เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 332 ทรมาน
เล่มที่ 12 ตอนที่ 332 ทรมาน
“คุณชาย สืบออกมาได้แล้วขอรับ หนานกงซื่อจื่อไปที่ผิงเฉิง” จื่อถงเพิ่งได้รับข้อมูลก็รีบมาหาซูเช่อ
“เมืองผิงเฉิง? นั่นไม่ใช่ที่ดินศักดินาขององค์ชายเจ็ดหรือ?” ซูเช่อรู้สึกแปลกใจ หนานกงอี้จือไปที่นั่นทำไมกัน? “หลิงจือเซวียนถูกจับกับที่ดินศักดินาขององค์ชายเจ็ดมีความเกี่ยวข้องใดกัน?”
“ผู้น้อยเพิ่งรู้ว่า ที่หลิงจือเซวียนถูกจับ เป็นเพราะพบความลับขององค์ชายเจ็ด ดังนั้นองค์ชายเจ็ดจึงได้วางแผนใส่ร้าย อีกเพียงนิดก็เกือบเอาชีวิตของเขาไปได้” จื่อถงรายงาน “คาดว่าองค์ชายรองสืบพบว่าความลับนี้เกี่ยวข้องกับผิงเฉิง ดังนั้นจึงทรงส่งหนานกงซื่อจื่อไปขอรับ”
“หากมิใช่เรื่องสำคัญ เขาไม่มีทางให้หนานกงอี้จือไปตรวจสอบ ดูท่าพวกเขาจะจับจุดอ่อนขององค์ชายเจ็ดได้แล้ว” น้ำเสียงของซูเช่อมีความสุข รีบวางงานในมือลง ออกคำสั่งกับจื่อถงว่า “หลิงจือเซวียนในยามนี้อยู่ที่จวนองค์ชายรองย่อมไม่มีอันตรายใด เจ้าให้หยินถงไปที่ผิงเฉิงทันที ขอเพียงสืบได้ว่าเรื่องที่หนานกงอี้จือคิดจะตรวจสอบคืออะไร จะต้องคอยช่วยเหลืออย่างลับๆ”
จื่อถงอ้าปากคิดจะพูดบางสิ่ง แต่เมื่อคิดแล้วก็อดกลั้นเอาไว้ “ขอรับ”
เขารับคำสั่งหมุนกายจากไป ท้ายทอยกลับถูกของบางอย่างกระทบเข้า เขารีบหันศีรษะกลับไป “คุณชาย”
“คำพูดของเปิ่นหวางยังไม่ทันพูดจบ เจ้ารีบจะไปทำไม?” ซูเช่อใช่สายตาชี้ไปยังขวดยาซึ่งยังไม่แตกที่หล่นอยู่บนพื้น “นี่เป็นยาสมานแผลชั้นดี ส่งไปให้หยินถง บอกเขาว่าไม่ต้องรีบร้อน ขอเพียงสามารถช่วยหนานกงอี้จือได้ก็พอ”
จื่อถงที่เดิมยังหมดอาลัยตายอยาก ราวกับเก็บของวิเศษได้ในทันที เขาเก็บยาสมานแผลเข้ากระเป๋าอย่างมีความสุข “จื่อถงขอบคุณคุณชายแทนหยินถงขอรับ”
ดูท่าทางดีใจนั่นของเขาสิ ซูเช่อกลอกตา แอบขำอยู่ในใจ “โบยห้าสิบไม้เท่านั้น อิงจากกำลังภายในของเขาแล้วย่อมไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เหตุใดจึงราวกับตีลงบนตัวเจ้าเสียเล่า?”
จื่อถงหัวเราะอย่างกระดาก แต่อย่างรวดเร็วเขาก็ก้มศีรษะลงด้วยความน้อยใจ “นับตั้งแต่คุณชายตัดสินใจช่วยคุณหนูหลิง ก็เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้ใส่ใจบ่าวรับใช้เช่นพวกเราแบบนี้ บ่าวก็เป็นเพราะดีใจมากเกินไป”
คำพูดนี้กล่าวจนราวกับเขาเป็นสตรีที่น้อยอกน้อยใจกระนั้น
ทั้งๆ ที่เป็นองครักษ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของจวนเสียนหวางของเขา คนข้างกายที่ประดุจแขนซ้ายขวาของเขา บุรุษอกสามศอกคนหนึ่ง เหตุใดจึงได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้?
“เจ้าช่างไม่ได้ความจริงๆ” ซูเช่อกลอกตาใส่เขาหนหนึ่ง กลับสู่เรื่องงานต่อ “ในเมื่อซั่งกวนเซ่าเฉินพบจุดอ่อนขององค์ชายเจ็ดแล้ว อีกทั้งยังส่งหนานกงอี้จือไปที่ผิงเฉิง ก็แปลว่าวันนี้เขายังจะต้องทำบางสิ่งอีกแน่นอน เจ้าส่งคนที่ไว้ใจได้ไปเฝ้าไว้ให้ข้า”
“ผู้น้อยทำงาน คุณชายยังไม่วางใจอีกหรือขอรับ?” จื่อถงท่าทางประจบประแจง “ในตอนที่ได้รับข่าวนี้ ผู้น้อยก็ส่งคนไปตรวจสอบแล้วขอรับ ได้ยินว่าวันนี้ตั้งแต่เช้าองค์ชายรองก็ไปที่จวนขององค์ชายเจ็ด จากที่สายลับที่พวกเราวางไว้ในจวนขององค์ชายเจ็ดรายงานกลับมา องค์ชายรองคล้ายกับกำลังหาบางสิ่งขอรับ”
ประโยคสุดท้ายนั้น จื่อถงใช้น้ำเสียงที่มีเพียงคนทั้งสองที่สามารถได้ยินพูดออกมา ทำให้ซูเช่อเคร่งเครียดขึ้นมาในเสี้ยววินาที
คนที่ชาญฉลาดเช่นเขา เมื่อนำข้อมูลสองสามเรื่องมาประกอบเข้าด้วยกัน ก็ทำให้เขาเดาได้ถึงเหตุผลภายในได้อย่างรวดเร็ว
“หึ นับตั้งแต่นาทีที่องค์ชายเจ็ดลงมือกับหลิงจือเซวียน ข้าก็ควรเดาได้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ซั่งกวนเซ่าเฉินยังส่งพี่น้องที่ดีที่สุดของเขา อย่างซื่อจื่อของหนิงกั๋วโหวไปตรวจสอบเรื่องนี้ เห็นได้ชัดถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ครั้งนี้เขาถึงกับเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแล้ว ดูท่าหากไม่ลากองค์ชายเจ็ดลงน้ำ เขาคงไม่ยอมหยุด”
ซูเช่อที่วิเคราะห์เรื่องราวอย่างถึงแก่นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีขึ้นมา
“คุณชาย ต้องการให้คนของเราทำอะไรหรือไม่ขอรับ?” จื่อถงถาม
“ไม่จำเป็น” ซูเช่อปฏิเสธแล้ว “หากคนของพวกเราลงมือในตอนนี้ จะจุดประกายความสงสัยขององค์ชายเจ็ดขึ้นมา ไม่ดีต่อการเคลื่อนไหวของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างมาก เพราะอย่างไร ที่นั่นก็เป็นถ้ำเสือวังมังกร”
เขาใคร่ครวญ “จับตามองให้ละเอียด หากองค์ชายรองได้รับสิ่งที่เขาต้องการ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องของคนอื่น หากเขาไม่ได้มา พวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
ก็รู้ว่าคุณชายไม่มีทางไม่สนใจเรื่องของแม่นางหลิง โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญมากเช่นนี้
เดิมจื่อถงคิดจะโน้มน้าวเขามิให้ไปยุ่งกับปลักน้ำโคลนนี้ แต่เมื่อคิดแล้ว ไม่ว่าตนจะพูดมากอีกเท่าใดคุณชายก็ไม่มีทางฟัง มิสู้สนับสนุน
“ขอรับ” จื่อถงรับคำสั่ง “หากคุณชายไม่มีคำสั่งอื่น ผู้น้อยขอตัวก่อนขอรับ ”
หลังจากได้รับการผงกศีรษะเห็นอนุญาตจากเจ้านาย จื่อถงก็มาถึงประตูแล้ว แต่เขาคิดไปคิดมา ลังเลอยู่พักใหญ่ยังคงพูดออกมา “คุณชาย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งผู้น้อยคิดว่าควรจะรายงานต่อท่าน องครักษ์ลับที่ถูกส่งไปที่จวนสกุลหลิงเมื่อครู่ส่งรายงานกลับมาว่า มีคนวางแผนทำร้ายคุณหนู”
“อะไรนะ!” ซูเช่อพลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันที แม้แต่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างมาก “เรื่องที่สำคัญเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบพูด? เป็นผู้ใดวางแผนทำร้ายหลิงมู่เอ๋อร์ สถานการณ์เป็นอย่างไร นางบาดเจ็บหรือไม่? มือสังหารผู้นั้นจับตัวได้หรือไม่?”
ในใจราวกับซ่อนคำถามเป็นแสนคำอยากถามให้ชัดเจน ซูเช่อราวกับเด็กน้อยขี้สงสัย และในวินาทีถัดมาก็เปลี่ยนกลับเป็นบุรุษผู้ยึดมั่นในความรัก มือทั้งคู่ของเขากำแขนเสื้อของจื่อถงแน่น ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน
“ในเมื่อคุณชายเป็นห่วงคุณหนูหลิงเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ไปดูด้วยตนเองเล่าขอรับ?” จื่อถงคิดแล้วไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดคุณชายต้องทำเช่นนี้
เขารู้ว่า เมื่อก่อนที่คุณชายจงใจเหินห่างกับคุณหนูหลิงก็เพื่อที่จะปกป้องนางมิให้หวางโฮ่วพระองค์ก่อนทำร้ายนางเท่านั้น
แต่หวางโฮ่วได้ถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็นไปแล้ว ได้ยินว่าอาการก็แย่ลงเรื่อยๆ ทุกวัน เหตุใดคุณชายจึงยังต้องเลี่ยงข้อครหาเช่นนี้อีก
ทรมานผู้อื่น และทรมานตนเอง
“นางกำลังจะกลายเป็นพระชายาขององค์ชายรองแล้ว ข้ามีฐานะเป็นเสียนหวาง หากใกล้ชิดกับนางมากเกินไป มีแต่จะชักนำคำนินทาของคนอื่นมา ข้าไม่เป็นไร แต่นางอย่างไรก็เป็นสตรี” ซูเช่อกล่าวอย่างราบเรียบ รับรู้ได้จากท่าทางของจื่อถงในยามกล่าววาจา เขาเดาได้ว่ามู่เอ๋อร์ไม่มีอันตรายใด
“ส่งคนไปเฝ้าอยู่รอบๆ จวนสกุลหลิงต่อไป จะต้องรับรองความปลอดภัยของนางตลอดเวลา” เขาออกคำสั่ง
จื่อถงกลับรู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก “จากที่ผู้น้อยดู คุณชายไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้แล้วขอรับ ที่จวนสกุลหลิงนอกจากคนของพวกเราแล้วยังมีคนขององค์ชายรองอีกขอรับ”
ซูเช่อกับไม่ประหลาดใจกับข่าวเช่นนี้แม้แต่น้อย “เรื่องที่ข้าสามารถคิดได้ คนผู้นั้นย่อมสามารถคิดได้เช่นกัน หากเขามิได้ส่งคนไปคุ้มครอง นั่นจึงจะเป็นความไร้สามารถของเขา แต่ว่า เขาส่วนเขา ข้าส่วนข้า ข้าปกป้องคนที่ข้าต้องการปกป้อง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์กล่าวคำว่าไม่”
จวนองค์ชายเจ็ด
ในห้องตำรา ซั่งกวนเซ่าเฉินเฝ้าพินิจกระดานหมากซึ่งอยู่ในขั้นสุดท้ายที่มิอาจแก้ได้กระดานหนึ่งอยู่ตลอดเวลา พินิจอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก ทำให้องค์ชายเจ็ดจากไปก็ไม่วางใจ ทว่าไม่จากไปก็หงุดหงิดเหลือกำลัง
“เสด็จพี่รอง อย่าได้ดูแล้ว หมากกระดานนี้ ท่านกับข้าถูกกำหนดให้มิอาจแก้ได้แล้ว แต่หากท่านอยากรู้มากจริงๆ ข้าสามารถให้คนส่งหมากกระดานนี้ไปที่จวนของท่านได้ ท่านค่อยๆ แก้ เป็นอย่างไร?” องค์ชายเจ็ดเสนอ สายตามองสำรวจผู้ที่อยู่เบื้องหน้า
ตั้งแต่เช้า ซั่งกวนเซ่าเฉินก็มาโดยมิได้รับเชิญ ยามนี้เป็นเวลาบ่ายแล้วก็ยังไม่มีความคิดที่จะกลับไปอีก แม้คนจะเฝ้าอยู่ในห้องตำราของเขามิได้ขยับแม้แต่น้อย แต่เมื่อครู่มีคนมารายงานเขา องครักษ์ที่ติดตามมาด้วยกลับหายตัวไปสองรอบ
ดูท่า หลิงจือเซวียนคงจะพูดทั้งสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูดกับเขาไปหมดแล้ว
หากรู้แต่แรก ตอนนั้นก็ควรจะปิดปากเขาอย่างถาวรเสียเลย
“ชู่ อย่ากวน อีกไม่นานข้าก็จะมีแนวทางแล้ว อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกเจ้ารบกวนจนหายไปแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ กระทั่งศีรษะก็มิได้เงยขึ้นมาสักครั้ง จ้องจับไปที่กระดานหมากอย่างตั้งใจ
สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างกายทั้งบนล่างของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินเงียบขรึมอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เงยหน้าขึ้นมา “หรือว่าน้องเจ็ดไม่ยินดีต้อนรับข้า? นี่กำลังพยายามไล่ข้าไป?”
“จะกล้าได้อย่างไร” องค์ชายเจ็ดหัวเราะฮ่าๆ “ข้าเพียงแต่เป็นห่วงว่าเสด็จพี่รองจะทรงเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปเท่านั้น ตั้งแต่เช้าท่านก็มาที่จวนของข้า จากนั้นก็จับจ้องหมากกระดานนี้ไม่ยอมวาง กระทั่งอาหารเที่ยงก็มิได้กิน ข้าเพียงแต่เป็นห่วงว่า หากท่านเกิดเป็นอะไรขึ้นมาในจวนของข้า ข้าจะไม่สามารถอธิบายกับเสด็จพ่อได้เท่านั้นเอง”
“อาศัยบุญของน้องเจ็ด สุขภาพของข้าดีมาก” องค์ชายรองเลิกคิ้วอย่างกระหยิ่มใจ “แต่เมื่อพูดถึงเสด็จพ่อ ข้าพลันนึกขึ้นมาได้ ได้ยินว่าหลายวันก่อน เสด็จพ่อนำฎีกาที่เป็นของไท่จื่อส่งมาที่จวนองค์ชายเจ็ดทั้งหมดมอบให้เจ้าจัดการ แต่จะทำอย่างไรดี เสด็จพ่อเพิ่งมีราชโองการ ให้เจ้านำฎีกาทั้งหมด ส่งไปที่จวนองค์ชายรองของข้า คิดว่าน้องเจ็ดคงไม่มีข้อคัดค้านกระมัง?”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้สิทธิ์มา ยังไม่ทันเสพสุขได้กี่วัน ก็จะต้องค้อมกายยกให้ผู้อื่นแล้ว?
องค์ชายเจ็ดโมโหจนมุมปากกระตุกอย่างรุนแรง แต่อย่างไรเขาย่อมไม่แจ้งราชโองการเท็จ แม้ใจเขาจะไม่ยินยอม แต่ยิ่งไม่กล้าขัดราชโองการ “ในเมื่อเสด็จพ่อทรงมีพระบัญชา น้องน้อมเชื่อฟังราชโองการ”
กล่าวจบ เขาออกคำสั่งต่อผู้ติดตามที่อยู่ด้านนอกประตู “ใครก็ได้ ไปนำฎีกาทั้งหมดส่งไปที่จวนองค์ชายรอง”
“รอก่อน” ซั่งกวนเซ่าเฉินเอ่ยปากขึ้นมาอย่างสบายๆ มองสายตาที่สงสัยขององค์ชายเจ็ด เขายิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยนประดุจหยก “บ่าวรับใช้จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ดีได้อย่างไร หากพลาดของด้านในไปเล่มสองเล่ม จะไม่เป็นการทำให้เสียการใหญ่หรือ? ยังต้องรบกวนให้น้องเจ็ดไปนำมาด้วยตนเอง ข้าก็จะรอเจ้าอยู่ที่นี่ นำมาแล้วก็จะจากไป”
องค์ชายเจ็ดอยากจะตะโกนใส่เขาด้วยความโมโหสักคำ “เจ้าก็รู้ว่าเจ้ามาที่นี่ไม่ยอมกลับน่ารำคาญขนาดไหนหรือ?” แต่เขาไม่กล้า
ที่นั่งอยู่เบื้องหน้ายิ้มให้เขา สุดท้ายแล้วก็เป็นเสด็จพี่ของเขา ผู้ที่เสด็จพ่อให้ความสำคัญที่สุดในยามนี้ หากเขาไปกระซิบข้างหูเสด็จพ่อ ทุกสิ่งที่เขาได้มาอย่างไม่ง่ายเลยก็จะถูกทำลายทั้งหมด
เสด็จแม่ตรัสแล้วว่า ยามนี้มิใช่เวลาที่จะเป็นศัตรูซึ่งหน้ากับเขา เสด็จแม่ทรงช่วยเขาวางแผนทุกสิ่งให้เรียบร้อยอยู่ในวัง ทางเขานี้ไม่อาจมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย
แต่นี่เห็นได้ชัดว่าเสด็จพี่ต้องการจะกันเขาออกไป
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รบกวนเสด็จพี่รอสักครู่”
นำความไม่ยินยอมไปเต็มท้อง องค์ชายเจ็ดจากไปอย่างเร่งร้อน เขาทำได้เพียงใช้ความเร็วที่ไวที่สุดนำของทั้งหมดมา หลังจากนั้นค่อยส่งพระที่หาเรื่องด้วยไม่ได้รูปนี้ไป แต่ไม่เป็นไร รอหลังจากที่เขาได้สืบทอดบัลลังก์ คนผู้นี้และคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมด เขาจะกลบฝังพวกเขาด้วยตนเอง
“ลำบากแล้ว”
ในยามที่องค์ชายรองจงใจหมุนกายจากไปนั้น ก็ทิ้งอักษรสองคำนี้ไว้ หางตาจับมุมปากที่สั่นด้วยความโกรธขององค์ชายเจ็ดไว้ได้ เขาโค้งริมฝีปาก อารมณ์ดีอย่างหาได้ยาก
ทว่าองค์ชายเจ็ดกลับมิได้ไปเอาของในทันที แต่กลับหมุนกายเข้าไปในห้องด้านข้าง เขาสาวเท้ายาวไปยังชั้นหนังสือ หมุนแจกันดอกไม้ที่อยู่ในมุมในสุด ได้ยินเสียงเบาบางทีหนึ่ง ห้องลับทางด้านหลังก็ถูกเปิดออก
เขาเดินเข้าไปในห้อง ปลดม้วนภาพเบื้องหน้าลงมา เบื้องหน้ามีรูเล็กๆ ขนาดลูกเหอเถา [1] สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวทุกอย่างขององค์ชายรองที่อยู่ในห้องหนังสือได้อย่างชัดเจน
“เสด็จพี่นะเสด็จพี่ ดูท่าก็รู้ว่าจงใจกันข้าออกไป ข้าจะดูว่าที่แท้แล้วท่านคิดจะทำสิ่งใด!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังคงจับจ้องไปยังหมากขั้นสุดท้ายนั้นอย่างลุ่มหลง ราวหากแก้ไม่ได้ก็จะไม่ยอมล้มเลิกกระนั้น
“น่าแปลก หรือว่าเขามิได้มาหาของ?” องค์ชายเจ็ดคิดคำนวณอยู่ในใจ รีบหันไปสอบถามบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลัง “องครักษ์ที่เขาพามาหาพบแล้วหรือไม่?”
“ทูลองค์ชาย ยังหาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นราวหายตัวไปในอากาศก็ไม่ปาน ไม่ว่าพวกเราจะหาอย่างไร ก็หาคนไม่เจอพ่ะย่ะค่ะ”
“แม้แต่เจ้าก็ไล่ตามไม่ทัน?” องค์ชายเจ็ดรู้สึกเหลือเชื่อ บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังเป็นลูกน้องที่มีวิชาตัวเบาดีที่สุดของเขา เช้าวันนี้ ในยามที่รู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินมาโดยมิได้รับเชิญ เขาก็ได้จัดการให้คนผู้นี้คอยเฝ้าจับตาผู้ที่เขานำติดตามมาตลอดเวลา แต่หากแม้แต่เขาก็ไล่ตามไม่ทันแล้วละก็ ดูท่าข้างกายของเสด็จพี่รองก็มียอดฝีมือไม่น้อย
“จับตามองเขาไว้อย่างละเอียด” หลังจากองค์ชายเจ็ดสั่งการแล้วก็หมุนกายจากไป เขาคาดเดาอยู่ในใจ หรือซั่งกวนเซ่าเฉินรู้ว่าเขาคอยสอดแนมอยู่ด้านข้าง ดังนั้นจึงไม่ลงมือเสียที?
เชิงอรรถ
[1] เหอเถา คือ ลูกวอลนัท