เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 333 ตรวจสอบด้วยตนเอง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 12 ตอนที่ 333 ตรวจสอบด้วยตนเอง
เล่มที่ 12 ตอนที่ 333 ตรวจสอบด้วยตนเอง
ประมาณหนึ่งเค่อให้หลัง องค์ชายเจ็ดนำฎีกาทั้งหมดกลับมาถึงห้องลับอีกครั้ง แต่คำตอบของลูกน้องคือ องค์ชายรองตั้งแต่แรกจนจบยังมิได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
“เขามิได้ขยับแม้แต่นิดเดียว?” องค์ชายเจ็ดไม่กล้าเชื่อหูของตน ยิ่งไม่กล้าเชื่อพฤติกรรมของซั่งกวนเซ่าเฉิน
“จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาเสนอตัวมาที่จวนของข้าด้วยตัวเอง จะต้องมิใช่เพราะฎีกาพวกนี้เท่านั้นเด็ดขาด แต่เหตุใดเขาไม่คว้าโอกาสนี้ไว้?” เขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินต้องมาโดยไม่มีเจตนาดีแน่
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าองค์ชายรองมิกล้าลงมือพ่ะย่ะค่ะ หรือจะกล่าวว่า หลิงจือเซวียนผู้นั้นเกรงกลัวการแก้แค้นของเหยีย จงมิได้บอกความจริงกับเขา?” ลูกน้องคาดเดา
“เป็นไปไม่ได้! แต่ไรมาหลิงจือเซวียนรักใคร่โปรดปรานน้องสาวของเขา มีหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ ไม่ว่าสิ่งใดเขาล้วนจะพูดทั้งสิ้น หากเขามิได้พูดแล้วละก็ วันนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินมาที่จวนของข้าไม่ยอมจากไปเพื่อสิ่งใด? แล้วเขาส่งหนานกงอี้จือไปที่ผิงเฉิงเพราะเหตุใด?”
ขอเพียงคิดถึงจุดนี้ องค์ชายเจ็ดก็โมโหไม่เบา เขาเสียใจอย่างยิ่งจริงๆ ที่มิได้จัดการสังหารหลิงจือเซวียนแต่แรก เช่นนี้ ความลับของเขาก็จะไม่มีผู้ใดค้นพบตลอดกาลแล้ว
“เป็น…” ผู้เป็นลูกน้องไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใดดี
“สถานการณ์ทางด้านหนานกงอี้จือเป็นอย่างไรแล้ว?” องค์ชายเจ็ดด้านหนึ่งจับจ้องการกระทำของซั่งกวนเซ่าเฉิน อีกด้านหนึ่งไต่ถาม
“ทูลเหยีย ได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้หนานกงซื่อจื่อพลิกแผ่นดินผิงเฉิงหา ก็ไม่มีทางสืบสิ่งใดออกมาได้ ทรงวางพระทัยเถิด” ผู้เป็นลูกน้องตอบอย่างมั่นใจยิ่ง
“ทำได้ดี” หมุนกายไปมอบสายตาชื่นชมให้เขา “จับตามองหนานกงอี้จือไว้ให้ข้าให้ดี ทันทีที่เขาค้นพบอะไร รายงานข้าทันที หากหาความลับของข้าพบจริงๆ…” คำพูดด้านหลังเขามิได้พูดจนจบ แต่ทำท่าปาดคอ
ผู้เป็นลูกน้องกล่าวอย่างเข้าใจว่า “พ่ะย่ะค่ะ ผู้น้อยรับบัญชา”
“เสด็จพี่ ฎีกาทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่ ท่านมั่นใจว่าไม่ต้องให้บ่าวรับใช้ส่งไปที่จวนของท่าน?” องค์ชายเจ็ดวางฎีกาหลายสิบเล่มไว้เบื้องหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ซั่งกวนเซ่าเฉินพินิจดู ดวงตาทั้งคู่หรี่จนเป็นเส้นเดียว “ช่างเถอะ เช่นนั้นก็มอบให้บ่าวรับใช้แล้วกัน วันนี้เป็นพี่รบกวนแล้ว ทำให้เจ้าเสียเวลาไปกว่าครึ่งวัน ลาก่อน”
กล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นไปถึงประตูแล้ว ส่วนฎีกาเบื้องหน้านั้นเขาไม่แม้แต่จะมองสักครั้ง
ในยามนี้ มุมปากขององค์ชายเจ็ดสั่นไม่หยุดอีกครั้ง เมื่อครู่ยังพูดอยู่ชัดๆ ว่าบ่าวรับใช้ทำได้ไม่ดี มิให้บ่าวรับใช้แตะต้อง ครานี้เหตุใดจึงได้ตกลงมอบให้ข้ารับใช้แล้วเล่า? ซั่งกวนเซ่าเฉินผู้นี้ตั้งใจปั่นหัวเขาใช่หรือไม่?
“เสด็จพี่รองโปรดรั้งเท้า” องค์ชายเจ็ดจากสามก้าวกลายเป็นสองก้าว
“น้องเจ็ดเมีสิ่งใดจะพูดหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนอยู่ที่ประตูหันศีรษะมา แต่ดวงตาตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มองเขาแม้เพียงครั้งเดียว
สำหรับความเย่อหยิ่งของเขา องค์ชายเจ็ดแม้จะโมโหอย่างมาก แต่เขารู้ว่า สิ่งที่ควรใส่ใจในยามนี้ไม่ใช่เรื่องพวกนี้ “ก็มิใช่เรื่องสำคัญอะไร เพียงแต่ช่วงนี้ได้ยินข่าวลือบางอย่าง ได้ยินว่าหลิงจือเซวียนถูกคนให้ร้าย ส่วนเขาอยู่ในคุกหลวงยังถูกคนใช้ทัณฑ์ทรมานจนทำให้ลมหายใจรวยริน แม้จะเป็นเสด็จพี่ที่แย่งผู้มีความสามารถไปจากมือของข้า แต่ถึงอย่างไรก็เคยติดตามข้ามา ข้าเป็นห่วงอาการของเขาอย่างมาก”
ซั่งกวนเซ่าเฉินผงกศีรษะ “เขาสบายดีมาก รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว”
เป็นคำพูดที่เรียบง่ายอย่างมาก องค์ชายเจ็ดพยายามระงับเพลิงโทสะสุดชีวิต “เพียงเท่านี้หรือ?”
“ไม่อย่างนั้น น้องเจ็ดยังอยากรู้สิ่งใดอีกหรือ?”
หากเขายังสอบถามต่อไปอีก มิเท่ากับเขายอมรับว่าตนเองเป็นผู้วางแผนให้ร้ายหลิงจือเซวียนหรอกหรือ?
ซั่งกวนเซ่าเฉินผู้นี้ เขาจะต้องจงใจอย่างแน่นอน จงใจมาแสดงความหยิ่งผยองโวยวายที่จวนของเขา!
ผู้เป็นลูกน้องกล่าวไม่ผิด บางทีหลิงจือเซวียนไม่กล้าล่วงเกินเขา ไม่ว่าสิ่งใดก็มิได้พูด ดังนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินจึงได้จงใจมาเพื่อที่จะลองเชิงดูเท่านั้น
“ในเมื่อคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ที่จริงแล้วข้ายังตัดใจจากเขาไม่ค่อยได้นัก เสียดายที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานท่าน จึงได้ทรงตอบรับคำขอร้องของท่าน นำตัวเขาไปจากข้างกายข้า หลิงจือเซวียนเป็นผู้มีความสามารถที่ยากพบพาน เสด็จพี่จะต้องทรงเลี้ยงดูฝึกฝนเขาดีๆ เล่า”
“นั่นย่อมแน่นอน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลิงจือเซวียนเป็นพี่ชายของมู่เอ๋อร์ ก็เท่ากับเป็นพี่ชายของข้า ไม่ว่าจะเป็นเพราะเห็นแก่ไมตรีหรืออิงตามธรรมเนียมข้าล้วนไม่มีทางผิดต่อเขา”
“เสด็จพี่ยังคงรักใคร่เอ็นดูพี่สะใภ้ในอนาคต” กับเรื่องนี้องค์ชายเจ็ดมีความอิจฉาอยู่บ้าง
“แน่นอน สตรีของตน ย่อมต้องเป็นตนไปตามใจ” ซั่งกวนเซ่าเฉินจงใจยั่วโมโหเขา เห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นดำคล้ำทันที เขาก็หัวเราะ “นี่ก็สายแล้ว ข้ายังต้องนำฎีกาไปกราบทูลเสด็จพ่อ ยังขอให้เสด็จน้องเจ็ดรีบสั่งการให้คนนำไปส่งที่จวนของข้า”
แม้แต่ลาก่อนเพียงคำเดียวก็ไม่คิดจะพูด ซั่งกวนเซ่าเฉินส่ายอาดๆหมุนกายจากไป
องค์ชายเจ็ดแค้นจนแทบจะชักดาบออกมา หมายเอาชีวิตเขาจากเบื้องหลังไปเช่นนี้เลย ทว่าตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่จะแตกหัก
ไม่เป็นไร ช้าเร็วเขาจะต้องนำทั้งบัญชีเก่าและบัญชีใหม่มาคิดให้ชัดเจนแน่นอน
รวมถึงรายการที่หลิงมู่เอ๋อร์วางแผนหลอกลวงเขานั่นด้วย
“เสด็จพี่ เกรงว่าท่านคงลืมบางสิ่งกระมัง?” เขาพลันเห็นสายตาที่ลูกน้องส่งมากะทันหัน เขารีบร้องตะโกนใส่เงาหลังของซั่งกวนเซ่าเฉินทันที
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดินไปถึงซุ้มประตูโค้งหันดวงตากลับมา ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “หืม? ไม่ทราบว่าคำพูดนี้ของน้องเจ็ดมีที่มาอย่างไร?”
“แต่เช้าตรู่ที่ท่านมาจวนของข้า ได้พาองครักษ์มาด้วยชัดๆ ทว่าตลอดทั้งวันล้วนไม่เห็นตัวของเขา หรือว่าท่านได้ส่งเขาไปทำเรื่องสำคัญบางอย่าง?”
ในขณะที่องค์ชายเจ็ดกล่าว ก็เดินไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินทีละก้าว แต่เขากลับมิได้สังเกตว่า ยิ่งเขาเข้าใกล้ ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยิ่งไม่มองเขา และคล้ายจะหลบเลี่ยงอย่างระมัดระวังด้วย
“ที่นี่เป็นถึงจวนองค์ชายเจ็ดของเจ้า คนของข้าจะเหลวไหลได้อย่างไร?” รู้แต่แรกว่าเขาต้องถามเช่นนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดบทพูดไว้เรียบร้อยแล้ว
“โอ้? เช่นนั้นคนเล่า? มีฐานะเป็นองครักษ์ประจำกายเหตุใดจึงไม่อยู่ข้างกายท่าน กระทั่งเจ้านายจะจากไปก็ไม่มาปรากฏตัว” องค์ชายเจ็ดกล่าวอย่างคาดคั้น “เสด็จพี่อย่าได้ทรงบอกข้าว่า เขาหลงทางหรือรักสนุกวิ่งหายไปแล้ว เขาเป็นเพียงองครักษ์ตัวเล็กๆ ข้างกายท่านเท่านั้น แน่นอนว่า หากเสด็จพี่ส่งเขาไปตรวจสอบสิ่งใดในจวนของข้าแล้วละก็ ก็สามารถพูดออกมาได้ตามตรง ท่านกับข้าพี่น้องต้องการสิ่งใดพูดออกมาก็พอ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้”
“บังเอิญนัก เขาเป็นเพราะรักสนุกจริงๆ” ซั่งกวนเซ่าเฉินชี้ไปยังช่องแคบในภูเขาจำลองใต้ซุ้มโค้ง “นั่นไงเล่า ถึงกับมานอนหลับอยู่ตรงนี้แล้ว หากมิใช่เพราะน้องเจ็ดเตือนขึ้นมา ข้าคงลืมเขาไปแล้วจริงๆ”
กล่าวจบ ภายใต้สายตาสำรวจตรวจตราขององค์ชายเจ็ด เขาเหินกายไปยังข้างกายขององครักษ์ ผลักร่างของเขา องครักษ์ผู้หล่อเหลาจึงได้เปิดตาที่ง่วงงุนขึ้นมา ทันทีที่เห็นว่าเป็นองค์ชายรอง เขาตกใจจนรีบคุกเข่าร้องขอการอภัยกับพื้น “นายท่านโปรดอภัยด้วย ผู้น้อยไม่ได้ตั้งใจนอนหลับ ขอร้องนายท่านอย่าได้ฆ่าข้า”
น้ำเสียงและการพูดของคนผู้นี้เหตุใดจึงได้ฟังแล้วแปลกๆ?
ท่ามกลางแววตาสงสัยขององค์ชายเจ็ด องค์ชายรองหิ้วคอเสื้อของเขา ปลายเท้าสะกิดเบาๆ เขามายังเบื้องหน้าขององค์ชายเจ็ด
“ขอไม่ปิดบัง เดิมเขาเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถที่สุดของข้า แต่เป็นเพราะภารกิจหนึ่งถูกคนทำร้ายเข้าที่นี่ แม้ภายใต้การรักษาของมู่เอ๋อร์จะเกือบหายดีแล้ว แต่ใครจะคาดว่า เมื่อคืนเขาพลันอาการกำเริบอย่างประหลาด ถึงอย่างไรก็ติดตามข้ามานานหลายปี มู่เอ๋อร์ก็เข้าวังไปเข้าเฝ้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยามเขาอาการกำเริบไม่มีคนค้นพบ ข้าจึงได้แต่นำมาอยู่ข้างกายแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาจะมานอนหลับในที่ของเจ้ากัน”
ระหว่างกล่าววาจา ซั่งกวนเซ่าเฉินยังส่งเสียงหัวเราะออกมา
แต่ทุกสิ่งนี้ ในสายตาขององค์ชายเจ็ดแล้วช่างเป็นการแก้ตัวอย่างไร้สาระเหลือเกิน
คนผู้นี้เป็นคนปัญญาอ่อนจริงหรือ?
เหตุใดในตอนที่มา เขาจึงมองความผิดปกติใดไม่ออกเล่า?
“โอ้? คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” เขาไม่เชื่อ วางแผนจะก้าวเข้าไปตรวจสอบด้วยตนเองรอบหนึ่ง
“หากน้องเจ็ดไม่เชื่อแล้วละก็ สามารถให้คนในจวนไปลองตรวจสอบว่ามีสิ่งใดหายไปหรือไม่ แต่ข้ายังต้องรีบเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ก็ไม่รอข่าวอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว หากมีสิ่งใดหายไปจริงๆ สามารถส่งข้ารับใช้ไปหาข้าที่จวนองค์ชายรองได้ทุกเมื่อ”
กล่าวจบ เขาก็หิ้วองครักษ์ที่สมองไม่ดีเดินส่ายอาดๆ จากไป เหลือไว้เพียงองค์ชายเจ็ดที่มุมปากกระตุกอย่างรุนแรงเพียงลำพัง โมโหจนมีควันพวยพุ่งออกบนกระหม่อม
เขารู้อยู่ชัดๆ ว่าที่เขาสนใจคือคนผู้นี้เป็นคนปัญญาอ่อนจริงหรือไม่ แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับจงใจกล่าวว่า เขาสงสัยว่าเขาเป็นขโมย
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน หลังจากที่บิดาครองบัลลังก์แล้ว คนข้างกายทั้งหมดของเจ้าจะต้องถูกกลบฝังไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย!”
หมัดแห่งโทสะชกลงบนโค้งสะพานอย่างรุนแรง พละกำลังแรงมากจนกำปั้นของเขามีโลหิตสีแดงหลั่งออกมา อาบย้อมกำแพงหินสีขาวจนแดงฉาน
จวนองค์ชายรอง
เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมา หลิงมู่เอ๋อร์รีบพุ่งเข้าไปอย่างเร่งร้อน “เป็นอย่างไรบ้าง หาข้อมูลเจอแล้วหรือไม่?”
แต่ผู้ที่นางพุ่งไปหามิใช่ซั่งกวนเซ่าเฉิน แต่เป็นองครักษ์ที่ถูกระบุว่าปัญญาอ่อน
เห็นองครักษ์ปลดหน้ากากหนังมนุษย์ออก เผยใบหน้าที่งดงามเย้ายวนไร้ใดเปรียบนั้นออกมา และถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “ทั่วทั้งจวนองค์ชายเจ็ดข้าล้วนตรวจสอบแล้ว ดูท่าองค์ชายเจ็ดจะซ่อนสมุดบัญชีไว้มิดชิดอย่างมาก”
แม้แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินก็หาไม่พบ เห็นได้ว่าความยากลำบากของเรื่องนี้มากเพียงใด แต่ก็เป็นการพิสูจน์อีกทางหนึ่งว่า สำหรับองค์ชายเจ็ดแล้วสมุดบัญชีเล่มนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นไร พวกเราค่อยหาโอกาสอีกครั้ง จะต้องหามันพบแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็หมุนตัวไปรินน้ำชาจนเต็มสองถ้วย มอบให้ซั่งกวนเซ่าเฉินถ้วยหนึ่ง มอบให้ผู้ที่ถูกเรียกว่าซั่งกวนเซ่าเฉินถ้วยหนึ่ง
คนผู้นี้รู้สึกทั้งยินดีและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก รีบคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหนึ่งปลดหน้ากากหนังมนุษย์ลง อีกด้านส่ายหัว “พระชายาองค์ชายรองทำให้บ่าวอายุสั้นแล้ว บ่าวไม่กล้าขอรับ”
มิผิด ที่รับมือกับองค์ชายเจ็ดมาทั้งวัน คนที่รู้จักแต่ลุ่มหลงอยู่ในกลหมากนั้น เป็นเพียงตัวแทนของซั่งกวนเซ่าเฉิน!
ในยามที่พวกเขาตัดสินใจแอบเข้าไปในจวนขององค์ชายเจ็ดก็ได้คิดไว้แล้ว ส่งผู้ใดไปค้นหาก็ล้วนไม่วางใจ จึงได้คิดหาตัวแทนมาพัวพันองค์ชายเจ็ดไว้อย่างเรียบร้อย ส่วนซั่งกวนเซ่าเฉินตัวจริงจะแปลงโฉมเป็นองครักษ์ ตรวจค้นในจวนอย่างละเอียด
รูปร่างและน้ำเสียงของคนผู้นี้แม้จะเหมือนซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างมาก แต่เพื่อมิให้ถูกองค์ชายเจ็ดมองความผิดปกติออก พวกเขาจงใจไปสืบล่วงหน้าทราบว่า ช่วงนี้องค์ชายเจ็ดได้หมากกระดานหนึ่งที่อยู่ในขั้นสุดท้ายมาใหม่ ดังนั้น จึงจงใจให้เขาจดจ้องอยู่กับกลหมากไม่ยอมปล่อย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เผยพิรุธออกมา พยายามพูดให้น้อย ไม่กล่าววาจา
อีกทั้ง หลิงมู่เอ๋อร์ยังได้กำชับไว้ล่วงหน้าว่า มิว่าองค์ชายเจ็ดจะใช้ข้ออ้างใดในการปลีกตัวออกไป เขาก็อย่าได้เคลื่อนไหวตามใจเป็นอันขาด คิดไม่ถึงว่าจะสามารถปิดบังองค์ชายเจ็ดไปได้จริงๆ
“เรื่องในวันนี้มีอันตราย แต่ยังดีที่เจ้าไม่ถูกจับได้ ดื่มน้ำชาสักถ้วยเถิด อยู่กับข้าไม่มีกฎธรรมเนียมมากมายอะไร” หลิงมู่เอ๋อร์ประคองเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง ยื่นน้ำชาไปอีกครั้ง
ผู้ใต้บังคับบัญชาหลังจากได้รับสายตาจากองค์ชายรอง หลังจากกล่าวขอบคุณติดๆ กันจึงได้วางน้ำชาลง แต่เขาก็รีบคุกเข่าไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินทันที “เมื่อครู่ผู้น้อยร้อนใจ จึงได้ดูหมิ่นเหยีย ขอให้เหยียโปรดอภัยด้วยขอรับ”
อย่างรวดเร็ว ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ตระหนักว่า ที่เขาพูดถึงคือเรื่องที่กล่าวหาว่าเขาสมองมีปัญหา เขาหัวเราะ “เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน การตอบสนองของเจ้าฉับไวเช่นนี้ เปิ่นหวางจื่อควรมอบรางวัลให้เจ้าเพิ่มจึงถูก ไปเถอะ ไปหาพ่อบ้านเพื่อรับรางวัล”
เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาจากไป หลิงมู่เอ๋อร์รีบไต่ถามว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร นี่มิใช่แผนการที่พวกเขาวางไว้ก่อนล่วงหน้านี่นา
ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงได้อธิบายว่า “ในตอนที่ข้าเพิ่งเข้าไปในจวนองค์ชายเจ็ดนั้นก็ถูกคนจับตามองแล้ว แต่เพื่อหาสมุดบัญชีให้เจอ ข้าหายตัวไปตลอดชักนำความสงสัยของเขามาแต่แรก เพราะไม่มีหนทางอื่น จึงได้แกล้งซ่อนตัวอยู่ในภูเขาจำลอง แสร้งทำเป็นนอนหลับ แต่หากไม่แสร้งทำเป็นปัญญาอ่อนจะหลอกน้องเจ็ดได้อย่างไร”
“แกล้งปัญญาอ่อน?” หลิงมู่เอ๋อร์ถูกแผนการของพวกเขาทำให้ตะลึงงันไปแล้ว นางคิดไม่ถึงเลยว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เฉลียวฉลาดเลิศล้ำหล่อเหลาเย้ายวนนั้น ยามแสร้งทำเป็นปัญญาอ่อนจะมีลักษณะเช่นใด
“จิ๊ๆๆ ที่แท้องค์ชายรองผู้หล่อเหลาไม่ธรรมดาของพวกเราก็มีวันที่ต้องแกล้งโง่งมด้วยเหมือนกัน น่าเสียดายนักที่ข้าไม่ได้เห็น มิสู้ท่านแสดงสดอีกทีให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา?”
ดูสายตาเจ้าเล่ห์ของหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินพลิ้วไปที่ข้างกายของนาง กอดนางไว้และอุ้มขึ้นมาอย่างรุนแรง “ได้สิ ในเมื่อชายาที่รักสนใจ เปิ่นหวางจื่อเสียสละตนเองสักครั้งจะเป็นไรไป แต่ว่า พวกเราไปแสดงกันบนเตียง”