศีรษะด้านหลัง ขาทั้งสองข้างยึดขาทั้งคู่ของนางไว้ ควบคุมนางไว้ในอ้อมกอดอย่างสมบูรณ์
จุมพิตของเขาเผด็จการและบ้าคลั่ง ราวกับจะกลืนกินนาง
นางถลึงตาใส่คนผู้นี้อย่างไม่ขยับ ขณะกำลังคิดหาวิธีว่าจะหนีอย่างไร แต่เมื่อลืมตา ก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นนี้กับความรู้สึกที่ลึกซึ้งของเขา นางยอมรับว่า นางถูกทำให้หวั่นไหวแล้ว
แต่คนผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าดูถูกนางนี่นา?
“ซูเช่อ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? เจ้ามิใช่ดูถูกข้า? หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า เปิ่นกงจู่เคยพูดว่า ต่อให้บุรุษทั่วแผ่นดินจะตายหมดแล้ว ข้าก็ไม่มีทางเลือกท่านเป็นราชบุตรเขยของข้า ที่แท้เจ้าเมามายแล้วจริงๆ หรือกำลังแสร้งเมากันแน่?”
หัวใจของนางเต้น ‘ตุบ ตุบ’ ไม่หยุด ยิ่งถูกเขาจูบจนทั่วร่างอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ซูเช่อผู้นี้ เขาไม่เพียงมีพฤติกรรมเผด็จการเอาคำตอบ ทว่ากลับเอาแต่ใจยิ่งกว่า
“หากไม่ทำเช่นนั้น จะดึงดูดความสนใจของเจ้าได้อย่างไร?” ขณะที่เขากล่าววาจา ร่างกายยังโซเซสองสามครั้ง ราวกับกำลังพิสูจน์ว่าเขาเมามายจริงๆ
หรือว่าจะมีผู้ที่พูดความจริงหลังเมาสุราจริงๆ ดังนั้นเขาจึงมาสารภาพรักต่อนางโดยมิได้รับเชิญ?
“ทำไม หรือว่าเจ้าไม่กล้าคบหากับข้า?” ในยามที่นางกำลังวิเคราะห์เจตนาของเขา ซูเช่อก็เชยคางของนางขึ้นมา มองนางอย่างท้าทาย “ก็นั่นนะสิ จะอย่างไรเปิ่นหวางก็เป็นถึงคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง สตรีที่ต้องการแต่งให้ข้ามีตั้งมากมายเต็มไปหมด หากเจ้ากลัวแล้ว ก็ถือเสียว่าทุกอย่างเมื่อครู่มิได้เกิดขึ้น”
กล่าวจบ เขาพลันปล่อยร่างของนางออกอย่างฉับพลัน คนก็เดินไปถึงประตู “เปิ่นหวางล่วงเกินแล้ว วันหน้าจะต้องมาคารวะขอโทษถึงที่ด้วยตนเองอย่างแน่นอน ทูลลาองค์หญิง”
เขาพูดแล้วก็จะจากไป นางจะปล่อยคนเช่นนี้ไปได้อย่างไร
“หยุดนะ! เจ้าหมายความเช่นใดกัน สารภาพรักเสร็จแล้วก็จะจากไปหรือ เปิ่นกงจู่ยังมิได้ตอบเจ้าเลยนะ” นางรีบไล่ตามไปและบังคับให้เขาเผชิญหน้ากับตน ความสูงไม่พอนางก็เขย่งปลายเท้า ดมกลิ่นสุราที่เข้มข้นบนร่างของเขา และฟังเสียงหัวใจเต้นที่แข็งแกร่งทรงพลังของเขา นางพลันรู้สึกว่า คนผู้นี้ เมื่อเปรียบกับซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว ก็ไม่แย่เลย
อย่างไรเสีย ซั่งกวนเซ่าเฉินก็มีสตรีที่ตนชื่นชอบแล้ว นางแต่งไปก็ไม่มีทางได้รับความรักความโปรดปรานที่ต้องการ เสียนหวางผู้นี้ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน
“เจ้าล่วงเกินเปิ่นกงจู่แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบข้า ตัวของข้ามั่วจวินเหยา มิใช่ผู้ใดก็จะมาเอาเปรียบได้!” สองมือของนางเท้าสะเอว จ้องเขาด้วยท่าทีที่ดุร้าย
ใครจะรู้ว่าซูเช่อใคร่ครวญอยู่นานก็ผงกศีรษะ “รอข้า”
เขาทิ้งไว้เพียงสองคำ คนก็หายไปแล้ว นางในยามนั้นมืดสนิทไปหมด เสียนหวางผู้นี้ ที่แท้กำลังทำสิ่งใดกันแน่
หรือว่าเป็นการปั่นหัวนางหรือ?
ยามนั้นพี่ชายมิได้อยู่ในวังตากอากาศ นางตัดสินใจไม่ได้ จึงให้คนติดตามซูเช่อ ใครจะรู้ว่ายามนั้นเขาจะไปที่วังหลวง
เรื่องนี้หากเกิดขึ้นที่ซีอวี้ เสด็จพ่อจะต้องทรงกำหนดโทษฐานหมิ่นหยามเกียรติกับเขา เกรงว่าฮ่องเต้ของเทียนเฉาก็จะเป็นเช่นเดียวกัน หลังจากได้รับข่าว นางก็รีบเข้าวังอย่างเร่งร้อนเช่นกัน
อย่างที่คิด ซูเช่อเปิดไพ่ [1] กับฮ่องเต้แล้ว ว่าต้องการแต่งนางเป็นชายาเอก
ตัวนางในตอนนั้น ในใจยังคงลังเล ว่าจะยังคงพัวพันซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ปล่อยดี หรือจะเลือกเสียนหวางที่หล่อเหลาสง่างามไม่แพ้กันผู้นี้ดี แต่เมื่อเห็นสายตาที่แน่วแน่ของซูเช่อ นางก็ยอมแพ้แล้ว
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเปลี่ยนใจแล้วเพคะ หม่อมฉันต้องการให้เสียนหวางซูเช่อเป็นสวามีของหม่อมฉัน!”
ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างมาก “เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงาน จะทำเป็นเล่นได้อย่างไร อีกทั้งที่เจ้าเป็นตัวแทนคือซีอวี้ เป็นผู้ที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเทียนเฉาของข้า เรื่องนี้จะพูดว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้อย่างไร?”
“หม่อมฉันไม่สนใจ ฝ่าบาทได้ทรงรับปากหม่อมฉันไว้ ว่าหม่อมฉันสามารถเลือกสามีได้อย่างอิสระ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันยังมิได้คิดให้ชัดเจน แต่ยามนี้หม่อมฉันคิดตกแล้ว เสียนหวางก็ไม่เลว ยังขอให้ฝ่าบาททรงสนับสนุนให้พวกเราสมหวังด้วยเพคะ!”
ขณะที่นางพูด ยังดึงให้ซูเช่อมาคุกเข่าที่เบื้องหน้าของฮ่องเต้ด้วยกัน
คิดไม่ถึงว่า หลังจากฮ่องเต้หัวเราะฮ่าๆ ติดต่อกันก็รับปากแล้ว “ได้ ในเมื่อเจิ้นเคยรับปากเจ้าว่า สามารถเลือกสามีตามใจชอบได้ เช่นนั้นเจิ้นก็จะให้พวกเจ้าสองคนสมหวัง ใครเข้ามา ร่างราชโองการประทานสมรส!”
ก็เป็นเช่นนี้ นางจึงกลายมาเป็นชายาเอกของเสียนหวาง
แต่วันนี้ ที่ซูเช่อปฏิบัติต่อตนเป็นท่าทีอย่างใดกันแน่? เขาจะไล่คู่หมั้นของตนออกจากจวนหรือ?
“ซูเช่อ ท่านทำเกินไปแล้ว ไม่พูดถึงฐานะองค์หญิงของเปิ่นกงจู่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นคู่หมั้นของท่าน ข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน ท่านไม่เพียงไม่ต้อนรับข้า ยังจะไล่ข้าไป? หรือว่าวันนั้นที่ท่านทูลของราชโองการแต่งงานกับข้าจากฝ่าบาทเป็นเรื่องเท็จ? ท่านทำเพื่อให้ซั่งกวนเซ่าเฉินกับหลิงมู่เอ๋อร์ได้สมหวัง?”
มั่วจวินเหยาคิดเช่นนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง รูม่านตาของนางขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ แววตามีไอสังหาร ราวกับทันทีที่เขายอมรับ ก็จะหมุนกายไปหาหลิงมู่เอ๋อร์เพื่อคิดบัญชีอย่างหุนหันทันที
ซูเช่อคิดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้จะร้ายกาจเช่นนี้ อย่างที่คิด ในใต้หล้านี้ มีผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่น่ารักที่สุด
เขาเหล่ตา ส่งเสียงเยาะหยันจากก้นบึ้งของจิตใจออกมาทีหนึ่ง “ใช่แล้วอย่างไร มิใช่แล้วอย่างไร หากเจ้าเสียใจแล้ว ก็ถือเสียว่าวันนั้นหลังข้าดื่มสุราพูดจาเหลวไหล ทำลายการแต่งงานในตอนนี้ก็ยังทันอยู่”
“ยังทันอะไร ไม่ทันแล้ว!” มั่วจวินเหยาโมโหอย่างมาก “ข้าเริ่มจากถูกซั่งกวนเซ่าเฉินปฏิเสธ สุดท้ายก็เลิกล้มการหมั้นหมายกับท่านอีก ท่านจะให้ข้ามั่วจวินเหยาเอาหน้าไปวางไว้ที่ใด นอกจากนี้ ท่านจูบข้าแล้วก็ต้องรับผิดชอบข้า!”
ซูเช่อกลั้นหายใจ ท่าทางคล้ายกับลำบากใจอยู่บ้าง
เขาโค้งริมฝีปากอย่างชั้วร้าย มุมปากยกยิ้มขำ แม้จะรู้ว่าการกระทำที่จะทำต่อจากนี้อาจทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียหาย แต่การปฏิบัติต่อสตรีเจ้าแผนการประเภทนี้ เขาไม่สนใจแล้ว
“หือ? หรือว่าคืนนั้นองค์หญิงมิได้ทรงเพลิดเพลินไปด้วยหรือ?”
“เพลิดเพลินอะไร?” ตอนแรกมั่วจวินเหยาฟังไม่เข้าใจ แต่เมื่อนางเห็นความขบขันในเบื้องลึกของดวงตาซูเช่อ นางก็รู้ว่าตนเองถูกปั่นหัวแล้ว นางโมโหอย่างยิ่ง “ซูเช่อ เจ้ามันต่ำช้า สารเลว เจ้ามันเป็นคนเลว!”
นางพุ่งเข้าไป กำปั้นทั้งหมดทุบลงบนหน้าอกของเขา ในยามที่เห็นว่าซูเช่อมิได้หลบหลีก นางก็คิดว่าซูเช่อใจอ่อนแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า หลังจากไม่กี่ครั้ง เขาก็จับข้อมือนางอย่างกะทันหัน น้ำเสียงเย็นชาอย่างฉับพลัน “ใช่ เปิ่นหวางเป็นคนเลว เพราะข้าไม่เคยพูดกับคนในโลกเลยว่าข้าเป็นคนดี”
เขาเย้ยหยันตนเอง “แต่ว่า หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบมาก อย่างมากข้าให้เจ้าเอาคืนก็ได้แล้ว”
ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ มั่วจวินเหยามองเขา โมโหจนควันออกกระหม่อม
“จะอย่างไรข้าก็เป็นสตรี ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?” ในสมองพลันวาบชื่อของคนผู้หนึ่งขึ้นมาทันที มั่วจวินเหยาพลันเข้าใจแล้ว “เป็นหลิงมู่เอ๋อร์ ท่านจะต้องเป็นเพราะนางจึงได้จงใจทำเช่นนี้กับข้า ท่านรอดูเถอะ ข้าไม่มีทางปล่อยนางไปแน่”
กล่าวจบ มั่วจวินเหยาพุ่งออกจากห้อง วิ่งตรงออกจากจวนเสียนหวางไป
จื่อถงที่ยืนอยู่นอกประตูและได้ยินเรื่องทุกอย่างเข้าหูมิได้รับคำสั่งจากคุณชายเสียที เขาพุ่งเข้ามาอย่างตัดสินใจไม่ได้ “คุณชาย พวกเราไม่ต้องขัดขวางหรือขอรับ?”
“ขัดขวางอะไร?” หลังจากซูเช่อหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วก็รินน้ำชาให้ตนเอง ดื่มอย่างสบายไร้กังวล ราวกับทุกสิ่งเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“องค์หญิงเชื่อมสัมพันธไมตรีนางนี้ นิสัยดุร้าย นางพุ่งออกไปในตอนนี้ จะต้องไปหาเรื่องคุณหนูหลิงแน่ หรือท่านไม่เป็นห่วงหรือขอรับ?” จื่อถงงงแล้ว อารมณ์ของคุณชายกลายเป็นแปรปรวนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
คล้ายจะเริ่มตั้งแต่เขาถูกแต่งตั้งเป็นเสียนหวางเป็นต้นมา?
ไม่ ควรจะเป็นตั้งแต่ยามที่ฐานะที่แท้จริงของเขาถูกคนเปิดโปงออกมา เริ่มตั้งแต่ตอนที่ที่มารดาแท้ๆ ผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตไป
คุณชายในตอนนี้ไม่มีบรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนประดุจหยกเช่นในอดีตอีก มีแต่ไอสังหารอันแหลมคมที่ทำให้คนคาดเดาไม่ได้
คุณชายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“นางเต็มใจไปก็ให้นางไป เจ้าคิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์เป็นคนที่จะยอมให้คนอื่นรังแกง่ายๆ หรือ?” สำหรับจุดนี้ ซูเช่อไม่กังวลแม้แต่น้อย
“หากนางไร้ความสามารถเช่นนั้นจริง ก็มิใช่ผู้หญิงที่ข้าต้องตาแล้ว เจ้าควรจะกังวลแทนมั่วจวินเหยาจึงจะถูก”
กล่าวจบ ซูเช่อก็ลุกขึ้นยืนอย่างสบายๆ มิได้นำเรื่องที่มั่วจวินเหยาคิดจะทำมาไว้ในสายตาแม้แต่น้อย
“แต่ต่อให้เป็นองค์หญิงเชื่อมสัมพันธ์ถูกคุณหนูหลิงรังแกเอา ที่ตบนั่นก็เป็นหน้าของท่านนะขอรับ” จื่อถงถอนใจทีหนึ่ง
ใครจะรู้ว่าซูเช่อก็ยิ่งไม่สนใจแล้ว “ข้าแม้แต่คนที่อยากแต่งก็แต่งไม่ได้ เรื่องอื่นทั้งหมดยังต้องสนใจอีกหรือ?”
คลี่พัดออก ซูเช่อเดินส่ายอาดๆ ออกจากจวนเสียนหวาง ส่วนมั่วจวินเหยา?
นางภาวนาให้ตนเองโชคดีเถอะ
หลังออกมาจากห้องทรงพระอักษร เดิมหลิงมู่เอ๋อร์คิดจะไปเยี่ยมอวี้กุ้ยเฟย แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี นางน่าจะต้องการการพักผ่อน นางจึงวางแผนจะออกจากวัง ใครเลยจะคาดว่าที่หน้าประตูวังก็พบกับคนที่ไม่อยากพบมากที่สุด
“หยุดนะ เห็นเปิ่นกงจู่แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ทำความเคารพ?” มั่วจวินเหยาเชิดศีรษะอย่างเย่อหยิ่ง ท่าทางราวกับรอนางอยู่นานแล้วกระนั้น
หลิงมู่เอ๋อร์เพียงแต่ค้อนนางทีหนึ่งเท่านั้น คิดจะอ้อมผ่านนางจากไป ใครจะรู้ว่ามั่วจวินเหยากลับไล่ตามไม่ยอมปล่อย ขวางทางเบื้องหน้าของนางไว้ไม่ยอมขยับ “เปิ่นกงจู่เป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในซีอวี้ หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าช่างกล้านัก!”
รู้ว่าหากวันนี้ไม่ถกกับนางให้รู้แพ้ชนะ สตรีนางนี้จะไม่มีทางปล่อยนางไป
หลิงมู่เอ๋อร์จึงยืนอยู่ที่เดิมเสียเลย มองนางอย่างขบขัน “ท่านก็บอกแล้ว ว่าท่านเป็นองค์หญิงของซีอวี้ แต่ที่นี่คือเทียนเฉา อาศัยสิ่งใดจะให้ข้าแสดงความเคารพท่าน?”
นอกจากนี้ อ้างอิงจากลำดับฐานะในอนาคตแล้ว นางเป็นเพียงพระชายาของเสียนหวาง แต่นางเป็นถึงพระชายาขององค์ชายรอง จะพูดอย่างไรก็สูงกว่านางอยู่หนึ่งขั้น ผู้ที่ควรทำความเคารพ ควรจะเป็นนางจึงจะถูก
“เจ้า!” มั่วจวินเหยาโมโหอย่างยิ่ง เนื่องจากเคยลิ้มรสฝีปากของนางมาก่อนแล้ว นางตัดสินใจไม่โต้เถียงกับนาง “ถูกแล้ว ที่เจ้าพูดก็ถูก เจ้าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพข้าจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่เถียงเจ้าแล้ว ทว่าวันนี้ ข้าตั้งใจรอเจ้าอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ เจ้าไปตำหนักตากอากาศกับข้าสักรอบเถอะ”
มั่วจวินเหยาหมุนกายนำทางอยู่เบื้องหน้า
เกรงว่านางคงจะเป็นองค์หญิงจนชินแล้ว ไม่ว่าไปที่ใดก็ชอบสั่งการคนอื่น
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะทีหนึ่งแต่มิได้ตามไป แต่กลับจากไปในทิศทางตรงกันข้าม ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีเส้นทางออกจากวังแค่ทางเดียว
“เอ๊ะ เจ้าจะไปที่ใดกัน?” มั่วจวินเหยาเห็นนางมิได้ไล่ตามมา อารมณ์ก็แย่จนถึงที่สุดแล้ว นางรีบวิ่งมาจับแขนเสื้อของนางไว้ “หลิงมู่เอ๋อร์ เปิ่นกงจู่กำลังเชื้อเชิญเจ้าไปที่วังตากอากาศของข้า นี่เจ้ากำลังทำตัวโอหังยิ่งขึ้น ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้าหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] เปิดไพ่ หรือ แบไพ่ เป็นการอุปมา หมายถึงการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดแก่อีกฝ่าย