เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 334 เสียสติแล้ว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 334 เสียสติแล้ว
เล่มที่ 12 ตอนที่ 334 เสียสติแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ กล่าวทูลตอบทุกสิ่งที่ตนตรวจพบ หางตาสังเกตรายละเอียดเล็กๆ ในการแสดงออกของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง เห็นร่างของเขาสั่นสะท้านทีหนึ่งอย่างที่คิดจริงๆ
“ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริงหรือ?” ฮ่องเต้ไม่กล้าเชื่อว่าคำพูดนี้เป็นความจริง เขายินดีที่จะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องหลอกลวงที่หลิงมู่เอ๋อร์แต่งขึ้นมา
“เพคะ มู่เอ๋อร์มิกล้าปิดบัง”
หนึ่งชั่วยามก่อน ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้คนประกาศราชโองการเรียกตัวนางเข้าวัง เดิมคิดว่าฮ่องเต้จะพูดคุยเรื่องการแต่งงานที่ใกล้จะมาถึงกับนาง คิดไม่ถึงว่า หัวหน้าขันทีจะนำทางนางไปที่ตำหนักเย็นโดยตรง
ความรู้สึกไม่เป็นมิตรที่เต็มอยู่ในใจทำให้นางไม่อยากทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ แต่ในยามที่นางเดินเข้าไปในตำหนักเย็นแล้วเห็นหญิงชราที่เสียสตินางหนึ่ง นางก็ตกตะลึงไปแล้ว
หวางโฮ่วที่เดิมยโสเผด็จการ เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายและตอบแทนบุญคุณของนางด้วยความแค้น ยามนี้เป็นโรคเสียสติไปแล้ว
ถอดอาภรณ์อันงดงามหรูหราออกไป ราวกับกลับไปเป็นป้าเฉินที่หมดสติอยู่หน้าโรงหมอของนางอีกครั้ง นางไม่มีความแตกต่างจากคนวิปลาสทั่วไป หากมิใช่ทำตัวบ้าๆ บอๆ ราวเด็กน้อยที่สูญเสียสติปัญญา ก็จับเข็มเย็บผ้ามาเย็บๆ ปะๆ ราวย้อนกลับไปหลายปีในอดีต
หลิงมู่เอ๋อร์รีบจับชีพจรให้นางทันที อีกทั้งเฝ้าสังเกตโดยละเอียด ประสบการณ์บอกนางว่า นางเสียสติไปแล้วจริงๆ มิใช่แสร้งทำ
เห็นหวางโฮ่วที่มีสภาพเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ทั้งรู้สึกโมโหและขบขัน หวางโฮ่วที่หยิ่งยโส อาศัยฐานะหวางโฮ่วมาทำร้ายนางหลายครั้งผู้นั้น ที่แท้ก็มีจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน
ที่แท้สตรีในวังหลัง เมื่ออยู่ในตำหนักเย็นนานแล้ว และสูญเสียความโปรดปรานไปโดยสิ้นเชิงปราศจากคนดูแล ก็สามารถเสียสติได้จริงๆ
เมื่อเห็นนางก็จะนึกถึงอวี้กุ้ยเฟยขึ้นมา สตรีวิปลาสที่ถูกขังอยู่ในเรือนเปลี่ยวร้างของจวนจวิ้นอ๋องในอดีต ไม่รู้ว่าป้าเฉินเคยคิดหรือไม่ว่ามีวันหนึ่งนางก็จะกลับกลายมามีสภาพเยี่ยงนี้เช่นกัน
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ดีชั่วล้วนมีผลกรรม มิใช่มิต้องชดใช้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
“ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เป็นเยี่ยงนี้เถิด”
ได้รับคำตอบที่แน่ชัด ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง พิงอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างอ่อนเพลีย ราวไร้ซึ่งพลังจิตวิญญาณไปในเสี้ยววินาที
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ ใบหน้าที่เศร้าหมองนี้ของฮ่องเต้ที่แท้เพื่อสิ่งใดกัน ยังไม่ลืมไมตรีเก่าก่อนที่มีต่อหวางโฮ่วที่อำมหิตคนนั้น เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางก็รู้สึกคับอกคับใจขึ้นมา
“ฝ่าบาททรงต้องการให้มู่เอ๋อร์ทำการรักษาให้นางหรือไม่เพคะ?” นางสามารถรักษาอวี้กุ้ยเฟยให้หายดีได้ ก็ย่อมต้องรักษาหวางโฮ่วให้หายดีได้อย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรก็เพิ่งเริ่มป่วย ช่วยรักษาขึ้นมาก็ง่ายขึ้นไม่น้อย
อย่างที่คิด ดวงพระเนตรของฮ่องเต้สว่างวาบ แต่อย่างรวดเร็วมันหม่นหมองลง
“ภัยที่เกิดจากฟ้ายังสามารถหลีกพ้นได้ แต่เคราะห์กรรมที่เกิดจากการกระทำของตนนั้นมิอาจรอดพ้นไปได้ ทุกสิ่งนี้ล้วนแต่เป็นนางทำตนเอง กรรมที่ตนเองเป็นผู้ลงมือกระทำ ก็ต้องรับผลของการกระทำนั้นไว้เอง ในเมื่อนี่เป็นการจัดการที่สวรรค์มอบให้นาง เจิ้นจะไปต่อต้านสวรรค์ได้อย่างไร?” ฮ่องเต้ส่ายศีรษะ ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้งมุมปากของเขาก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “จุดจบในยามนี้ของหวางโฮ่ว เจ้าพอใจแล้วหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “สตรีสามัญชนผู้นี้หวาดกลัวยิ่งนัก ฟังไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทกำลังทรงตรัสสิ่งใด”
“หึ หากเจ้าฟังไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ไม่มีคนฟังออกแล้ว” แม้ฮ่องเต้จะทรงตรัสเช่นนั้น แต่กลับมองไม่ออกถึงความพิโรธแม้แต่น้อย “เพียงช่วงเวลาสั้นๆ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะกลายเป็นพระชายาขององค์ชายรองแล้ว เวลานี้แล้ว ยังเรียกตัวเองว่าหญิงสามัญชนอะไรอีก?”
กับสรรพนามที่นางใช้เรียกตนเอง ฮ่องเต้ดูคล้ายจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าสังเกตทั้งการขมวดคิ้วและหัวเราะของเขาอย่างระมัดระวัง เหตุใดจู่ๆ จึงรู้สึกว่า ดูฮ่องเต้ที่สูงส่งอยู่เบื้องบนผู้นี้ไม่ออกแล้วเล่า
“อย่างไรวันวิวาห์ก็ยังไม่มาถึง หญิงสามัญชนก็คือหญิงสามัญชน มิกล้าล้ำเส้นเพคะ”
“ถือว่าเจ้ารู้ตัว!” ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยคำตอบของนางเป็นอย่างมาก ค่อยๆ เสด็จลงมาจากบัลลังก์มังกร ส่งสายตาให้นาง เป็นสัญญาณให้นางสามารถลุกขึ้นได้แล้ว
หลังจากหลิงมู่เอ่อร์ลุกขึ้นมาอย่างเชื่อฟังแล้ว ก็มีขันทียกน้ำชาเข้ามาให้
สำหรับการปฏิบัติเป็นพิเศษที่ฮ่องเต้มอบให้นางในวันนี้ ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกทั้งยินดีและไม่เป็นสุขอย่างมาก ทว่านางมิได้แสดงสิ่งใดออกมา แต่กลับนั่งอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟังเป็นพิเศษ แสดงท่าทางรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจออกมา
“หากเจิ้นเดาไม่ผิดแล้วละก็ เมื่อครู่เจ้าคงกำลังสงสัย เหตุใดเจิ้นจึงให้เจ้าเข้าวังมาตรวจอาการให้นาง?” ฮ่องเต้ทรงหันหลังให้นางตรัสย้อนถาม “เพราะในสายตาของพวกเจ้า นางได้ถูกเจิ้นส่งเข้าตำหนักเย็นไปแล้ว สตรีที่สูญเสียความโปรดปรานไปแล้วนางหนึ่ง สำหรับเจิ้นแล้วไม่นับเป็นอะไรจริงๆ วังหลังของเจิ้นมีหญิงงามนับสามพัน ขาดนางไปคนหนึ่งไม่นับว่าขาด เมื่อเวลาผ่านนานไป เจิ้นก็ลืมแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงความคิดของพวกเจ้า”
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ตัวเขาในยามนี้ยืนอยู่ที่หน้าต่าง สายตามองต้นแปะก๊วยที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง ถึงกับเหม่อลอยไปแล้วจริงๆ
“ผู้คนมักพูดกันว่า ที่ไร้น้ำใจที่สุดคือกษัตริย์ แต่ถึงแม้เจิ้นจะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อผู้หนึ่งเช่นกัน” เขาถอนใจทีหนึ่ง “ที่กล่าวกันว่า เป็นสามีภรรยาเพียงวันเดียว ก็รักผูกพันนับร้อยวัน ต่อให้นางทำความผิดยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเพียงใด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากับเจิ้นมาช่วงหนึ่ง เมื่อได้รู้ว่านางอยู่ในตำหนักเย็นป่วยหนัก เจิ้นจะทำเมินเฉยเหมือนไม่ได้ยินได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้ที่เปี่ยมไปจิตวิญญาณแห่งความฮึกเหิมพระองค์หนึ่ง ในเวลานี้ ราวกับเป็นสามีผู้หนึ่งที่ใกล้จะสูญเสียภรรยาไปแล้วจริงๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ท่าทางราวแก่ชราลงสิบปีในเสี้ยววินาที
ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานี้ ในวังหลวงเกิดเรื่องราวมากเกินไปแล้วจริงๆ แม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น แต่เขาพูดไม่ผิด ถึงอย่างไรเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น และก็มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา [1] เช่นกัน
“มู่เอ๋อร์เชื่อในสิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสเพคะ ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจไมตรี ไม่เช่นคงจะมิทรงปฏิบัติต่ออวี้กุ้ยเฟยที่หวนคืนสู่วังหลังเป็นพิเศษเช่นนั้น และก็คงไม่ทรงระลึกถึงเสด็จแม่ของเซ่าเฉินอยู่ตลอดเวลาไม่ลืมเลือน และยังได้นำความรู้สึกผิดนั้นมาชดเชยไว้บนตัวเซ่าเฉินอีกด้วย” สำหรับเรื่องนี้ หลิงมู่เอ๋อร์นับถือเขา
อย่างน้อยในเรื่องของความรัก ฮ่องเต้พระองค์นี้มิได้ผิดต่อผู้ใด แม้ว่าในอดีตจะทำผิดไปแล้ว แต่เขาก็ได้พยายามอย่างสุดกำลังที่จะชดเชย ไม่เช่นนั้น เขาจะอนุญาตความต้องการของซั่งกวนเซ่าเฉินที่ยืนกรานจะแต่งนางเป็นภรรยาได้อย่างไร
“สายตาของเฉินเอ๋อร์ไม่เลว หากตัดเรื่องฐานะของเจ้าออกไปแล้วมาพูด เจ้าเป็นหญิงสาวที่ดีจริงๆ ไม่เพียงชาญฉลาด ยังมีทักษะทางการแพทย์ที่เหนือผู้คน ได้ยินว่าในใจของราษฎรก็ได้รับความรักอย่างยิ่ง?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ประเมินนางอย่างตรงจริงจังและตรงจุดเช่นนี้ ทำให้ในช่วงเวลาสั้นๆ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ฝ่าบาททรงตรัสชมแล้วเพคะ” นางก้มศีรษะลงอย่างถ่อมตัว ไม่ยอมรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ
“อยู่ต่อหน้าเจิ้น เจ้าไม่ต้องถ่อมตัว เหล่าราษฎรขนานนามเจ้าว่าแม่นางเซียนแพทย์ ข้ารู้อยู่นานแล้ว เจ้ามีมือวิเศษที่สามารถคืนชีวิตได้ ถือว่าสามารถรับสมญานามนี้ไว้ได้จริงๆ” นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขารับปากให้เฉินเอ๋อร์แต่งนางได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเจิ้นจึงรับปากเฉินเอ๋อร์ให้แต่งเจ้า?” ฮ่องเต้หมุนกายกลับมาตรัสถาม “เจ้าควรรู้จะว่า ด้วยฐานะของเจ้า อย่าว่าแต่พระชายาเอกขององค์ชายรอง ต่อให้เป็นชายารองตัวเล็กๆ ก็ยังทำให้คนต้องชั่งน้ำหนักหลายครา เจ้ายิ่งควรรู้ว่า ในสายตาของเจิ้น ในอนาคตเฉินเอ๋อร์จะมีฐานะเช่นไร”
“ขอฝ่าบาทโปรดทรงวางพระทัย หลิงมู่เอ๋อร์จะจดจำฐานะของตนเป็นอย่างดี จะไม่ทำให้ราชวงศ์ต้องขายหน้าอย่างเด็ดขาด และจะมิกลายเป็นภาระของเซ่าเฉินด้วย หม่อมฉันจะใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดไปเป็นภรรยาของเขาและรักษาหน้าที่”
มิได้ตอบคำถามของฮ่องเต้ แต่กลับรับประกันออกมาอย่างจริงใจและจริงจังยิ่ง
สำหรับเรื่องนี้ ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก “ดีมาก! ในเมื่อเจ้ารู้ว่าในอนาคตเจ้าต้องทำสิ่งใด ข้าก็ไม่สร้างความลำบากใจให้เจ้าแล้ว เจิ้นได้เห็นด้วยกับการแต่งงานของเจ้ากับเฉินเอ๋อร์แล้ว วันหน้าพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เจิ้นเชื่อว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เช่นนั้นนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจิ้นจะไม่แทรกแซงพวกเจ้าอีก”
โบกมือ เป็นสัญญาณให้หลิงมู่เอ๋อร์สามารถออกไปได้
ก่อนจากไป หลิงมู่เอ๋อร์เห็นอย่างชัดเจนว่า ฮ่องเต้พระพักตร์เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร หลับตาทำสมาธิ ท่าทางเช่นนั้น ราวกับเพิ่งผ่านภัยพิบัติมารอบหนึ่งก็ไม่ปาน
นางเป็นแพทย์ เพียงแวบเดียวก็สามารถมองออกถึงความผิดปกติในสุขภาพของฝ่าบาท นางอ้าปากคิดกล่าวสิ่งใด ก็เห็นขันทีที่อยู่ด้านข้างทำสัญญาณมือระงับเสียงต่อนาง หรือฮ่องเต้รู้ว่าร่างกายของตนมีปัญหา?
จวนเสียนหวาง
“คุณชาย องค์ชายรองล้มเหลวแล้วขอรับ” จื่อถงรายงาน
“จริงหรือ?” สีหน้าของซูเช่อไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในเสี้ยววินาที ความเย็นยะเยือกที่แพร่ออกมาทั่วร่างทั้งบนล่าง ยิ่งทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้เพราะความรู้สึกที่อันตราย
“ขอรับ” จื่อถงตอบ “คนของพวกเรา เห็นด้วยตาตนเองว่าองค์ชายรองออกจากจวนองค์ชายเจ็ดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง อีกทั้ง สายลับที่พวกเราแทรกซึมไว้ในจวนองค์ชายเจ็ดรายงานกลับมาว่า ในวันนี้ องค์ชายเจ็ดไม่มีการแสดงออกที่ผิดปกติใด ดูท่า สิ่งที่องค์ชายรองทรงต้องการจะไม่สำเร็จ”
“แม้แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไม่ได้ไป ดูท่าองค์ชายเจ็ดจะซ่อนไว้อย่างลึกลับมาก” ซูเช่อสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง ในใจกำลังคิดคำนวณบางสิ่ง
อย่างรวดเร็ว เขาก็ถามว่า “ทางหยินถงส่งข่าวมาแล้วหรือไม่?”
จื่อถงก็ถอนใจตามไปด้วยเช่นกัน “นกพิราบมาส่งข่าวเช้านี้ หยินถงบอกว่าทางหนานกงซื่อจื่อก็มิได้อะไรเลยขอรับ”
ปึง
กำปั้นของซูเช่อทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง คิ้วที่งดงามของเขาขมวดเข้าหากันเป็นก้อน “องค์ชายเจ็ดช่างอำพรางได้ดีเหลือเกิน ดูท่า หลายปีมานี้ยามที่อยู่ในที่ดินศักดินาเขาคงทำเรื่องไว้ไม่น้อย มิเช่นนั้น แม้แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินจะหาจุดตายของเขาไม่พบได้อย่างไร”
จื่อถงรับรู้ได้ว่าเจ้านายอาจจะลงมือแล้ว “คุณชาย ท่านยังคงตัดสินใจที่จะช่วยพวกเขา?”
“ของที่ซั่งกวนเซ่าเฉินเอาออกมาไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเอาออกมาไม่ได้ ข้าจะลองดูว่าจวนองค์ชายเจ็ดของเขา เป็นถ้ำเสือวังมังกรเช่นใดกันแน่…” ซูเช่อด้านหนึ่งกล่าววาจา อีกด้านก็กำลังคิดหาวิธี แต่เสียงของเขาพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน สายตาที่แหลมคมก็มองออกไปนอกประตูทันที “ใคร!”
จื่อถงรีบหันกลับมามองทันที อย่างที่คิด เห็นนอกประตูมีเงาร่างสายหนึ่งวาบผ่านไป เขารีบไล่ตามออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก จื่อถงคอตก ก้มหน้าถอนใจ นำตัวสตรีนางหนึ่งมาปรากฏตัวเบื้องหน้าซูเช่อ
“คุณชาย…”
“เหตุใดจึงเป็นเจ้า?” เห็นได้ชัดว่า ซูเช่อคิดไม่ถึงว่าผู้ที่แอบฟังนอกประตูจะเป็นนาง
ถอนใจครั้งหนึ่ง ซูเช่อสั่งการจื่อถง “เจ้าออกไปก่อนเถอะ” กล่าวจบ ก็มองมั่วจวินเหยาที่เบิกตากว้าง ไม่รู้สึกอับอายต่อการแอบฟังของตนแม้แต่น้อยอีกครั้ง “ที่นี่คือจวนเสียนหวาง เจ้ามีฐานะเป็นองค์หญิงของซีอวี้ แอบขโมยฟังเปิ่นหวางสนทนา พฤติกรรมเช่นนี้ผิดต่อกฎหมายของเทียนเฉาเรา หากข้าถวายรายงานต่อฝ่าบาท เจ้ารู้ถึงผลลัพธ์หรือไม่?”
มั่วจวินเหยากลับไม่ใส่ใจต่อการเค้นถามของเขา แต่กลับผลักเขาออกไปอย่างแรงและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เขาเพิ่งนั่งเมื่อครู่ มือทั้งสองกอดอก แสดงท่าทีราวกับนายหญิงก็ไม่ปาน
“ข้ามาเยี่ยมเยียนสามีในอนาคตของข้า มีสิ่งใดมิได้หรือ?” มั่วจวินเหยาเชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง “หากข้าไม่มาอย่างกะทันหัน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่านได้ปิดบังข้าแอบซ่อนหญิงงามไว้ในเรือนทองหรือไม่ แต่โชคดีที่วันนี้ข้ามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไร ว่าต่อจากนี้ท่านจะทำสิ่งใด?”
น้ำเสียงของมั่วจวินเหยาประชดประชัน ในยามที่นางมองซูเช่อนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ท่านจะทำอะไร? จะไปช่วยใคร? เป็นหลิงมู่เอ๋อร์กระมัง องค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ดเป็นศัตรูกัน ท่านจะต่อกรกับองค์ชายเจ็ด เช่นนั้นก็คือจะช่วยองค์ชายรองแล้ว แต่คนเขาตอนนี้ก็เป็นคู่หมั้นของคนอื่นไปแล้ว ท่านยังยุ่งอะไรอยู่ที่นี่อีกเล่า? ซูเช่อ ท่านไม่รู้สึกว่าท่านทำเกินไปแล้วหรือ?”
“คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะรู้มาไม่น้อย” แม้แต่องค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ดเป็นศัตรูกันก็รู้ องค์หญิงซีอวี้ผู้นี้เขาพูดแต่แรกแล้วว่านางไม่ธรรมดา
“แต่ว่า เรื่องของเปิ่นหวางต้องให้เจ้ามาชี้นิ้วสั่งการตั้งแต่เมื่อใดกัน” ซูเช่อตำหนิด้วยความโมโห “หนึ่งวันยังมิได้แต่งาน เจ้าก็ยังมิใช่เสียนหวางเฟยของข้า ใครเข้ามา พาองค์หญิงออกไป ส่งแขก”
มั่วจวินเหยาไม่พอใจในท่าทีที่ซูเช่อปฏิบัติต่อตนอย่างยิ่ง
นางอ้าปากกว้าง เบิกตาโต หัวเราะอย่างเย็นชาไม่หยุด “ท่าน…ท่านปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าท่านลืมไปแล้ว ตอนนั้นขอร้องข้าให้แต่งกับท่านอย่างไรแล้วหรือ”
เชิงอรรถ
[1] ‘เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา’ เจ็ดอารมณ์หมายถึง อารมณ์ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด ใคร่ และหกปรารถนาหมายถึง ปรารถนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ