เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 11 ตอนที่ 325 ฟื้นขึ้นม
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 11 ตอนที่ 325 ฟื้นขึ้นม
เล่มที่ 11 ตอนที่ 325 ฟื้นขึ้นมา
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะสนับสนุนตนเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ช้อนสายตาขึ้นมองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างตื้นตัน “ขอบคุณท่าน เซ่าเฉิน”
“น้ำร้อนต้มเสร็จแล้ว” หนานกงอี้จือมาปรากฏตัวในห้องอย่างไม่ถูกเวลา
หลิงมู่เอ๋อร์รีบก้มหน้าลงทำการรักษาให้หลิงจือเซวียน
การตอบสนองของนางรวดเร็วมาก ทำให้หนานกงอี้จือไม่พบความผิดปกติใดๆ และในยามที่เขาเดินเข้ามาในห้อง เห็นหลิงจือเซวียนที่หน้าอกเลือดเนื้อเละเทะ เขาก็ทนความสะเทือนอารมณ์เช่นนี้ไม่ไหว รีบพุ่งออกจากประตูห้องไปทันที ใช้เวลาไม่นานก็ได้ยินเสียงสำรอก
“อย่าได้ถือสา เขาไม่ได้ตั้งใจ” ซั่งกวนเซ่าเฉินช่วยขอไมตรีแทนหนานกงอี้จือ
“ข้าจะต้องให้คนผู้นั้นชดใช้หนี้เลือดด้วยโลหิต” หลิงมู่เอ๋อร์มิได้ตอบกลับคำพูดของเขา ยังคงกำหมัดแน่น นางสาบานอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจอย่างลับๆ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะใช่องค์ชายเจ็ดหรือไม่ ทันทีที่คนร้ายถูกนางค้นพบ จะต้องให้มันชดใช้ความเจ็บปวดที่มากกว่านี้สิบเท่า!
หลิงจือเซวียนบาดเจ็บสาหัสเป็นอย่างมาก แต่โชคดีที่ล้วนแต่เป็นการบาดเจ็บทางผิวกาย
นางตัดเสื้อเปื้อนเลือดของเขาออกก่อน จากนั้นนำน้ำพุวิญญาณออกมาล้างแผลให้เขา ต่อมานำผงยาที่สกัดจากไป่หลิงเซียนมาโรยลงบนบาดแผลของเขา สุดท้ายสาดยารักษาบาดแผลที่นางเป็นผู้คิดค้นออกมาโดยเฉพาะลงไป การกระทำติดต่อกันใช้เวลาไปถึงสองชั่วยาม ในยามที่มองหลิงจือเซวียนที่ถูกห่อเป็นบ๊ะจ่างอย่างพึงพอใจ ฟ้าก็สว่างมากแล้ว
“จือเซวียน จือเซวียน” นอกประตูพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามา ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ที่คอยสังเกตอาการอยู่ตลอดตะลึงไป นางมองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ “ใช่เสียงของเจาหยางหรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินก็รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้องเช่นกัน แต่ไม่ทันที่เขาจะเปิดประตูห้อง เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อนดุจสายลมและเปลวเพลิง ไม่รอให้ทุกคนตอบสนอง นางก็พุ่งเข้าไปถึงเตียงแล้ว
เห็นหลิงจือเซวียนบาดเจ็บถึงเพียงนี้ น้ำตาของนางก็พลั่งพรูลงมา “ทำไมเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ จือเซวียน ท่านลืมตาขึ้นมามองข้าสิ ข้าคือเจาหยาง ท่าน…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ เจาหยางก็ตาเหลือกเกือบจะล้มลงไป หลิงมู่เอ๋อร์มือไวตาไวรีบพยุงร่างของนางไว้ให้มั่นคง และได้มอบน้ำร้อนให้กับนาง
เจาหยางที่รู้สึกเพียงว่าได้วิ่งวนไปในความมืดมิดรอบหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองพบว่าเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ นางราวกับได้เห็นฟางช่วยชีวิตก็ไม่ปาน “มู่เอ๋อร์ จือเซวียนเขาเป็นอย่างไรแล้ว เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ในเวลานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซูและหยางซื่อก็รีบเร่งมาถึงห้องตำรา โดยเฉพาะหยางซื่อ เมื่อเห็นหลิงจือเซวียนถูกพันแผลเช่นนี้ ความเจ็บปวดที่อดทนมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ก็ระเบิดออกมาในเสี้ยววินาที นางเบะปากร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“จือเซวียนของข้า จือเซวียนที่น่าสงสารของข้า”
ภาพในยามนี้ทำให้ทุกคนสะเทือนใจไปด้วย รีบปลอบประโลมหยางซื่อ “ท่านแม่ พี่ชายเขาไม่เป็นอะไร ล้วนแต่เป็นบาดแผลบนผิวกายภายนอกเท่านั้น พักผ่อนไม่กี่วันก็สามารถหายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว”
แต่หยางซื่อกลับฟังคำพูดของนางไม่เข้าหู บุตรชายของนางแม้ว่าเมื่อก่อนจะขาเป๋ไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยบาดเจ็บร้ายแรงเช่นนี้มาก่อน นางตกใจจนแย่แล้ว “เป็นใครกัน ที่เลวร้ายเช่นนี้ มาลงมือกับจือเซวียนของพวกเราได้ สวรรค์ สกุลหลิงของพวกเราที่แท้ทำสิ่งใดผิดไปกันแน่ ท่านจึงได้ลงโทษพวกเราเช่นนี้ มีเรื่องอะไรท่านพุ่งมาที่ข้า ให้ข้าไปรับความทุกข์ความลำบากแทนจือเซวียนเถิด”
ได้ยินหยางซื่อกล่าวเช่นนี้ เจาหยางที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะฟื้นสู่ความสงบได้ ก็ร้องไห้ออกมาด้วยแล้ว นางนั่งอยู่ข้างเตียง จับมือของหลิงจือเซวียนไว้แน่น แต่ยิ่งร้องไห้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าสภาพร่างกายไม่ถูกต้อง สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ลมหายใจก็หนักหน่วงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หลิงมู่เอ๋อร์ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง รีบป้อนยาเม็ดหนึ่งให้นางทันที “ทำใจให้สงบ ทำตามข้า หายใจเข้าออก หายใจออก…หายใจเข้า”
เดิมเจาหยางคิดว่าตนจะกระทบครรภ์อีกแล้ว ทำตามการความเคลื่อนไหวของหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมา ในชั่วพริบตาก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมาก
หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบพุ่งเข้าไปเบื้องหน้าของหยางซื่อ “ท่านแม่ ท่านอย่าได้ร้องไห้แล้ว หากท่านยังร้องไห้อีก พี่สะใภ้ก็จะคอยกังวล เช่นนี้ไม่ดีต่อเด็กในท้องของนางเป็นอย่างมาก ท่านก็ไม่อยากให้พี่ชายเมื่อฟื้นขึ้นมาได้รับความกระทบกระเทือนใจที่หนักกว่าเดิมใช่หรือไม่?”
เดิมหยางซื่อยังอยากจะร้องได้อีก แต่ครานี้นางได้ยินคำพูดของบุตรสาว เมื่อมองอีกครั้งเห็นสีหน้าของเจาหยางไม่ถูกต้อง นางก็เสียใจอย่างยิ่งแล้ว “ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย เป็นข้าไม่ได้ควบคุมตัวเอง ข้า…” นางเช็ดหยดน้ำตาบนใบหน้าอย่างสะเปะสะปะ อดทนต่อความเจ็บปวดในใจ เดินไปยังข้างกายของเจาหยาง “เจาหยาง ไม่ร้องไห้แล้วนะ ข้าบอกแล้ว จือเซวียนเขาไม่เป็นอะไร อีกอย่าง มีมู่เอ๋อร์อยู่ จะต้องไม่มีเรื่องใดแน่”
คนที่เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวจนแทบไม่ไหวผู้หนึ่ง กลับกำลังปลอบใจคนที่ทุกข์ใจอย่างยิ่งคนหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“เจาหยางขอบพระทัยองค์ชายรองที่ช่วยชีวิตของเขาอย่างยิ่ง” เจาหยางรู้ว่านี่เป็นผลงานของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางรีบคุกเข่าลงกับพื้นขอบคุณเขาทันที
“รีบลุกขึ้นมา” ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบประคองนางขึ้นมา “พวกเราจะเป็นคนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว หลิงจือเซวียนเป็นพี่ชายของมู่เอ๋อร์ ก็เท่ากับเป็นพี่ชายของข้า ช่วยเขาเป็นเรื่องที่ข้าควรทำ พวกท่านวางใจ ขอเพียงมีข้าอยู่ ภายภาคหน้าเขาไม่มีทางเกิดเรื่องอีก”
“ไม่เป็นจริงๆ หรือ ที่จริงแล้วเป็นองค์…เจ็ด?” เจาหยางคิดจะถามว่าเป็นการกระทำขององค์ชายเจ็ดใช่หรือไม่ นางตระหนักได้ว่าท่านย่ากับหยางซื่อยังอยู่จึงได้หยุดลง
หลิงมู่เอ๋อร์เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ขยับเข้ามา “มิใช่บอกให้เจ้าพักผ่อนอยู่ในจวนดีๆ หรือ ข้าย่อมต้องส่งพี่ชายกลับไป เหตุใดเจ้าจึงออกมาแล้วเล่า อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ พี่สะใภ้ ท่านช่างเหลวไหลเกินไปแล้ว”
นี่นางถูกน้องสะใภ้ตำหนิแล้ว?
แต่คนเต็มห้องยังใช้สายตาราวกับว่านางทำผิดมองมายังนาง เจาหยางรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง “ข้าก็มิใช่เพราะเป็นห่วงจือเซวียนหรือ”
“พี่ชายดูไปแล้วเหมือนบาดเจ็บร้ายแรง แต่โชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บที่รากฐาน ข้าได้ใส่ยาและพันแผลให้เขาแล้ว ร่วมกับยาพิเศษของข้า และหากภายหลังบำรุงอย่างดีแล้ว ไม่เกินครึ่งเดือนก็สามารถหายดีได้อย่างสมบูรณ์” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายกับทุกคน
กล่าวว่าบาดแผลที่สาหัสถึงเพียงนี้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถหายดีได้ ดูไปแล้วหลิงมู่เอ๋อร์คงมิได้หลอกพวกนางแล้วจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าซูถอนใจอย่างโล่งอกทีหนึ่ง รีบปลอบใจหยางซื่อ “ข้าก็บอกแล้ว พวกเราเป็นห่วงมากเกินไป เจ้าดูสิ นี่มิใช่ว่าไม่เป็นไรหรอกหรือ อีกทั้งมู๋ยาโถวมีความสามารถกว้างไกล วิชาแพทย์เลิศล้ำ พวกเราก็กลับไปรอข่าวดีเถอะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าซูเป็นคนที่เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดี เพียงดูก็รู้ว่าพวกเขาต้องตรวจสอบให้แน่ชัดถึงผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง แต่หากหยางซื่อเข้าไปมีส่วนร่วมแล้วละก็ เกรงว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม เพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสูงวัยผู้หนึ่ง เรื่องเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
หยางซื่อไม่เข้าใจถึงความนัยในวาจาของนาง “เช่นนั้น จือเซวียนจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ข้าจะรั้งอยู่ดูแลเขา”
“ท่านแม่อยากดูแลพี่ชายย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน พอดีเลยพี่สะใภ้ก็รั้งอยู่ด้วยช่วยกันดูแลเถอะ แต่ว่าที่นี่ยังต้องการของอีกบางอย่าง ไม่สู้ท่านแม่กลับไปนำมา?”
“เอาอะไร?” หยางซื่อคงจะพอเดาได้แล้วว่านางต้องการกันตนออกไปก็ไม่พอใจอยู่บ้าง ในอดีตยามอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าเรื่องใดมู่เอ๋อร์ก็พูดกับนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอ่อน “เอาเสื้อผ้านะสิเจ้าคะ พวกเราคงไม่อาจให้พี่ชายตื่นขึ้นมาแล้วเปลือยกายกระมัง?”
คำนี้เมื่อกล่าวออกมา ทั่วทั้งใบหน้าของหยางซื่อก็อับอายจนกลายเป็นสีแดงแล้ว นางเพิ่งสังเกตเห็นแขนของหลิงจือเซวียนที่เผยอยู่ภายนอกกับอาภรณ์เปื้อนเลือดที่ถูกตัดขาด “ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง เอาเสื้อผ้า เอาเสื้อผ้า ข้าจะกลับไปหาเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”
ไม่กล้าคิดแล้วว่าหลิงมู่เอ๋อร์จงใจกันนางออกไป หยางซื่อรีบจากไปอย่างลนลาน
ฮูหยินผู้เฒ่าซูอาศัยเหตุผลในการส่งการกลับไปก็จากไปด้วยกันแล้ว ในห้องเหลือเพียงผู้เยาว์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“พี่สะใภ้…” คำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ถูกเจาหยางขัดลง “ข้าอยากรอเขาฟื้นขึ้นมา”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า มิได้ออกความเห็นอีก ทุกคนต่างรออยู่ในห้องอย่างสงบ
ในช่วงเวลานี้ หลิงมู่เอ๋อร์เสาะถามว่าซั่งกวนเซ่าเฉินช่วยหลิงจือเซวียนออกมาได้อย่างไร ที่แท้ ในยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกับหนานกงอี้จือพานักโทษประหารเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็เป็นเวลาดึกมาแล้ว ฮ่องเต้ได้เข้าพักผ่อนนานแล้ว พวกเขาจึงรอเพิ่มอีกสองชั่วยาม มิเช่นนั้น คงไม่รอจนถึงรุ่งสางค่อยพาคนกลับมา
หลังจากฮ่องเต้เมื่อรู้ว่าเส้าชิงของศาลต้าหลี่ถูกคนให้ร้าย และได้รับคำรับสารภาพจากปากของนักโทษประหาร ก็สั่งให้เรือนจำหลวงปล่อยตัวคนในทันที ในยามที่พวกเขาเร่งไปนำตัวคนจากคุกหลวงนั้น หลิงจือเซวียนเพิ่งจะถูกลงทัณฑ์เสร็จ ลมหายใจรวยริน
พวกเขาไม่มีเวลาไปสนใจไล่หาความรับผิดชอบ จะต้องพาคนออกไปก่อน แต่ผู้ใดมีอำนาจในการลงมือเอาชีวิตหลิงจือเซวียนเช่นนี้ เพียงใคร่ครวญอย่างละเอียดมิว่าสิ่งใดก็ทราบแล้ว
เพียงแต่น่าเสียดายที่นักโทษประหารยืนการไม่ยอมบอกออกมาว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือผู้ใด กล่าวเพียงว่านี่เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับหลิงจือเซวียน สุดท้ายฮ่องเต้มีพระราชบัญชาให้นำตัวนักโทษประหารไปคุมขังไว้ในคุกหลวง รอไต่สวนในภายหลัง
“ตื่นแล้ว จือเซวียนเขาตื่นแล้ว”
ที่ข้างหูมีเสียงตื่นเต้นของเจาหยางดังมา หลิงมู่เอ๋อร์รีบพุ่งเข้าไป ตรวจชีพจรให้หลิงจือเซวียนก่อน
พบว่าชีพจรของเขาสม่ำเสมอแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ถอนใจอย่างโล่งอกทีหนึ่ง จากนั้นก็มองดวงตาที่เปิดขึ้นอย่างงงงวยของเขา ไม่พบความผิดปกติใด หัวใจของนางจึงได้วางกลับสู่ท้องได้
“พี่ชาย ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
“จือเซวียน จือเซวียนท่านยังดีอยู่หรือไม่? ข้าคือเจาหยางอย่างไรเล่า จือเซวียน” เจาหยางรีบพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของจือเซวียน เดิมคิดอยากจะระงับไว้ แต่นางควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ หยาดน้ำตาก็หยดเผาะๆออกมาอีกครั้ง
เพิ่งตื่นมา ในอ้อมกอดก็มีคนพุ่งเข้ามาคนหนึ่ง หลังจากหลิงจือเซวียนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก็โอบกอดนางไว้ในอ้อมอก แล้วจุมพิตผมของนางเบาๆ “ขอโทษด้วย ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”
“แน่นอนว่าท่านผิดต่อข้า ท่านไม่เพียงผิดต่อข้า ยังผิดต่อลูกของพวกเราด้วย ท่านมิใช่รับปากข้าว่าจะดูแลตัวเองให้ดีหรือ ท่าน…” เจาหยางอารมณ์พลุ่งพล่านไปชั่วขณะ หมัดเล็กๆ ก็ร่วงลงบนหน้าอกของเขา ชักนำเสียงสูดหายใจของหลิงจือเซวียนมาในทันใด
“ซี้ด…”
เจาหยางตกใจจนแย่แล้ว รีบลุกขึ้นมาจากอ้อมกอดของเขา กระทั่งสัมผัส ก็ไม่กล้าสัมผัสเขาแม้แต่ครั้งเดียว “ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย เป็นข้าทำท่านเจ็บแล้วใช่หรือไม่?”
นางรีบหันไปมองหลิงมู่เอ๋อร์ทันที “มู่เอ๋อร์เจ้ารีบดูให้เขา เลือดออกแล้ว บาดแผลเลือดออกแล้ว”
เห็นท่าทางหวาดกลัวของเจาหยาง เดิมหลิงมู่เอ๋อร์คิดจะหัวเราะ แต่ในใจกลับเหลือเพียงความตื้นตัน
ในชีวิตนี้ของพี่ชาย สามารถแต่งสาวน้อยที่มีนิสัยจริงใจเช่นเจาหยางได้ ก็ถือว่าเป็นวาสนาของเขาแล้ว
“ไม่เป็นไรพี่สะใภ้ ท่านอย่าได้กังวลเกินไปนัก”
“เป็น เป็นองค์ชายรองช่วยข้า?” จึงได้เห็นว่า พวกหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉิน และหนานกงอี้จือล้วนอยู่ที่นี่ หลิงจือเซวียนยันกายขึ้นคิดจะลุกขึ้นมา หลิงมู่เอ๋อร์รีบกดเขาไว้ “อย่าขยับ ท่านบาดเจ็บสาหัสเป็นอย่างมาก จะต้องนอนรักษาอย่างสงบ”
“มู่เอ๋อร์พูดไม่ผิด เจ้ามีบาดแผลอยู่กับตัว มารยาทที่ควรมีก็ละเว้นไปเถิด พักรักษาอยู่ที่จวนองค์ชายรองของข้าดีๆ ผู้อื่นไม่ว่าใครก็ไม่กล้ามารังแกเจ้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างแจ่มใสตรงไปตรงมา
หลิงจือเซวียนมองเขาทีหนึ่งอย่างตื้นตันยิ่ง คิดถึงทัณฑ์ทรมานที่เขาได้รับในคุกหลวงหนึ่งวันหนึ่งคืนมานี้ เขาซึ่งเป็นบุรุษที่โตแล้วคนหนึ่งยังอดสั่นสะท้านอย่างหนาวเหน็บมิได้ ยิ่งรู้สึกขอบคุณเขาจากส่วนลึกของใจ “ขอบพระทัยองค์ชายรองอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อมองเจาหยางกับมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ในใจของเขาก็เหลือเพียงความรู้สึกผิด “ทำให้พวกเจ้าต้องเป็นกังวลแล้ว”
“พี่สะใภ้เป็นกังวลมากจริงๆ และยังเกือบแท้งเพราะท่าน ทำให้ตนเองต้องเกือบทิ้งไปครึ่งชีวิต ครั้งนี้เมื่อพี่ชายหายดี จะต้องดีต่อพี่สะใภ้เป็นเท่าทวีคูณถึงจะได้” หลิงมู่เอ๋อร์เตือนเขาอย่างอดทนและเมตตาราวญาติผู้ใหญ่ ยามนี้หลิงจือเซวียนราวจะนึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้
“ในเมื่อองค์ชายรองสามารถช่วยข้าจากความเภทภัยได้ ยังขอให้องค์ชายรองยื่นมือออกไปอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือจูฉี”
“อะไรนะ ท่านว่า พี่จูก็ถูกจับไปเช่นกันหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจเป็นอย่างมาก เหตุใดก่อนหน้านี้นางจึงมิได้รับข่าวสารเล่า “พี่ชาย พวกท่านใช่ค้นพบสิ่งใดหรือไม่? เหตุใดพี่จูถึงได้มีอันตราย ยังมี คนที่คิดจะทำร้ายท่าน ที่แท้เป็นใครกันแน่?”